Culture

‘กลิ่นหนังสือ’ ร้านหนังสืออิสระ ณ เมืองน่าน สร้างจากคนรักหนังสือสู่นักอ่านที่รัก

กลิ่นหอมลอยคลุ้งอยู่บนอากาศ เพียงได้กลิ่นก็ทำให้นึกถึงวันวานที่น่าจดจำ กลิ่นเป็นดั่งเครื่องเตือนความทรงจำ กลิ่นคือเอกลักษณ์ที่แม้ไม่ได้สัมผัสแต่เรารับรู้ถึงมันได้จากความคุ้นเคย 

สำหรับคนรักหนังสือ ถ้าเราพูดถึงกลิ่นหนังสือ ก็คงจะเป็นกลิ่นที่นึกออกกันได้ไม่ยาก เพียงแต่ ‘กลิ่นหนังสือ’ (Klinnangsue) ที่เรากำลังจะเล่าถึงต่อไปนี้ ไม่ได้หมายถึงกลิ่นที่สูดดมผ่านจมูก แต่เป็นชื่อของร้านหนังสืออิสระเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในจังหวัดน่าน จังหวัดที่ยังอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่แสนสงบ

และเป็นอีกหนึ่งวันที่ดีที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับ ‘คุณเพชร’ หญิงสาววัย 28 ปี ผู้รักและหลงใหลในการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก เจ้าของร้านกลิ่นหนังสือที่เรียกได้ว่าสำหรับคนรักหนังสือแล้ว จะต้องเป็นอีกร้านหนึ่งที่เราคุ้นเคยและรู้จักกันอย่างแน่นอน เพราะร้านกลิ่นหนังสือไม่ได้มีเพียงหน้าร้านที่ตั้งอยู่ ณ จังหวัดน่าน แต่ยังมีบริการจำหน่ายหนังสือผ่านทางเว็บไซต์ รวมถึงช่องทางออนไลน์ในหลายๆ ช่องทาง 

หากจะถามว่าเพชรเริ่มชอบอ่านหนังสือได้ยังไง? คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเด็ก เธอเป็นคนชาติพันธุ์ ชาวเขาเผ่าเย้าที่อาศัยอยู่บนดอยในจังหวัดน่าน เป็นสถานที่หล่อหลอมให้เธอเกิดและเติบโตกลายเป็นคนที่รักในการอ่าน ตั้งแต่เด็กๆ เพชรมักใช้เวลาไปกับหนังสือที่อยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน บนดอยที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หนังสือจึงได้กลายเป็นเพื่อนที่สามารถคลายเหงาและทำให้เธอพบเจอกับโลกอีกใบที่อยู่ภายในหนังสือแต่ละเล่ม

“เราจำได้ว่าหนังสือในห้องสมุดตอนนั้นจะเป็นพวกวรรณกรรมหรือไม่ก็สารานุกรม รามเกียรติ์ หนังสือเรียน แต่ที่ทำให้เราเริ่มรักและชอบการอ่านขึ้นมาจริงๆ เลยจะเป็นพวกหนังสือขายหัวเราะ มหาสนุก สาวดอกไม้กับนายกล้วยไข่ หนังสือพวกนี้จะอยู่ในตัวเมือง เราก็ต้องเก็บเงินเพื่อมาซื้อ ราคาก็จะมีเริ่มตั้งแต่ 10-15 บาท ในหนึ่งอาทิตย์ถึงจะมีคนเข้าเมืองสักครั้งหนึ่ง เขาจะมีรถกระบะแล้วก็จะขนคนในหมู่บ้านไปพร้อมกัน ซึ่งเราก็จะรอคอยเวลานั้นเพื่อตามยายไปซื้อหนังสือมา 2 เล่ม แล้วก็อ่านวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น”

ก่อนจะเป็น ‘กลิ่นหนังสือ’

