Identity

500 Cafe คาเฟ่ (ไม่) ลับ! แห่งแรก และแห่งใหม่ในไทย Fetish & BDSM STYLE ที่เข้าถึงเรื่องเซ็กส์ได้ทุกเพศ และทุกวัย by FORFUN Bangkok

"อร่อยรสเครื่องดื่ม และเบเกอรี่ อร่อยรักที่จะเป็นตัวของตัวเองในเรื่องเซ็กส์แบบ Fetish & BDSM Style อย่างถูกต้อง อย่างเข้าใจ และปลอดภัย" คือคำนิยามที่เราอยากมอบให้ ‘500 Cafe’ คาเฟ่แห่งใหม่ย่านปิ่นเกล้า ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา EQ ขอเชิญคุณผู้อ่าน ร่วมเปิดประสบการณ์คาเฟ่รูปแบบใหม่ ที่ให้มากกว่าการมาดื่มเครื่องดื่มแก้วโปรด เบอเกอรี่ที่ชื่นชอบ หรือการถ่ายรูปเช็คอินอัพลงโซเชี่ยล เพราะที่นี่คือ คลังแสง และ Fetish & BDSM Community แห่งแรกในไทย สำหรับคนที่ชื่นชอบแนวนี้ หรือใครที่เพิ่งเริ่มสนใจ ก็มาที่นี่ได้เช่นเดียวกัน ‘คุณตอง’ เจ้าของร้าน และหุ้นส่วนคนสำคัญ จะพาพวกเราไปท่องโลกของ Fetish & BDSM ในรูปแบบคาเฟ่พร้อมๆ กันค่ะ

จุดเริ่มต้น และแรงบันดาลใจในของ 500 Cafe

เดิมเราทำตัวร้าน FORFUN Bangkok ซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าแฟชั่น Fetish & BDSM พอถึงจุดที่เราเริ่มมีปาร์ตี้ทุกเดือน เริ่มเอ๊ะเพราะลูกค้าไม่ได้อยากมาปาร์ตี้ อยากแค่นั่งพูดคุยกินกาแฟ ซึ่งเดิมร้าน FORFUN Store ก็จะมีบาร์เล็กๆ สำหรับกินกาแฟ แต่เปิดบ้างไม่เปิดบ้างแล้วแต่อารมณ์ตอง แต่ถ้าว่างก็จะมาเปิดให้ เลยคุยกับคุณเอสว่า เปิดเป็นร้านไปเลยดีไหม ในคาเฟ่ที่มีกิมมิกแบบนี้ ถ้าเป็นส่วน FORFUN Store เราจะจำกัดอายุ ขั้นต่ำคือ 20 ปี แต่คาเฟ่เราไม่จำกัดเลย จะเด็กเล็ก หรือวัยไหนก็ได้ เพียงแต่เขาเข้ามาจะต้องได้ความรู้จากเรา มีการพูดคุยถามโน่นนี่นั่น

มากกว่าเรื่องเซ็กส์ มากกว่าแฟชั่น FORFUN IS HAPPINESS

เพิ่งเปิดเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คือด้วยความที่มันอยู่ในซอย กึ่งๆ คาเฟ่ลับ เดินทางค่อนข้างยากในหลายๆ คนที่อยู่ใจกลางเมือง หลายๆ คนก็อาจยังไม่รู้จักเราด้วยว่า มีร้านนี้อยู่ตรงนี้ คนที่อยู่ในซอยนี้เองบางคนก็ยังไม่รู้ว่ามีคาเฟ่นี้อยู่ด้วยเหรอ 

เดิมทีเราใส่คำว่า Fetish & BDSM ในคาเฟ่ไป แล้วมีเรื่องจำกัดการมองเห็นของโซเชี่ยล เลยคุยกับคุณเอสว่าเอาออกไหม เพราะเราไม่ได้จำกัดเรื่องอายุอยู่แล้ว พอเอาออกลูกค้าเลยเริ่มเห็นมากขึ้น มันเลยทำให้คนเริ่มรู้จักเรามากขึ้น

“จุดประสงค์เรามี 2 อย่างคือ 1. เพื่อให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนที่ชอบแบบนี้ มีที่ๆ ได้นัดเจอกัน และนั่งพูดคุยกันในเวลากลางวันได้ และ 2. ให้คนที่ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แล้วอยากที่จะรู้ หรือคนที่เริ่มต้นสนใจ Fetish & BDSM มีสถานที่ให้เขาเข้ามารู้จักก่อน”

จุดเด่นของ 500 Cafe 

ตัว Community ซึ่งเรามีวัน และจะเริ่มเดือนหน้า เริ่มมีการพูดถึง Dress Code เพื่อเป็นไอเดียในการแต่งตัวมาร้าน ต้องเข้าใจก่อนว่า คนที่มาร้านเขาไม่มีพื้นที่ในการแต่งตัว จะไปแต่งตัวข้างนอกแบบนี้ในคาเฟ่อื่น คนก็จะมองแปลกๆ ว่าคืออะไร ใส่ Latex ใส่ Rubber ใส่ยูนิฟอร์มไปคนไม่เก็ท งั้นเราจะคิดเป็น Dress Code ขึ้นมา เช่น ศุกร์นี้เป็น Unifrom Lover นะ คุณก็จะได้รับสิทธิ์ซื้อ 1 แถม 1 หรือโปรโมชั่นต่างๆ 

