เมื่อโลกมันโหดร้าย ให้ PLACEBo CLUB, weird stuff that helps ช่วยฮีลกายฮีลใจ

ในโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเสี่ยง ความเร่งรีบ และความไม่แน่นอน ส่งผลให้ชีวิตของคนอัดแน่นด้วยความเคร่งเครียด จนนำไปสู่ภาวะ “หมดไฟ” ที่ใครๆ ก็หยิบคำนี้มานิยามตัวเองในช่วงหลัง เช่นเดียวกับ วริศ ลิขิตอนุสรณ์, เผ่า – เผ่าภูมิ ชีวารักษ์, ตั๋ม – นพล วิรุฬหกุล และโกโก้ – พิชญะ เภตราไชยอนันต์ กลุ่มเพื่อน 4 คน ที่รู้สึกเหนื่อยล้ากับสังคมที่สุดแสนจะสิ้นหวัง และต้องการพื้นที่ ‘ฮีลลิ่ง’ ร่างกายกับหัวใจ เกิดเป็น ‘PLACEBo CLUB, weird stuff that helps’ ชมรมเล็กๆ ที่ใช้วิธีการสุดแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใครเข้ามาช่วยเยียวยาใจคนยุคใหม่ ที่ไม่ว่าสู้ชีวิตมากแค่ไหน ชีวิตก็สู้กลับไม่หยุดหย่อน 

EQ จะพาไปดูพื้นที่ฮีลลิ่งน้องใหม่ ที่เชื่อว่าของเวียร์ดๆ จะช่วยปัดเป่าความเครียดของคนเราให้หายไป พร้อมสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้ใครก็ตามที่ได้เดินเข้ามา สามารถปลดปล่อยความเครียดได้จนสุด และรู้สึกได้เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ 

จุดเริ่มต้นของ PLACEBo CLUB, weird stuff that helps และที่มาที่ไปของชื่อ ว่ามาจากไหน ทำไมต้องเป็นชื่อนี้ 

วริศ: ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด-19 ที่การเมืองรุนแรง พวกเราทั้ง 4 คนไม่ได้ทำงาน คือผมออกจากบริษัทตัวเอง โกโก้ออกจากนิตยสาร ตั๋มกับเผ่าก็หยุดทำงานละคร งานศิลปะ แล้วด้วยความหมดหวังทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เราก็เลยกลับมามองเข้าไปในตัวเองกัน ก็เลยได้พบกับความงมงาย ความสนใจเวทมนตร์ ความไร้สาระตอนเด็กๆ เพราะว่ามันไม่มีอะไรจะเสีย ต่อให้พยายามทำมาหากิน มันก็ทำไม่ได้ ไม่มีความหวังอะไรเลยในประเทศนี้ เราเลยหันมาสนใจเครื่องมือของ “ผู้แพ้” อย่างพวกเวทมนตร์ การแพทย์ทางเลือก (Alternative Healing) การดูดวง การทดลองอะไรที่มันงมงาย และเป็นเรื่องเชิงจิตวิญญาณต่างๆ เพราะในสถานการณ์ที่เราช่วยอะไรไม่ได้เลย อย่างน้อยเราได้สนับสนุนเพื่อนผู้เคลื่อนไหว หรือสนับสนุนคนในสังคมให้มีความรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ได้ คือตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คนอื่นนะ เราตั้งใจทำให้ตัวเอง ทำให้กันเอง มันเลยไม่ได้สำคัญว่ามันจะ ‘ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่’ หรืออยู่ในความเป็นจริงที่โลกกระแสหลักยอมรับหรือไม่ เอาแค่มันทำให้รู้สึกดีขึ้นก็พอ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อด้วย เราตั้งชื่อมันไปเลยว่า PLACEBo CLUB ที่มาจากภาษาแล็บวิทยาศาสตร์ แปลว่าผลจากการกินยาหลอก คนไข้รู้สึกดีขึ้นไปเอง ทั้งๆ ที่ในยาไม่ได้มีอะไร เพื่อที่จะบอกทุกคนที่มาสนใจหรือเข้ามาว่า ‘กูรู้ว่ามึงมองว่ากูงมงาย’ 

“นี่ไม่ใช่คลินิก ไม่ใช่เวลเนสเซนเตอร์ และไม่ใช่ร้านนวดด้วยซ้ำ นี่คือชมรมการทำอะไรก็ตามที่ทำให้คนสามารถรู้สึกดีขึ้น พอไหวกับการใช้ชีวิตต่อไป”