หลังจากเรียนจบจากคณะสังคมสงเคราะห์ สาขาวิชาการพัฒนาเด็กเยาวชนและครอบครัว จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอยู่ในช่วงรอรับปริญญา 4-5 เดือน อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหัวเลี้ยวหัวต่อที่ยากกว่าครั้งไหนๆ ของเด็กจบใหม่หลายๆ คนที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอะไรให้กับชีวิตของตนเองต่อไป ในส่วนของตัวคุณเพชรเอง เธอเลือกที่จะใช้เวลานี้ออกเดินทางไปเป็นครูอาสาที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลา 4 เดือน เธอบอกกับผู้เขียนว่าช่วงเวลานั้นช่างมีค่าและได้เห็นตัวเองที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น การได้ใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดโรงเรียนกับเด็กๆ และได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกัน กลายเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ทำให้เธอเข้าใกล้ความฝันที่อยากจะเปิดร้านหนังสือขึ้นมาอีกขั้น 

“พอพูดถึงกลิ่นหนังสือขึ้นมาเราจะนึกถึงเรื่องราวของเรากับเด็กๆ ที่ห้วยส้มป่อย นึกถึงเรื่องราวของตัวเองตอนเป็นเด็กด้วย มันเป็นมากกว่ากลิ่นที่ได้ผ่านจมูก แต่มันจะหมายรวมไปถึงความทรงจำต่างๆ ของเราที่มีหนังสือผูกโยงอยู่ในนั้น”

“หลังจากจบการเป็นครูอาสา เราก็ตัดสินใจเลือกมาเป็นครูที่กรุงเทพฯ อีกหนึ่งเทอม ในช่วงเวลานั้นเราได้บังเอิญไปห้องสมุดที่ชื่อว่า ‘The reading room’ ในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรัก เขาได้จัดกิจกรรมหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า Blind date with a book จะเป็นการเลือกหนังสือกลับมาเดทกัน เขาไม่ได้ขายแต่จะเป็นการให้ยืมกลับไปอ่าน”

‘Blind date with a book’ เป็นการเลือกหนังสือที่ถูกห่อไว้โดยที่ไม่เห็นหน้าปก แล้วให้เราตัดสินใจเลือกจากคำโปรยที่ถูกเขียนด้วยลายมืออยู่บนหน้ากระดาษที่ห่อหนังสือเอาไว้ คุณเพชรเล่าว่าเธอถูกใจวิธีการนี้มาก หลังลาออกจากการเป็นครู เธอจึงเริ่มขายหนังสือมือสองของตัวเองที่มีอยู่โดยใช้วิธีการขายรูปแบบเดียวกับ Blind date โดยให้สิทธิ์ลูกค้าสามารถตั้งราคาได้ด้วยตนเอง 

“เราทำด้วยความรู้สึกที่ว่ามันน่าจะสนุกดี แต่ทีนี้พอหนังสือของเราที่กรุงเทพฯ หมด เราก็กลับมาอยู่น่าน หนังสือที่น่านเราก็ขายหมดเช่นกัน เราเลยคิดว่าจะทำยังไงให้ร้านมันยั่งยืนและอยู่ได้นานขึ้น จึงเริ่มเปลี่ยนมาเป็นมือหนึ่ง รวมถึงเปลี่ยนวิธีการทำงานให้มันมีขั้นตอนมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน”

มาสู่ ‘กลิ่นหนังสือ’

‘ที่นี่ เงียบสงบมาก’ สโลแกนแห่งร้านหนังสือที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เราได้ถามคุณเพชรว่าทำไมถึงเลือกตั้งเป็นสโลแกนนี้   

“เรากลับมาเริ่มทำกลิ่นหนังสือที่บ้านบนดอย ในหมู่บ้านตอนนั้นเมื่อ 4-5 ปีก่อน ไม่มีคนวัยเดียวกับเราอยู่เลย ถ้าไม่ใช่เทศกาลก็จะไม่มีคนวัยเดียวกับเรากลับมา จะมีแต่เด็กกับคนสูงอายุกับคนวัยกลางคนนิดหน่อย ในหมู่บ้านมันสงบมาก เรารู้สึกเลยว่าที่นี่มันเงียบสงบจริงๆ” 

