เพราะว่ามันผลิตขึ้นมาเพียง 20 คันบนโลก หรือเพราะว่าถ้าซื้อในไทยจะมีราคาถึง 300 ล้านบาท สิ่งไหนกันแน่ที่ทำให้ยานยนต์อย่าง ‘Bugatti Chiron Sport 110 ANS’ ถูกกล่าวถึงบนโซเชียลมีเดียจนเป็นกระแสขึ้นมาได้ เรื่องราวเกิดจากการที่มีกลุ่มคนพบเห็นรถคันจริงๆ วิ่งสัมผัสพื้นถนนเมืองไทยเป็นครั้งแรก
คงต้องเกริ่นถึงเรื่องราวของ Bugatti Chiron Sport 110 ANS คันที่เป็นประเด็นกันก่อน โดยประเด็นนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งรถ Bugatti Chiron Sport 110 ANS คันที่วิ่งในไทยจนเป็นกระแสขึ้นมานั้นมีป้ายทะเบียนของประเทศกัมพูชา เท่ากับว่ารถไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยแต่อย่างใด
ในเมื่อ Bugatti Chiron Sport 110 ANS จดทะเบียนที่ประเทศกัมพูชา เราก็สามารถตัดเรื่องราคา 300 ล้านบาททิ้งไปได้เลย เพราะภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศของกัมพูชา มีอัตราภาษีที่ถูกกว่าไทยพอสมควรอยู่แล้ว โดยข้อมูลในปัจจุบันได้ระบุไว้ว่ารถที่มีเครื่องยนต์ตั้งแต่ 3,000 ซี.ซี. ขึ้นไปจะมีค่าภาษีนำเข้า 35%, Special Tax 70% และภาษี Vat 10%
ถึงแม้ราคาจะไม่ถึง 300 ล้านบาท เพราะไม่ได้ถูกซื้อและจดทะเบียนในไทย แต่ราคาของ Bugatti Chiron Sport 110 ANS ที่ประกาศตอนเปิดตัวก็ไม่ได้ถูกอยู่ดี โดยราคาเริ่มต้นสำหรับผู้ที่จะครอบครองต้องจ่ายอยู่ที่ 3.9 ล้านยูโร เมื่อตีเป็นค่าเงินไทยก็อยู่ที่ 101 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษีนำเข้าต่างๆ ตลอดจนค่าขนส่งอีกด้วย สามารถพูดได้ว่าต่อให้ถูกหวยรางวัลที่ 1 เป็นสิบๆ ใบ ก็ยังไม่พอที่จะซื้อ Bugatti Chiron Sport 110 ANS สักคันมาครอบครองได้เลย
Bugatti Chiron Sport 110 ANS รถยนต์ที่ทำให้เกิดกระแสขึ้นมานั้น เป็นรุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฉลองครบครอบ 110 ปีของแบรนด์ และถูกผลิตออกมาขายทั่วโลกเพียงแค่ 20 คันเท่านั้น ซึ่งในเรื่องสมรรถนะก็ไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน กับเครื่องยนต์ขนาด 8,000 ซีซี. เทอร์โบ 4 ลูก ที่ปั่นกำลังออกมาสูงสุด 1,500 แรงม้า ที่ 6,700 รอบ/นาที พร้อมส่งกำลังด้วยเกียร์ Dual-Clutch 7 จังหวะ โดยมีการเคลมอัตราเร่งจากโรงงานไว้ดังนี้
0-100 กม./ชม. ในระยะเวลา 2.4 วินาที
0-200 กม./ชม. ในระยะเวลา 6.1 วินาที
0-300 กม./ชม. ในระยะเวลา 13.1 วินาที
0-400 กม./ชม. ในระยะเวลา 32.6 วินาที
ในส่วนความเร็วสูงสุดก็สามารถทำได้อยู่ที่ 420 กม./ชม (ถูกล็อกความเร็วไว้) ปลดล็อกให้ Bugatti Chiron Sport 110 ANS สามารถวิ่งได้เกินจากสเปกโรงงานแน่นอน ติดตรงจะเอาไปวิ่งที่ไหนเสียมากกว่า
ทำไม Bugatti Chiron Sport 110 ANS ถึงได้แพงขนาดนี้?