Social Night ที่จะมีทุกเดือน หลังๆ ลูกค้าเริ่มเบื่อการใส่ Fetish & BDSM เลยลองคิดเป็นแฟนตาซี อย่างครั้งที่ผ่านมาช่วงเดือนเมษายน เราก็จัดเป็นเหมือนงานวัด ลูกค้าไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเป็น Spandex Latex หรือ Rubber สามารถแต่งอะไรก็ได้ที่เข้ากับธีมงานวัด ซึ่งลูกค้าเราครีเอทมาก บางคนทำชิงช้าสวรรค์มา และล่าสุดเสาร์ที่ผ่านมาจัดในธีมแรงงาน Labour Night บวก Unifrom ซึ่งทีมงานเราก็เล่นสนุกกับลูกค้าด้วย แต่งจนเข้าใจว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ (หัวเราะ) ซึ่งเราพยายามที่จะบอกว่า Fetish & BDSM เป็นแค่ส่วนหนึ่งนะ แต่ทั้งหมดคือ Community ที่คุณมาเจอกัน แล้วไม่จำเป็นต้องแต่งตัวแบบรสนิยมที่คุณชอบไปตลอดเวลา อาจปรับเปลี่ยนได้เสมอ ขอแค่มาแล้วสนุก และเป็นตัวของตัวเอง เพราะบางคนข้างนอกอาจเป็นผู้บริหาร มีหน้าที่การงาน เพราะการพูดเรื่องเซ็กส์ เราพูดได้กับคนแค่บางกลุ่มเท่านั้น มันไม่ได้พูดกับคนทุกคนได้ว่ารสนิยมเกี่ยวกับเรื่องเพศของเราเป็นอย่างไร ดังนั้น เมื่อไรที่เรากล้าพูดเรื่องเพศกับคนกลุ่มนี้ แล้วเรารู้สึกเชื่อใจเขาได้ มันจะปลดปล่อยความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เรื่องอื่นๆ เขาจะรีแลกซ์มากขึ้น เราอาจจะถามเรื่องสุขภาพกับเขาได้ ซึ่งมันก็ไปได้เรื่อยๆ มีความสนิท และแชร์กันได้ทุกเรื่อง บางคนอกหักก็มานั่งกินเบียร์ที่นี่ ร้านฉันเป็นศาลาคนเศร้าใช่ไหม (หัวเราะ) มันค่อนข้างวาไรตี้มาก เพราะไม่ได้เป็นแค่ร้านกาแฟ หรือบาร์ แต่มันเริ่มมีการพูดคุย เป็นสถานที่ๆ เขาแลกเปลี่ยน และนัดเจอกัน 

บางคนเราเคยทำ Blind Date ผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี ลูกค้าที่ไม่เคยเลยก็ได้เรียนรู้ว่า จริงๆ การเล่นแบบนี้มันคืออะไร แล้วเขาสใจแบบไหน เพราะเราเป็นแค่จุดเริ่มต้นแล้วให้เขาไปสานต่อกันเอง เพราะเรื่องห้องนอนเป็นเรื่องของคุณ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นคุณต้องเรียนรู้ให้ถูกต้องก่อน เวลาคุณไปหาบัดดี้ หรือคู่เล่นคุณจะได้เซฟตัวเองด้วย

“เราจะมีเรื่องกฎ ซึ่งเราขอนะ เรื่องไม่เปิดหน้าอก และอวัยวะเพศ และไม่ทำให้คนอื่นรำคาญ บางทีถ่ายรูป หรือคลิปก็ไม่ต้องมีเสียง (หัวเราะ) เพราะต้องการให้การอยู่ร่วมกันของลูกค้าสนุก คือลูกค้าที่มีรสนิยมแบบนี้ เขาจะเข้าใจ บางคนเข้าใจว่า ร้านเราเป็นแนวนี้ นึกว่าเต็มที่ ทำะไรก็ได้ โป๊ได้ เราก็ต้องมานั่งอธิบายว่า ร้านเราทำให้เป็นกิมมิกของคาเฟ่ เรายังเปิดเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนทั่วไปเข้ามาได้ แต่พอเราทำสตูดิโอ เชิญเลยค่ะ เต็มที่เลย แต่ ณ ตอนนี้ให้คนที่เขาไม่ได้ชอบทางนี้รู้สึกดีกับสิ่งที่เขาจะได้เห็น และสามารถอยู่ร่วมกับเราได้ ลูกค้าก็โอเค หลายๆ คนเขาเข้าใจ แต่บางคนดื้อ”

กลุ่มลูกค้าหลากหลาย และมีพื้นที่รองรับลูกค้าทุกกลุ่ม

เราเข้าใจว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีสนิยมเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ช่วงแรกๆ เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในสายนี้เลย จะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่อยากรู้ว่า FORFUN ขายอะไร แล้วพอ 500 Cafe เป็นส่วนหนึ่งที่แตกมาจากที่นั่น การที่เขาเดินเข้ามาในร้านเขาจะรู้สึกสบายใจและไม่เขิน แล้วสามารถที่จะเดินไป FORFUN ต่อได้ ส่วนกลุ่มลูกค้าที่เป็นขาประจำของเราเขาก็มาเรื่อยๆ สัดส่วนลูกค้าผู้หญิงกับผู้ชายเท่ากัน ช่วงแรกๆ ผู้หญิงจะเยอะ เพราะเป็นสายคาเฟ่ ซึ่งเขาจะได้แต่งตัวเต็มที่ 

