Culture

เจ้าสาวนักรบ ผู้ถูกทอดทิ้งไว้กับภารกิจอันใหญ่หลวง

ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น มีรายงานจากค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งถึงเรื่องของพฤติกรรมจากหญิงสาวไอซิส ที่ใช้กำลังบังคับให้เด็กชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมาเป็นเครื่องมือในการสืบพันธุ์ เพื่อหวังจะสร้างประชากรให้มากยิ่งขึ้น 

ในสถานที่อย่างค่ายผู้ลี้ภัย พวกเรามักจะได้ยินเรื่องราวที่น่าหดหู่ใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนอาหาร, การทะเลาะวิวาท, ความแออัดในพื้นที่, ความหมดสิ้นเสรีภาพ และความเป็นส่วนตัว รวมไปถึงการถูกทำให้เป็น ‘ทาสกาม’ หรือ ‘Sex Slave’ ที่มักจะปรากฏให้เห็นเป็นภาพของผู้หญิงที่ต้องถูกบังคับขืนใจให้มีเพศสัมพันธ์อย่างรุนแรง และโหดร้ายมาก แต่ในครั้งนี้เหตุการณ์ที่ถูกนำเสนอออกมาค่อนข้างน่าประหลาดใจ และเป็นเรื่องที่ไม่เคยถูกนำเสนอมาก่อนคือ เมื่อหญิงสาวไอซิสเป็นฝ่ายบังคับขืนใจให้เด็กชายอายุ 13 - 14 ปี มีเพศสัมพันธ์เพื่อหวังจะเพิ่มจำนวนประชากร กลับตาลปัตรจากการที่เหยื่อมักจะเป็นผู้หญิง แต่ในคราวนี้ทาสกามเป็นเด็กชายที่ยังไม่ได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ด้วยซ้ำ ภาระกิจนี้ถูกปลูกฝังจนเป็นความเชื่อในการทำหน้าที่ผลิตประชากรจำนวนมาก เพื่อให้รัฐศาสนาอิสลามกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในฐานะ ‘เจ้าสาวนักรบ’

Photo Credit: NBC News

ความรุ่งเรือง (อีกครั้ง) ของรัฐศาสนาอิสลาม ตามความเชื่อของไอซิส

‘นักรบ’ ที่เราได้พูดถึงไปในตอนต้นนั้น เป็นคำที่ใช้เรียกแทนกลุ่มผู้ชายของไอซิส ที่จะต้องถูกฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้กลายมาเป็นนักรบตามความเชื่อของพวกเขา ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายนักรบก็หมายถึง กองกำลังทหาร ในส่วนของผู้หญิงที่เข้าร่วมกลุ่มไอซิสจะมีสถานะเป็นเจ้าสาวนักรบ ก็ตรงตามชื่อเรียกเลยคือ เป็นเจ้าสาวให้แก่เหล่านักรบชาย หน้าที่ของพวกเธอมีแค่อย่างเดียวคือ มีเพศสัมพันธ์กับสามี และตั้งท้องเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรออกไปได้ให้เร็วที่สุด เรียกได้ว่า เน้นปริมาณแบบสุดๆ แล้วกลุ่มคนพวกนี้มาจากไหนกัน? ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2018 - 2019 กลุ่มไอซิสมีการประกาศรับสมัครชายหญิงจากทั่วทุกมุมโลกเป็นจำนวนมาก เพื่อเข้าร่วมกองกำลัง ภายใต้อุดมการณ์ ‘ฟื้นฟูรัฐอิสลามให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง’ ซึ่งเจ้าสาวนักรบก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่อยู่ในประกาศรับสมัครเช่นกัน 

แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ไม่นาน กองกำลังนานาชาติเข้าปราบปรามกลุ่มไอซิส เหล่านักรบ ผู้บังคับบัญชา และหน่วยอื่นๆ จึงถูกดำเนินการไปตามระเบียบ แต่ปัญหาคือ เจ้าสาวไอซิสไม่ได้เข้าสู่สนามรบ พวกเธอเป็นเครื่องมือผลิตประชากรเท่านั้น อีกทั้งภายในกลุ่มนี้ยังมีเด็ก และผู้หญิงที่โดนลักพาตัว และใช้กำลังบังคับให้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าสาวไอซิสอยู่ด้วย พวกเธอทั้งหมดจึงถูกส่งไปที่ค่ายลี้ภัย พร้อมกับชุดความเชื่อจากการล้างสมองที่ยังคงอยู่ ค่ายผู้ลี้ภัยจึงกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติภารกิจใหม่ของเหล่าเจ้าสาวไอซิส