“ไม่ได้หมายถึงแค่ความเงียบสงบภายนอก แต่สโลแกนนี้หมายรวมไปถึงภายในจิตใจเมื่อเราได้อยู่ที่ร้านกลิ่นหนังสือ ว่าเมื่อเขามาเขาจะพบกับความเงียบสงบภายในจิตใจของเขา”

ในหลายครั้งสำหรับผู้เขียน ร้านหนังสือเปรียบเสมือนหลุมหลบภัย ในทุกครั้งที่อยากผ่อนคลาย อยากหยุดนิ่งและหลีกพ้นจากความวุ่นวาย สถานที่ที่เรียกว่าร้านหนังสือจะเป็นที่แรกๆ ที่เราจะนึกถึงเสมอ และการได้พบกับร้านหนังสือที่ตรงใจ ก็ยิ่งไม่ต่างจากการได้เจอกับมิตรที่คุยกันถูกคอ ให้ความรู้สึกสบายใจและวางใจได้ดั่งคนที่รู้จักกันอย่างดี 

หนังสือชุบชูใจ

“บทกวีที่ร้านกลิ่นหนังสือจะขายดีมาก รวมถึงหนังสือที่เป็นความเรียงสั้นๆ แนวให้กำลังใจช่วงนี้ก็จะขายดี อาจจะเพราะว่าจิตใจของผู้คนช่วงนี้ต้องการหนังสือที่สามารถเยียวยาจิตใจของเขาได้ ทางร้านเราไม่ได้มีวิธีการเลือกหนังสือที่ตายตัว แต่ส่วนมากก็จะเป็นวรรณกรรมค่อนข้างเยอะ ในบางครั้งสายตาของเราอาจจะไม่ได้กว้างไกลเพียงพอที่จะเห็นหนังสือหลายๆ เล่ม ก็จะมีลูกค้าที่เขาสนใจและแนะนำทางเรามาเหมือนกัน”

ในทุกครั้งที่เพชรพูดถึงหนังสือ ผู้เขียนสามารถสัมผัสได้ถึงความสุขของเธอ แม้เราจะไม่เห็นหน้ากันก็ตาม และในฐานะเจ้าของร้านหนังสือ ผู้เขียนจึงขอให้เธอช่วยแนะนำหนังสือ 3 เล่มที่คิดว่าเราควรได้อ่านกันสักครั้ง

เล่มแรก ‘คนจรดาบ’ เขียนโดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง

“เราพึ่งรู้จักหนังสือเล่มนี้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปทริปหนึ่งชื่อว่า อ่านเถิดหนา ก็จะมีกิจกรรมที่ให้เราไปอ่านหนังสือด้วยกัน ซึ่งก่อนที่จะไปเราได้แวะร้านหนังสือในกรุงเทพฯ ก่อน เห็นหนังสือคนจรดาบวางอยู่และหยิบขึ้นมา ลังเลว่าจะอ่านหรือไม่อ่านแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อมา แต่บังเอิญว่ามีพี่ในทริปเอาหนังสือเล่มนี้ไป เรารู้สึกว่าน่าสนใจมากเลยกลับมาซื้อ อ่านรวดเดียวจบเลย เนื้อเรื่องดำเนินในยุคกรุงศรีอยุธยา แต่วิธีการเล่าจะคล้ายจีนกำลังภายใน มันสนุกมาก อยากแนะนำ”

เล่มต่อมา ‘คอแนเกอร์’ (Conagher) เขียนโดย Louis L'Amour

“เนื้อหาเล่าถึงคนเหงา เป็นเรื่องผจญภัยบนหลังม้าแนวคาวบอย ในสมัยนั้นบ้านแต่ละหลังจะอยู่ไกลกันมาก เป็นทุ่งกว้าง เขาไม่รู้จะสื่อสารถึงกันยังไง นางเอกเลยเขียนถึงความเหงาที่ตัวเองรู้สึก แล้วปล่อยจดหมายให้ปลิวไปตามลม ซึ่งจดหมายได้ปลิวไปถึงพระเอกที่อยู่อีกฝากหนึ่ง พระเอกอยากจะเขียนตอบกลับ แต่ต้องรอวันที่ลมเปลี่ยนทิศถึงจะสามารถเขียนจดหมายกลับไปได้”