โต๊ะเก้าอี้เรารองรับลูกค้าไว้นั่งกินกาแฟสบายๆ แบบไม่แน่น คือ 22-25 คน แต่ถ้าเป็นปาร์ตี้เรารับได้ถึง 60 คน คือเต็มพื้นที่เลย เอาโต๊ะเก้าอี้ออกหมด และพอมันเป็นปาร์ตี้ทุกคนก็อยากอยู่ใกล้กัน เราก็จะบอกเพื่อนบ้านว่า มีปาร์ตี้นะคะ ขออนุญาตเสียงดัง และมีการจำกัดเรื่องเวลา ต้องบอกว่าเพื่อนบ้านเราน่ารัก และพูดคุยกันได้ เพราะเราอยู่ในชุมชน ไม่ได้อยู่ตามแหล่งท่องเที่ยว จึงจำเป็นที่จะต้องบอกเขา และขออนุญาตเสียงดัง ลูกค้าเราเองก็น่ารัก ทั้งขาจร และขาประจำ เขาอาจจะดูแต่งตัวแรง มีไลฟ์สไตล์ แต่ทุกคนเคารพสิทธิ์คนอื่น เช่น บางคนสุบบุหรี่ เราก็บอกเขาว่า เพื่อนบ้านเราไม่โอเค เขาก็เขยิบให้เรา และยินดีเสมอ ข้างนอกไม่เสียงดัง ทุกคนก็โอเค พอคุยกันเข้าใจไลฟ์สไตล์กัน มันก็อยู่ร่วมกันได้ทั้งเพื่อนบ้าน เรา และลูกค้า

Cafe แบบ Fetish & BDSM Style แห่งแรก และแห่งเดียวในไทย!

ตกแต่งสไตล์ Fetish & BDSM เพราะร้านเรามีทั้ง โซ่ แซ่ กุญแจมือ มีเอ็กซ์บาร์ มีจุดที่ให้จำลองมาได้เลยว่า ถ้าคุณชอบสไตล์นี้ คุณจะเจออะไรบ้าง และเราคุมโทนสีด้วยแดงเทา อย่างชิบาริเราก็เลือกแบบไม้ เพราะมีความเป็นญี่ปุ่น ไม่แข็ง และไม่ฮาร์ดคอร์มาก หรือท่อที่ทำออกมาให้สามารถมัดได้จริง มีเก้าอี้ มีโซฟา เรามีฟลอร์เต้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะลูกค้าที่ใส่ชุด Latex หรือ Spandex เขาชอบความรัดรูป และมันวาว เวลาถ่ายรูปจะสะท้อนแสง เลยเป็นเหมือนห้องให้เขาถ่ายรูปสวยๆ ออกมา เพื่อตอบโจทย์สายคอนเทนต์ สายถ่ายรูป เพื่อนำไปสู่เรื่องอย่างว่าอีกทีหนึ่ง มันเลยแยกออกมาจากเรื่องรสนิยมทางเพศ เป็นเรื่องแฟชั่น การทำคอนเทนต์ เรื่องการถ่ายรูป และจำลองสิ่งที่คนชอบเช่น หัวหมา หรืองาน Rubber เราก็จะมาวางให้ หรือตู้ดิลโด้ มีทั้งแบบทั่วไป แบรนด์ญี่ปุ่น และฝั่งตะวันตกที่หลายๆ คนชอบถามว่า มันเอาเข้าไปได้จริงๆ หรอ (หัวเราะ) ซึ่งใช้งานจริง และมีแบบใช้งานจริงแต่ไปไกลเกินกว่าที่คุณรู้จักแล้ว 

น้องๆ ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เขาก็จะตื่นเต้น ลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่ก็ถามว่า มีจำหน่ายไหม (หัวเราะ) ซึ่งต้องบอกว่าเราตั้งใจนำมาใส่ตู้โชว์เพื่อให้เห็นว่าเป็นอย่างไร แล้วคุณจะได้เจอว่า มันเป็นแบบไหน เพราะหลายๆ คนไม่รู้เลยว่า ดิลโด้จริงๆ วัสดุทำจากอะไร บางคนคิดว่าอะไรเป็นแท่งก็ใช้ได้หมดเลย เพราะเรามีงานหล่อที่เป็นเรซิ่น ซึ่งอันนี้ใช้งานไม่ได้นะ คุณต้องรู้จัก และเรียนรู้กับมัน ทั้งซิลิโคนยาง หรือแบบพลาสติกแข็ง มันก็เหมือนได้สอน และได้คุยกับลูกค้าไปในตัวด้วย อย่างกรง ถ้าก้มลงไปตรงเคาท์เตอร์คุณสามารถมุดลงไปได้นะ ลูกค้าบางคนเข้าไปอยู่ในนั้น จนเพื่อนที่มาด้วยกันตกใจ เป็นความสนุกที่แฝงเอาไว้ และเป็นไอเดีย