‘Bugatti’ ไม่ใช่แบรนด์ที่ทำรถยนต์ตลาดทั่วไปอยู่แล้ว ตัวแบรนด์เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ ศักดิ์ศรี และเกียรติยศ ซึ่งได้กลายเป็นจุดแข็งและจุดขายอย่างปฏิเสธไม่ได้ อีกทั้งในปี ค.ศ. 2008 ทางแบรนด์ก็เคยทำรถไฮเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดในโลกออกมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยผู้คนต่างรู้จักกันในชื่อ Bugatti Veyron ซึ่งมันได้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในช่วงเวลานั้น
สิ่งที่จะทำให้รถยนต์ผลิตออกมาและขายในราคาที่สูงได้นั้น อาจมีเพียงไม่กี่ปัจจัย อาทิ เครื่องยนต์สมรรถนะสูง เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่ล้ำสมัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในรถ และระบบรักษาความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่บริษัทรถจำเป็นต้องทำ เพราะคนที่ยอมควักเงินจ่ายในราคาระดับนี้ ล้วนคาดหวังสิ่งดังกล่าวว่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่รถควรมีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ แบรนด์ Bugatti ก็มีความได้เปรียบหลายๆ แบรนด์รถยนต์ในท้องตลาดอยู่เช่นกัน สิ่งนั้นก็คือ ประวัติศาสตร์และศักดิ์ศรี ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันของยานยนต์ ความรู้ความเข้าใจในเครื่องยนต์กลไก ตลอดจนเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เข้าถึงยากอีกต่อไป สิ่งนี้ทำให้มีแบรนด์รถยนต์น้องใหม่เกิดขึ้นอยู่มากมาย และก็ยังสามารถทำรถยนต์สมรรถนะสูงออกมาขายได้อย่างสบายๆ โดยหนึ่งในตัวอย่างที่ต้องพูดถึงคือแบรนด์รถจากประเทศสวีเดน ‘Koenigsegg’ (เคอนิกเส็กก์) ที่เพิ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 1994 ปัจจุบันมีอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น
แม้ Koenigsegg จะมีอายุที่น้อยนิดหากเทียบกับแบรนด์รถยนต์เจ้าอื่นๆ แต่ความสามารถในการผลิตรถยนต์เรียกได้ว่าอยู่ในระดับหัวแถวของวงการ โดยแบรนด์ผลิตออกมาทำลายสถิติความเร็วอยู่เนืองๆ อีกทั้งในปี ค.ศ. 2020 ก็ได้นำรถไฮเปอร์คาร์รุ่น Koenigsegg Gemera เข้ามาขายในไทยอีกด้วย ซึ่งมีโควตาให้จับจองเพียง 2 คันเท่านั้น ในส่วนขุมกำลังก็เป็นลูกผสมไฮบริดระหว่างเครื่องยนต์และไฟฟ้า มาพร้อมความเร็วแบบนรกแตกให้กับผู้ที่ขับขี่
Koenigsegg Gemera พร้อมมอบอัตราเร่งความเร็วจาก 0-100 ในระยะเวลา 1.9 วินาที และการเร่งจาก 0-200 ก็ใช้เวลาเพียง 4.9 วินาทีเท่านั้น สำหรับความเร็วสูงสุด ทางแบรนด์ก็เคลมไว้ที่ 400 กม./ชม. (สเปกจากโรงงาน)
สิ่งนี้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะแบรนด์รถยนต์ที่เพิ่งเกิดหรือแบรนด์รถยนต์ที่เก่าแก่ ก็ล้วนสามารถทำสุดยอดรถยนต์ออกมาได้ไม่ยากเย็น แต่มีอยู่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แบรนด์รถยนต์น้องใหม่ไม่สามารถสู้ได้ก็คือ ‘ประวัติศาสตร์ ศักดิ์ศรี และเกียรติยศ’
เมื่อปลายทางสุดท้ายแบรนด์รถยนต์หลายๆ บริษัทก็ล้วนสามารถทำสุดยอดรถยนต์ออกมาขายได้เหมือนกันทั้งนั้น แต่แบรนด์รถยนต์ที่มีทั้งประวัติศาสตร์และศักดิ์ศรีล้วนมีต้นทุนที่ได้เปรียบ เพราะเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ‘แบรนด์’ มีผลต่อภาพลักษณ์จริงๆ การที่ยอมจ่ายเงินแพงกว่าเพื่อให้ได้ครอบครอง ก็อาจดูเป็นเรื่องที่มีเหตุผลอยู่ไม่มากก็น้อย
สำหรับ Bugatti ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานเกินศตวรรษ โดยปัจจุบันก็มีอายุถึง 113 ปี โดย Bugatti เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1909 มีผู้ก่อตั้งชื่อว่า Ettore Bugatti (เอตโตเร บูกัตตี) ซึ่งเป็นคนอิตาลี แต่ไปเปิดโรงงานอยู่ที่เมืองมอลไซม์ ประเทศเยอรมัน โดยปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวเป็นของประเทศฝรั่งเศส จึงทำให้ Bugatti ได้กลายเป็นรถยนต์ฝรั่งเศสไปโดยปริยาย ทั้งที่ชื่อเรียกของแบรนด์เป็นชื่ออิตาลี
จุดเริ่มต้นของ Bugatti มากจากการทำรถยนต์ที่มีความเร็วและยังมีเทคโนโลยีระดับแนวหน้า ทำให้แบรนด์มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายได้มีการเข้าร่วมแข่งขัน Monaco Grand Prix และก็สามารถเก็บชัยชนะมาครอบครองได้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแรกของ Bugatti ในการแข่งขันล่ารางวัลถ้วยแชมป์ต่างๆ นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็พาย้อนกลับไปหาเรื่อง ‘ประวัติศาสตร์ ศักดิ์ศรี และเกียรติยศ’
น่าเสียดายที่ตัวของเอตโตเรได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุเพียง 30 ปี และหลังจากนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายกับรถยนต์แบรนด์ Bugatti แต่สุดท้ายก็สามารถยืนหยัดได้จนถึงปัจจุบัน
อ้างอิง