และเล่มสุดท้าย ‘ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว’ เขียนโดย โยะรุ ซุมิโนะ

“เป็นวรรณกรรมแปลของญี่ปุ่น เราได้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้ในวันหยุด ปกติเราเป็นคนที่ทำงานแบบไม่มีวันหยุด จนวันหนึ่งตัดสินใจว่าจะหยุดก็เลยได้อ่านเล่มนี้ มันทำให้เราฉุดคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในชีวิต หนังสือเล่าเรื่องของเด็กประถมคนหนึ่งที่ต้องทำการบ้านวิชาหนึ่งกับเพื่อน โดยมีโจทย์ว่าอะไรกันแน่คือความสุขที่แท้จริงในชีวิต เล่มนี้มันติดอยู่ในใจเรามากๆ อยากให้คนอื่นได้ลองอ่านดู”

‘กลิ่นหนังสือ’ ในวันข้างหน้า

“อยากทำชั้นหนังสือเป็นของตัวเอง เราเป็นพวกบ้าซื้อชั้นหนังสือพอๆ กับหนังสือเลย ถ้ามีโอกาสอาจจะเริ่มทำตรงนี้ให้มันเป็นจริง ถ้าเวิร์คก็อาจจะทำจำหน่ายได้ อีกอย่างหนึ่งคือห้องสมุด เมื่อก่อนเคยทำห้องสมุดออนไลน์ในเว็บไซต์ของร้าน แต่ว่าตอนนี้ยังปิดปรับปรุงเพราะมีบางส่วนที่ต้องปรับ แต่ว่าในอนาคตเราอยากจะมีห้องสมุดที่เป็นห้องสมุดในพื้นที่จริงๆ ถ้าเกิดว่ามีทุนและกำลังพอก็อาจจะเริ่มจากบนดอยก่อน แล้วถ้ามีทุนและกำลังอีกก็อยากไปทำอีกหลายๆ ที่”

“เรารู้สึกว่าห้องสมุดมันเป็นสิ่งที่ช่วยให้หลายๆ คนเข้าถึงหนังสือมากขึ้น ตอนเราเป็นเด็กพอได้เข้าถึงหนังสือ เราเริ่มชอบอ่านก็มาจากห้องสมุดด้วย ในอนาคตเราอาจจะมีนักอ่าน นักเขียน หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมาจากการมีห้องสมุดดีๆ ให้กับผู้คน ตอนที่เราไปเป็นครูอาสาอยู่บนดอย มีเด็กๆ ที่เขาเริ่มอยากอ่านอยากเขียนก็มาจากห้องสมุดเหมือนกัน เราเลยรู้สึกว่าเห็นพลังตรงนั้น”

และท้ายที่สุดแม้จะรู้ดีว่านี่เป็นคำถามที่ผู้เขียนมักจะชอบถามอยู่บ่อยๆ แต่ก็คงจะอดไม่ได้จริงๆ หากจะไม่ได้ลองถามคุณเพชรสักครั้ง ว่าอะไรคือความสุขของการได้ทำร้านหนังสือ เธอได้ตอบกลับมาอย่างใจดีว่า

“เราคิดว่าการที่เราไม่ต้องถามตัวเองนี่แหละคือความสุข เราไม่ต้องมานั่งเค้นตัวเอง คิดอย่างเคร่งเครียดว่าเราต้องให้เหตุผลกับตัวเองว่าความสุขคือแบบไหน เราคิดว่ามันไม่ใช่แบบนั้น” 

“ตั้งแต่เราทำร้านหนังสือมา 4-5 ปี เราไม่เคยต้องตื่นขึ้นมาถามตัวเองเลยว่าความสุขคืออะไร เพราะว่ามันจะรู้สึกสุขอยู่แล้ว ถ้าเรามีความสุขมันจะรู้สึกได้ด้วยตัวเอง”

ติดตามร้าน ‘กลิ่นหนังสือ’ ได้ที่

Facebook: ร้านกลิ่นหนังสือ
Instagram: klinnangsue
Twitter: klinnangsue
Website: klinnangsue.co