เลือกเปิดย่านปิ่นเกล้า เพราะใกล้ออฟฟิศ  

ที่เปิดตรงนี้เพราะ FORFUN Bangkok อยู่ตรงนี้ เราแค่ขยับขยายออกมา เพื่อบางคนที่มานั่งรอเพื่อน หรือซื้อของเสร็จ ก่อนจะกลับเข้าเมือง แวะกินขนม หรือดื่มเครื่องดื่มก่อน เลยใช้พื้นที่ตรงนี้ ละแวกเดียวกัน อีกอย่างคือ ถ้าเข้าเมือง ตัวเราเองอยู่ตรงนี้ เดินทางไปไม่ไหว พอมันเป็นตรงนี้ของเราเอง เราก็ทำได้เต็มที่ด้วย ถ้าไปเช่าที่ เขาอาจไม่เข้าใจ

ที่มาที่ไปของชื่อ 500 Cafe และแรงบันดาลใจ สัญลักษณ์ หรือโลโก้ร้าน 

มาจากบ้านเลขที่ค่ะ 500 ซึ่งก่อนหน้านี้เราหาหลายชื่อมากว่า จะล้อกับ FORFUN ไหม สุดท้ายเราเลือก 500 เพราะง่าย และพูดได้หลายอย่าง บางคนก็บอกมาจากหนัง Fifty Shades บางคนก็บอกโจร 500 เป็นเหมือนกองกำลังสุมกันอยู่ 

500 สีแดง พื้นหลังขาว Text สีดำ และมีกรง แต่ที่ร้านจะเจอจู๋แดงแปะทอง ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามีการผูกผ้าสามสี และแปะทอง เราก็แซวลูกค้าว่า ใครไหว้ขอให้ใหญ่ และยาว สนุกสนานกันมาก ก็คิดอยู่ว่าจะทำน้ำพุเพิ่ม

ที่นี่ถือว่าเป็น Fetish & BDSM Cafe แห่งแรกในไทย เรารู้สึกยังไงบ้าง

ถ้าใช้ชื่อ Fetish & BDSM Cafe เราน่าจะเป็นเจ้าแรก แต่ที่อื่นเขาอาจมีกิมมิกที่ใส่เล็กๆ น้อยๆ แต่เขาไม่ได้ใส่ลงท้าย Fetish & BDSM ที่เคยเจอจะเป็น Play room ที่เป็นบาร์ อยู่แถวทองหล่อ เขาก็มีโซ่แซ่กุญแจมือเหมือนกัน ซึ่งหลายๆ ที่ก็เริ่มมีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบาร์ ยังไม่มีคนทำคาเฟ่ เพราะมันก้ำกึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเอาอุปกรณ์มาแขวน แต่ของเราน้อยมาก เพราะเรากำลังบอกตัวเองว่า อยากให้คนที่ไม่รู้จักพวกนี้ รู้สึกรับได้ในความเป็นธรรมชาติของมัน โดยที่ไม่ต้องใส่อะไรเยอะแยะ ถ้าคุณสนใจจริงๆ Google มี ถ้าอยากรู้จริงๆ ข้ามไปฝั่งโน้นคุณจะได้เห็นว่ามันมีอะไรบ้าง คือ สร้างกิมมิกให้เขาสงสัย และอยากจะค้นหาต่อโดยที่ไม่ยัดเยียดเขา 

“ให้เปรียบได้กับเซ็กส์ ที่มากกว่าความเป็นเซ็กส์ ที่บียอนด์ไปถึง Fetish & BDSM”

500 Cafe คือความท้ายทาย ในการทำเรื่องเซ็กส์แบบ Fetish & BDSM ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจ

ตอนแรกโคตรท้าทาย และเครียดมาก เพราะเราต้องทำให้คนเข้าใจว่า เราไม่ได้มีเซ็กส์ หรือพูดเรื่องเซ็กส์เพียงอย่างเดียว และทำอย่างไรให้คนที่ไม่ชอบเรื่องนี้เลยเข้าใจ เพราะเพื่อนบางคนที่เป็นข้าราชการไม่กล้ากดซื้อในสิ่งๆ นี้เลย แม้กระทั่งกดไลค์ หรือแชร์โพสของตองเขายังไม่กล้า เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี ก็ตีกันเยอะกับคุณเอสที่เป็นสาย User กับตองซึ่งเป็นสายระหว่างแฟชั่น และอยู่กับคนที่ไม่ได้อยู่ด้านนี้ เราจะทำอย่างไรให้คนเข้ามาในร้านเราได้ เลยค่อนข้างยากที่จะอธิบาย โทนสี หรือสิ่งที่ทำทุกอย่างจะทำอย่างไรให้คนที่ไม่ชอบรู้สึกสนุกสนานกับการได้มา แม้จะมาแค่ครั้งเดียว กับคนที่ชอบสายนี้เขาโอเค และอยู่ในโลกปกติกับคนอื่นได้ โดยที่ไม่ได้เป็นตัวประหลาด การสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ทำความเข้าใจกับลูกค้ามันยากมาก เราจึงต้องสื่อสารทั้ง 2 ฝั่ง แล้วลูกน้องของเราก็ต้องเทรน เพราะเราไม่ได้เทรนให้เขาเป็นบาริสต้า แต่คุณคือ คนที่ให้คำแนะนำเขา เพราะเขามา กาแฟเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาอยากรู้ และอยู่ในหัวเขา คุณต้องทำความเข้าใจกับเขาให้ดีที่สุด ต้องอธิบายมากกว่ากาแฟที่คุณขาย เพราะพอพ่วงท้ายด้วย Fetish & BDSM ทุกคนอยากรู้ว่ามันคืออะไร