‘Shamima Begum’ หญิงสาวที่หนีออกจากสหราชอาณาจักร และเข้าร่วมกลุ่ม ISIS ในวัย 15 ปี
Photo Credit: The Times

เพราะอะไรที่ทำให้ผู้หญิง ยอมที่จะกลายเป็นแม่พันธุ์ในสนามรบ 

เหล่าเจ้าสาวไอซิส หากสังเกตดูจริงๆ แล้วพวกเธอมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือ พวกเธอถูกโลกใบนี้กดทับ จนต้องลุกขึ้นมาหาความหมายในชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การที่โลกกำลังตีกรอบให้เหล่าผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามกลายเป็น ‘คนชายขอบ’ ถูกเหยียด และกดขี่อย่างไร้ความเท่าเทียม ยิ่งไปกว่านั้นการเป็นผู้หญิงในสังคมชายเป็นใหญ่แบบนี้ ยิ่งเปรียบเหมือนการกดทับ ซ้อนลงบนการกดทับอีกทีหนึ่ง จนทำให้พวกเธอต้องอยู่แบบ ‘ไร้ตัวตน’ เมื่อโลกทิ้งขว้าง และหันหลังให้กับผู้หญิงในกลุ่มไอซิส พวกเธอจึงก้าวเข้าร่วมสนามรบในฐานะแม่พันธุ์แห่งกองกำลัง เพื่อให้อย่างน้อยที่สุดพวกเธอก็ไม่ถูกผลักให้เป็น ‘คนอื่น’ 

ด้วยจุดร่วมนี้เองที่ทำให้การประกาศรับสมาชิกเข้ากลุ่มไอซิสที่เราพูดถึง มีผู้หญิงชาวตะวันตกบางคนตัดสินใจเข้าร่วมด้วย สาเหตุหลักๆ ก็เกิดมาจากกระแสบนโลกโซเชียล ที่เปิดเผยให้พวกเธอได้รู้จักกองกำลังไอซิส และได้เห็นถึงชีวิตของเหล่าผู้หญิงที่ถูกโลกใบนี้หันหลังใส่ ซึ่งมันก็ช่างตรงกับความในใจของพวกเธอ จึงเป็นแรงจูงใจที่ทำให้มีสมาชิกหญิงจากโลกตะวันตกเข้าร่วมในกองกำลังไอซิส

จากการสัมภาษณ์ผู้หญิงหลายคนที่ตัดสินใจเข้าร่วมกองกำลังนี้ พวกเธอได้กล่าวถึง การไม่เป็นที่ต้องการของสังคม พวกเธอมักจะต้องเจอกับปัญหา ‘การไม่มีสังคมในชีวิตจริง’ รู้สึกตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของใคร สิ่งเหล่านี้ทำให้ภูมิคุ้มกันของพวกเธอค่อยๆ หายไป เริ่มมองหาหนทางอื่นที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่า จนกระทั่งโซเชียลมีเดียพาพวกเธอไปเจอเข้ากับกลุ่มไอซิสในที่สุด

‘Kimberly Polman’ เจ้าสาวไอซิสชาวแคนาดา / ‘Hoda Muthana’ เจ้าสาวไอซิสจากรัฐแอละแบมา สหรัฐอเมริกา
Photo Credit: The Hamilton Spectator / People

การถูกผลักไสให้เป็นคนชายขอบ ไร้ตัวตน และเป็นคนอื่น กลายเป็นจุดอ่อนที่กองกำลังไอซิสหยิบมาขยี้เพื่อดึงเหล่าหญิงสาวเข้าร่วมกองกำลัง ด้วยกลยุทธที่ใช้ ‘ความนอบน้อม ความอบอุ่น และการแสดงออกถึงความต้องการ’ มามัดใจว่า พวกเธอทั้งหลายสามารถเป็นส่วนหนึ่ง มีตัวตน และมีบทบาทในสังคมใดสังคมหนึ่งได้ จากสาวพลเมืองโลก จึงผันตัวสู่แม่พันธุ์แห่งกองกำลังไปในที่สุด ด้วยความหวังที่ว่า วันหนึ่งภาพฝันแห่งยุครุ่งเรืองของศาสนาอิสลามจะเกิดขึ้น