“คนไทยเริ่มเปิดเผยเรื่องพวกนี้มากขึ้น หลายๆ คนไม่ได้เป็นครอบครัวเดี่ยว และไม่มีได้มีลูก เขาเลยสามารถไปสร้างกิมมิก และสนุกสนานได้ หรือ บางคนอยากสั่งเฟอร์นิเจอร์ เขาก็จะปรึกษาเราว่าซื้อที่ไหน ซึ่ง Shopee มี แต่อย่าเขินเวลาพนักงานมาส่ง (หัวเราะ) หรืออยากได้งานเยอรมัน เราก็จะเทียบให้เขาเห็นเลยว่ามันดีกว่างานของไทยอย่างไร เขาจะได้รู้ว่ามันต่างกัน และถ้าอยากได้ของที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เซฟเขามากขึ้น ก็ต้องเลือกแบบนี้ แต่ถ้าบัดเจ็ทจำกัด แต่งพอเป็นกิมมิก แค่นี้ก็เพียงพอ ส่วนที่เหลือให้เขากลับไปตัดสินใจเอง

เมนูเด็ด หรือซิกเนเจอร์ของทางร้านคืออะไร แล้วมีเมนูอะไรบ้าง

ถ้าเป็นเครื่องดื่มจะมีซิกเนเจอร์ที่เป็นตัว Rubber ตัว BlowJob (Dirty Cold) แต่ส่วนอื่นๆ ที่หลายคนชอบคิดคือ มาแล้วต้องมีขนมที่เป็นซิกเนเจอร์ ซึ่งเราตั้งใจไว้ตอนแรกว่าจะไม่ขายขนม ขายแค่กาแฟ แต่ลูกค้าบอกว่าอยากให้มีขนมเพิ่ม เพราะเขาอยากอยู่ร้านนานๆ อยากกินกาแฟแล้วมีขนมด้วย เลยทำขนมขึ้นมา พอถามขนมที่เป็นซิกเนเจอร์ เราก็ต้องบอกว่า ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) เพราะเมนูเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เนื่องจากเราทำเบอเกอรี่เอง เราจะทำน้อย เราจะคุยกันว่า เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ลูกน้องรองลงมา แล้วมานั่งคุยกันว่าอยากกินอะไร พวกเราชอบกินอะไร ถ้าเราชอบกินอันนั้นเวลาขายลูกค้า เราก็จะตอบได้

ลูกค้าประจำก็จะบอกเลยว่า ถ้าขนมออกใหม่เรียกนะ เดี๋ยวมาซื้อกินก่อน เลยไม่มีซิกเนเจอร์ที่ชัดเจน แต่พยายามใส่กิมมิกที่เป็น Fetish & BDSM เป็นดีเทล เช่น น้องจู๋เล็กๆ หรือขนมนูเทล่าช็อกโกแลต เราก็ทำเป็นรูปเท้าหมา เพื่อคนที่ชอบ Pet play ซึ่งเราจะปรับเปลี่ยนเมนูเรื่อยๆ ตามแบบที่ชอบ และคอมเมนต์ของลูกค้าว่า ช่วงนี้อยากกินอันนี้ เราเลยมีโน้ตเล็กๆ ว่า อยากได้เมนูพิเศษให้ถามบาริสต้า หรือพนักกงานเราทำให้ได้นะ ลูกค้าบางคนถามเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ เราก็บอกเขาไปว่า ซื้อแบบไหน แล้วแนะนำให้ทำกินเอง แต่ลูกค้ากลับบอกมาว่ามันไม่ได้ฟีลต้องกินที่ร้าน เบอเกอรี่บางอันเกิน 3 วันเราก็ไม่ขาย เราจะทิ้งเลย ถึงไม่เสียแต่ก็จะไม่เสียดาย เพราะมันไม่อร่อย 

“เราดื่มอะไร กินแบบไหน ลูกค้าก็ต้องกินแบบนั้น แต่ทุกเมนูคนเราชอบไม่เหมือนกัน เราเลยหาจุดกึ่งกลางกับพนักงานออฟฟิศของเราเป็นหลัก และหลังจากนั้นลูกค้าก็ปรับตามความชอบของเขาเองว่าอยากได้แบบไหน”

โกโก้ของที่ร้าน เมนู Rubber ซึ่งมันเข้มข้น และลูกค้าก็ตั้งให้เองว่า โกโก้ร้านนี้ เติมน้ำอีกรอบก็ยังเป็นโกโก้ ซึ่งลูกค้าต่างชาติจะชอบมาก เราได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าสิงคโปร์ว่า โกโก้ที่ถูกต้อง ต้องเป็นแบบนี้คือ ไม่ใส่นมข้น และไม่ใส่อย่างอื่น แค่นม และไซรัปคือพอ 

ถ้าเป็นสูตรของร้านเราจะใส่โอ๊ตมิลค์ เพราะมีความเป็นโกโก้ชัดขึ้นอีก แต่ลูกค้าต่างชาติจะใส่นมสดอย่างเดียว ที่ร้านเลยจะเสิร์ฟแบบอเมริกันสไตล์ มีเมนูเดียวที่ใส่นมข้นหวานคือ Orgy เป็นไทยสไตล์ เป็นเอสเพรสโซ่เย็นใส่นมข้น และครีมเทียม ซึ่งบางคนอาจจะไม่ค่อยถูกปากสำหรับบางเมนู เพราะมันไม่มัน และนัว แต่ลูกค้ากว่า 80% ของเราเป็นชาวต่างชาติ เขาเลยโอเคกับตรงนี้ 

วัตถุดิบที่ทางร้านเลือกใช้ มาจากไหนบ้าง 

ตองสั่งจากแบรนด์ที่เขามีอยู่ในตลาด แต่เราลองเลือกทุกเบรนด์ และชิมเองหมดเพื่อเทส ของ bluekoff ซึ่งเป็นเมล็ดกาแฟ Single origin เขามาจากเชียงราย ซึ่งตองใช้คั่วเข้มเป็นหลัก อีกตัวแบบเบลนด์ซึ่งผสมหลายอย่าง ตองใช้ WTF ซึ่งเป็นของแบรนด์ที่เขามีร้านกาแฟอยู่แล้วแถวลาดพร้าว ซึ่งลูกค้าจะบอกว่าอร่อย เพราะมันเป็นคั่วอ่อน มีความเปรี้ยวหวาน และช็อคโกแลตผสม ซึ่งเขาเบลนมาแล้วให้เรา เราจะเรียกป๊อปเปอร์ เพราะผสมมะนาวโซดา น้ำเชื่อมใช้ของเปแซ หลายๆ คนก็จะบอกว่ามันแพง ถึงได้บอกว่า อย่าถามเรื่องคุ้มทุน และกำไรไหม เพราะไม่มี ตอนไปเรียนทำกาแฟครูที่สอนปวดหัวเลย ซึ่งต้องเรียนเพราะจะได้เรียนรู้สิ่งที่ถูก และผิด และต้องเรียนรู้กระบวนการ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นทำไปเรื่อยๆ อร่อยไม่ซ้ำจำสูตรไม่ได้ (หัวเราะ) ตองเรียน 3 วัน โดยมีพื้นฐานความชอบกาแฟเป็นทุนเดิมของตัวเองอยู่แล้ว 

หัวใจสำคัญของการทำ 500 Cafe 

ต้องการให้ที่นี่เป็นคอมมูนิตี้ ไม่ได้ต้องการขายกาแฟ หรือเบเกอรี่ เพราะเราต่อยอดเพื่อรองรับลูกค้าอย่างเดียวเลย เพราะเรารู้สึกว่า ลูกค้าของเราควรมีพื้นที่ในระหว่างที่รอ หรือไม่จำเป็นต้องมา FORFUN ก็ได้ เพราะต้นทุนมันท่วมกำไรจนไม่รู้จะอย่างไรแล้ว แค่เลี้ยงตัวเองได้ อาจไม่ได้ต่อยอดเรื่องกำไร  หรือรายได้ แต่ต่อยอดเรื่องสถานที่ พอเรารู้แล้วว่า ร้านกาแฟมันไม่ได้รองรับในเรื่องส่วนที่ทำคอนเทนต์ หรือเรื่องเพศโดยเฉพาะ เราก็ต่อยอดไปในส่วนของการทำสตูดิโอ ซึ่งสามารถทำคอนเทนต์ อยากถ่ายรูปแนว Sex workers ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเยอะ และ Sex Creator ก็เยอะเหมือนกัน หลายๆ คนติดต่อขอใช้สถานที่ถ่ายรูปแบบนั้น แต่ทางร้านไม่อนุญาติ รอสตูดิโอแล้วเชิญเลยค่ะ เต็มที่เลย

มีวิธีแก้ไข หรือจัดการปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างไร 

อุปสรรคเดียวเลยคือ ตีกัน 2 คนกับคุณเอส ตอนเป็น FORFUN คือเครื่องแต่งกาย คือทีมเดียวกัน แต่พอเป็นร้านกาแฟ มันเริ่มคนละขั้วแล้ว เพราะในคาเฟ่ ความรู้สึกเรามันต้องเน้นตรงบาร์ คุณเอสเขาเอาไว้สุดท้ายเลย (หัวเราะ) เขามองว่าอยากให้ร้านออกมาสวย แล้วคนมาถ่ายรูป กาแฟเป็นส่วนหลัง แต่เรามองว่า คาเฟ่กาแฟต้องมาก่อน แล้วที่เหลือค่อยมาแต่ง 

อีกอย่างคือ คุณเอสอยากให้ร้านโอเพ่นเยอะๆ คือลูกค้าเต็มที่กับที่นี่ แต่เรามีเรื่องของสาธารณะ และมีคนที่เขาไม่ได้ชอบ เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน คุณเอสก็ต้องไปอธิบายลูกค้าฝั่ง User ให้เข้าใจ ส่วนตองก็ต้องอธิบายกลุ่มลูกค้าของเราว่า คนที่แต่งตัวแบบนี้เขาไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่ดี หรือไม่ปกตินะ เขาแค่มีความชอบแบบนี้แล้วแต่งเฉยๆ ในพื้นที่ของเขา เราเลยต้องตั้งกฏ 5 ข้อขึ้นมา พอเปิดร้านไปได้สักพัก เราก็เริ่มจูนกันได้แล้ว คือถ้าเรา 2 คนจูนกันได้ เท่ากับเราสื่อสารกันเองได้ ลูกค้าทั้ง 2 ฝั่งก็เข้าใจ แล้วคุณเอสเขาโปรโมตในทวิตเตอร์ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ เปิดมาก แต่ต้องไม่ลืมบอกกฎเขาด้วยนะ ส่วนคนที่มานี่ เราจะบอกว่า อย่ามองว่าเขาแปลก มันคือไลฟ์สไตล์ที่อยู่ร่วมกันได้ ตอนนี้ตองกับคุณเอสเพิ่งสมานฉันท์กัน บอกแล้วว่ามีหุ้นส่วนแค่ 2 คนพอ เพราะทำธุรกิจทุกคนหวังผลกำไรนะ บอกเลยทำร้านกาแฟหวังรวยไม่ได้ ยกเว้นคุณขายแฟรนไชส์ หรือมีอาหาร แต่ร้านกาแฟตอนนี้เป็นดอกเห็ดมาก คนเดี๋ยวนี้คือ ขาจร ไปครั้งเดียวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ น้อยคนมากที่ขาประจำ เพราะเขาเลือกกินกาแฟที่ในเรทไม่เกิน 60 บาท ดังนั้น ต้องหาจุดประสงค์ให้เจอว่า เปิดร้านกาแฟเพื่ออะไร เพราะมันยากมากเลย