ในท้ายที่สุดแล้วการเข้าร่วมกองกำลังก็ไม่ได้ทำให้พวกเธอเป็นที่ยอมรับ และมีตัวตนในสังคมใดสังคมหนึ่งอยู่ดี ในความเป็นจริงพวกเธอถูกมองเป็นแค่แม่พันธุ์ในฟาร์มผลิตมนุษย์ที่ต้องนับถืออิสลาม และเติบโตมาด้วยการเป็นคนที่สังคมไม่ต้องการ ก็เพียงเท่านั้น แม้แต่การฝึกฝนเป็นนักรบเพื่อร่วมสงคราม ก็ยังเป็นบทบาทที่จำกัดไว้เฉพาะผู้ชาย เนื่องจากแนวคิดชายเป็นใหญ่ที่มองเพียงแค่ความเชื่อ ยึดมั่นในอุดมการณ์ และไม่ได้สนใจความสงบสุขส่วนรวม 

มันช่างเป็น Bad Joke ที่ขำไม่ออก เพราะท้ายที่สุดแล้วนานาชาติที่ไม่อินกับความเชื่อที่ขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม ก็เข้าทำการปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงนี้ จนมีจุดจบเป็นความตาย หรือไม่ก็โดนจับไร้อิสรภาพ ไม่ได้ใกล้เคียงกับภาพความเป็นใหญ่ของรัฐอิสลามเลยสักนิด สุดท้ายความหวังของกลุ่มผู้หญิงที่อยากจะเป็นที่ต้องการของใครสักคน ก็ต้องพังครืนลงมา เพราะเหล่านักรบที่พวกเธอแต่งงานด้วยก็มาตายจากไป ทิ้งให้พวกเธอกลับไปเป็นโนบอดี้เหมือนเดิม ครั้นจะกลับประเทศของตัวเองก็ทำไม่ได้ เพราะมีป้ายตีตราว่าเป็น ‘กลุ่มผู้หญิงที่ถูกกองกำลังไอซิสล้างสมอง’

Photo Credit: Foreign Policy

ในปัจจุบันเด็กผู้ชายหลายคนที่ถูกล่วงละเมิด หรือข่มขืนโดยผู้หญิงไอซิส ได้รับการช่วยเหลือจากผู้คุม และเจ้าหน้าที่แล้ว แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนของเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ายลี้ภัยก็ได้ การที่มีผู้คนกว่าครึ่งแสนอยู่ในการดูแล ย่อมเป็นเรื่องยากในการบริหารจัดการ เราเชื่อว่ามีเหยื่ออีกหลายคนที่ยังไม่ถูกช่วยเหลือ เหยื่อที่ไม่ใช่แค่เด็กผู้ชาย แต่กลุ่มเจ้าสาวนักรบเองก็เป็นเหยื่อเช่นกัน เราทำได้เพียงแค่หวังให้พวกเธอได้รับความช่วยเหลือให้มากที่สุด 

เหตุการณ์นี้ก็คงสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากสภาวะสงคราม และการแย่งชิงความเป็นใหญ่ เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนหนึ่งมันมาจากปัญหาความชายเป็นใหญ่ในศาสนาอิสลาม ที่มีมาตั้งแต่อดีต และยังจะมีตลอดไป เราไม่ได้มีเจตนาการกล่าวร้ายแก่ความเชื่อทางศาสนา แต่จากความเป็นจริงที่ปรากฏออกมาให้เห็น สิทธิเสรีภาพของชาวมุสลิมไม่มีอยู่จริง เพราะครั้งหนึ่งผู้ชายเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในวันนี้อนาคตแห่งกองกำลังอย่างเหล่าเด็กชาย กลับเป็นฝ่ายถูกข่มขืนอย่างไร้ศีลธรรมโดยผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามด้วยกันเอง เพื่อสนองเหตุผลอันไร้ศีลธรรมเกินจะให้อภัยได้ นี่ขนาดว่าเรายังไม่ได้พูดถึงเรื่องความเสี่ยงด้านสุขภาพ อย่างโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก็ยังเห็นถึงความเลวร้ายมากมายที่เกิดขึ้นจากแนวคิดการกลับมาเรืองอำนาจของรัฐอิสลามได้ขนาดนี้แล้ว เราได้แต่หวังว่า กลุ่มคนที่โดนแย่งชิงสิทธิเสรีภาพไปจะได้รับการเยียวยาที่เหมาะสม และปัญหาทางความคิดของสังคมชายเป็นใหญ่จะหมดไปจากโลกเสียที

อ้างอิง

Brandthink
Cambridge Core
CBC
Daily Beast
Dailymail
Insider