ถ้าพูดในแง่ของธุรกิจ Cafe เปิดเยอะ และมีการแข่งขันสูงมาก คิดว่าเป็นอุปสรรคสำหรับเราไหม?

ถือว่าเป็นอุปสรรคนะ เพราะคุณเอสเขาคาดหวังว่ามันจะทำกำไร แต่ในความเป็นจริงเรารู้เลยว่า ทำเลเราผิด และผิดทุกอย่าง ปกติเราต้องดูก่อนว่า ทำเลอยู่ตรงไหน มีคนเข้า-ออก มากน้อยแค่ไหน จึงค่อยมาตั้งราคา แต่ที่นี่ผิดทุกอย่าง ตั้งราคาจากต้นทุนเอา เราเลยมีจุดขายแค่ เรื่องการตกแต่งร้าน ลูกค้าของตองจึงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ขาประจำจาก FORFUN กับขาจร ซึ่งทั้ง 2 สายไม่ได้ทำกำไรทั้งคู่เลย อีกอย่างร้านกาแฟในละแวกนี้เยอะมาก ตัวตองเองยังใช้บริการของทุกร้านที่อยู่รอบๆ และเราไม่สามารถทำเมนูแปลกใหม่ได้ตลอดเวลา เพราะสุดท้ายก็เป็นการเพิ่มต้นทุนแต่ละร้านจึงต้องหาจุดเด่นของตัวเอง แล้วมานั่งคุยกันว่า จุดประสงค์เปิดร้านคืออะไร ลูกค้าของตองจึงไม่สามารถเห็นร้านตั้งอยู่ริมถนนได้ ซึ่งต้องเป็นคนที่อยากมาจริงๆ เราต้องทำให้เขารู้สึกว่า เขามาแล้วได้อะไรกลับไปบ้าง เพราะคิดเสมอว่า เขามาครั้งเดียวแล้วก็ไป มันเลยเป็นจุดที่แข่งกับตัวเองให้เขาประทับใจ และมีการพูดถึง บอกต่อ ไม่ได้แข่งเรื่องธุรกิจ รายได้กับร้านรอบข้าง

“แต่ร้านเราไม่มีปลั๊กไฟให้นะคะ เพราะอยากให้ทุกคนมาคุยกัน เพราะลูกค้าเป็นต่างชาติเยอะ เขาจะไม่ค่อยหยิบมือถือและมานั่งทำงาน ซึ่งต่างจากคนไทย เพราะเราอยากให้คนเข้ามาโฟกัสความเป็นคอมมูนิตี้ การพูดคุย การทำกิจกรรม และการแลกเปลี่ยนกัน ถ้าอยากได้ตรงนี้ที่อื่นมีเยอะแยะ ซึ่งเราก็จะอธิบาย ไม่มีทีจอดรถให้ซึ่งอาจจะมีหน้าบ้านในบางครั้ง และเราจะแนะนำให้จอดเมเจอร์ดีกว่า 4 ชม. 20 บาท สบายใจกว่า คือ เราจะมีการพูดคุยกันตั้งแต่ก่อนเข้าร้าน ยันเข้ามาใช้บริการแล้ว”

Fetish & BDSM ที่เป็น Community หรือ Cafe ในต่างประเทศเป็นอย่างไร (ต่างจากบ้านเรามากน้อยแค่ไหน)

เรารับฟีดแบ็กมาจากลูกค้าเยอรมัน เขาบอกว่า ต่างประเทศเขาเปิดเรื่องนี้มาก อย่างเยอรมันเขาไม่มีร้านคาเฟ่แบบนี้ เป็นแค่บาร์ หรือร้านอาหารที่มีกิมมิกของเขา เข้าไปถ้าเป็นบาร์คือมีอะไรกันได้เลย ไม่สามารถพาลูกเล็กเด็กแดงไปได้ เค้าก็แซวๆ เราว่า ยูไปเปิดไหม (หัวเราะ) กลายเป็นลูกค้าต่างประเทศอยากให้มันซอฟท์แบบนี้ ไม่ได้อยากฮาร์ดคอร์ หรือที่ไต้หวัน และญี่ปุ่น ก็จะเป็นแนวฮาร์ดคอร์เลย เข้าไปเพื่อทำอย่างว่า ซึ่งลูกค้าต่างชาติบอกตองว่า บางทีคนที่ชอบแบบนี้ ไม่ได้อยากเข้าไปนั่งที่ร้านเพื่อจะมีอะไรกันแบบนั้น แค่อยากมาเจอกันพูดคุยกันเฉยๆ 

ส่วนตัวคิดว่า ในประเทศไทยยอมรับกับเรื่อง Fetish & BDSM มากขึ้นจากเดิมไหม

เปิดเยอะมาก อย่างที่บอกว่า เรื่องเซ็กส์เราจะคุยกันไม่ค่อยได้ เราจะมาพูดในที่สาธารณะไม่ได้ แต่วันนี้ทุกคนพูดได้ เพียงแต่ว่ากาละเทศะในการพูดคุณจะพูดตอนไหน แล้วจะพูดอย่างไร ที่ไม่ให้รู้สึกล่วงละเมิดเขา ซึ่งมันมีเทคนิคการพูดเยอะแยะไปหมด จะเป็นเรื่องโจ๊กแบบที่ไม่ละลาบละล้วงก็ได้ หรือการให้คำปรึกษาก็ได้ แต่ต้องรู้จักการพูดระหว่างกัน ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า Infulencer หรือดารา ที่เขาพยายามนำเสนอเรื่องเซ็กส์ให้กลายเป็นเรื่องที่ควรรู้ มันช่วยเปิดโอกาสตรงนี้ได้มากขึ้น น้องๆ อายุน้อยๆ ก็จะรู้ว่า จะเข้าถึงเรื่องพวกนี้แบบถูกต้องได้อย่างไร ขอคำปรึกษาใครได้บ้าง คนที่เป็นวัยคู่สมรสก็มีกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยเหลือตรงนี้ มีนักจิตวิทยา มีโน่นนี่นั่น ถึงคุณแต่งงานกันแล้ว แต่เซ็กส์ไปด้วยกันไม่ได้ก็ไม่รอด จากเมื่อก่อนห้ามผู้หญิงพูดเรื่องพวกนี้ แม้แต่งงานแล้วก็คุยกับใครไม่ได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นภรรยาจูงสามีมาดูของที่นี่ เขากล้าที่จะพูดมากขึ้น หรือบางคนเริ่มขอคำปรึกษาเพื่อไปสู่ผู้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น ต้องนัดพบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาไหม หรือเป็นแค่รสนิยม เพราะเกิดมีอันตรายเกิดขึ้นกับเขา คนที่เสียใจที่สุดก็คือตัวเขาเอง พ่อแม่สมัยใหม่กล้าพูดกับลูกโดยพามาร้านกาแฟของเรา เราก็โอเค แต่คุณก็ต้องให้เกียรติคนอื่น และป้องกันตัวเองไม่ให้ใครมาล่วงละเมิดสิทธิของเรา และป้องกันความปลอดภัยเมื่อจะมีเซ็กส์

“500 Cafe ช่วยสร้างความเข้าใจ การยอมรับ หรือการเข้าถึงในเรื่อง Fetish & BDSM มากขึ้น”

500 Cafe ในอนาคตจะเป็นอย่างไร 

แพลนต่อไปคือ ทำสตูดิโอ อยู่ตึกติดกันเลยค่ะ เป็นสตูดิโอ 4 ห้อง ข้างล่างสามารถจัด Community ได้ เป็นแนวฮาร์ดคอร์มากขึ้น อีกอย่างคือ อยากเอา FORFUN ที่มี 500 Cafe เป็นกิมมิกเล็กๆ ไปอยู่ใจกลางเมือง ในรูปแบบแฟชั่นมากขึ้น เพราะถึงจุดที่เราอยากให้คนรู้จักเราในรูปแบบของแฟชั่น อาจเน้นไปเลยว่า เสื้อผ้าไม่ต้องเยอะ และมีกิมมิก มีร้านกาแฟอยู่ในนั้น แต่ก็ต้องดูสถานการณ์เศรษฐกิจ และโลก ว่าถ้าไปลงทุนแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะทำแล้วอยากให้คนประทับใจว่า คุณได้มาถึงตรงนี้จริงๆ ที่แตกต่างจากคนอื่นจริงๆ นี่คือที่ต่อยอดไว้หลังจากสตูดิโอเสร็จ สตูดิโอเสร็จปลายปีนี้ (ช่วงเดือนกันยายน 66) มี RESTROOM, Backrooms, Shibariroom และห้องน้ำขนาดใหญ่ สำหรับคนที่ชอบเล่นน้ำ เล่นเลอะๆ เล่นสี ลูกค้าจัดเต็มได้เลยค่ะ เรามีแม่บ้านทำความสะอาด

“อยากให้คนที่ไม่รู้จัก Fetish & BDSM ได้รู้จักและยอมรับว่า เราอยู่ร่วมกันได้ แล้วรสนิยมพวกนี้ก็คือ อีกทางเลือกหนึ่งที่มีคนชื่นชอบ เป็นตัวชูรักชูรสในชีวิต เข้าใจและกล้าที่จะเรียนรู้ว่ามันคืออะไร” 

500 Cafe

500 ซอยแซมมี่ บางบำหรุ บางพลัด กรุงเทพมหานคร 10700 (Google Map)

เปิดให้บริการทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ 

ตั้งแต่เวลา 14:00 - 23:00 น.

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Facebook: 500 Cafe
Instagram: 500cafebangkok
Twitter: @500cafebangkok