โกโก้: คำว่า placebo สื่อถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นจากการมโนของคนไข้เอง ไม่เกี่ยวข้องกับวิธีการบำบัดหรือรักษา จริงๆ แล้วคำว่า placebo เป็นคำที่ใช้ในวงการแพทย์แบบปฏิฐานนิยม เพื่อดิสเครดิสวิธีการต่างๆ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แม้ว่าจะสัมผัสได้เชิงประจักษ์ก็ตาม หมายถึงอารมณ์ความรู้สึกจะถูกจัดออกจากสมการ ความเป็นมนุษย์จะถูกมองเบาไปทันที สิ่งที่ทั้ง 4 คนทำคือตั้งใจที่จะ empower ความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น การที่เราใช้คำว่า placebo ก็เป็นการกวนตีนว่า ‘เออ สิ่งที่เราทำมันเป็นเรื่องมโน ไม่มีหลักการเชิงวิทยาศาสตร์อะไรหรอก’ 
วริศ: เป็นเรื่องน่าสนใจที่ปัจจุบันในวารสารวิทยาศาสตร์ แวดวงวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมานุษยวิทยาการแพทย์ทั่วโลก มองว่า placebo effect ไม่ใช่ศัตรูของการรักษา แต่กลับเป็นสิ่งที่ควรศึกษาเพื่อจะได้รู้ว่ามนุษย์จะใช้เรื่องของจิตใจหรือความเชื่อมาเยียวยาตัวเองได้อย่างไร เพราะในหลายเคสที่ placebo ไม่ใช่การหลอกตัวเอง ว่าสิ่งที่ไม่จริงกำลังเกิดขึ้นกับร่างกาย ในทางตรงกันข้าม มันคือกระบวนการที่ร่างกายสร้างความจริงของมันขึ้นมา แล้วร่างกายก็พัฒนาตัวเองไปเป็นแบบนั้นจริงๆ เช่น หลายคนเคยหายปวดท้องทันทีที่ไปหาหมอ แม้หมอยังไม่ได้จ่ายยา หมอในโรงพยาบาลต้องพบกับคนไข้ที่มาถึงแล้ว ตรวจแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร สภาวะที่เราพูดถึงกันอยู่นี้เกิดขึ้นทั่วไป แทบจะทุกคนเคยเจอ แต่เรามองข้ามมันไปเฉยๆ ในขณะที่ PLACEbo CLUB เราจะให้ความสำคัญกับอะไรแบบนี้มากๆ เพราะที่สุดแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรู้จักทุกความเจ็บป่วย และเยียวยาด้วยการมองโลกมุมเดียวได้

ทำไมจึงเลือกสร้างพื้นที่ในการ ‘ฮีลลิ่ง’ ขึ้นมา คุณมองเห็นปัญหาอะไรในยุคนี้ที่ทำให้คุณคิดว่าสังคมต้องมีพื้นที่แบบนี้เกิดขึ้น

โกโก้: อันที่จริงไม่ได้เลือก ตอนนั้นทุกอย่างมันเจ๊ง เราโดนแกล้ง โดนบีบให้ออกจากงาน เราออกมาไม่นาน บริษัทก็เจ๊ง ตอนนั้นก็มีหลายที่อยากให้เราไปทำงานกับเขา แต่เราไม่เอาแล้ว เราพอแล้วกับระบบการทำงานแบบเดิม เขาไม่อนุญาตให้เราเป็นมนุษย์ อันที่จริงเราว่าคนส่วนใหญ่ก็คงรู้สึกเหมือนกัน PLACEBo CLUB เลยเป็นที่พักใจสำหรับหลายๆ คน เป็นสถานที่ที่คนจะได้กลับมาสำรวจความเป็นมนุษย์ของตัวเองและคนรอบข้าง 
วริศ: งานสุดท้ายที่เราทำ มันเรื้อรังจนไม่ไหวแล้ว เราฉีกทุกสัญญาที่มีอยู่ แล้วไปนั่งโง่ๆ เลย เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้แพ้ในโลกทุนนิยม และไม่มีแรงบันดาลใจที่จะกลับไปสู้กับมัน ไม่มีแรงบันดาลใจที่จะไปเป็นผู้ชนะต่อ เราว่าเราทั้ง 4 คนในตอนนั้นรู้สึกเหมือนกัน คือ Healing Arts ไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกมันอย่างจงใจ พวกเราทำอย่างอื่นมาก่อน แต่จนถึงจุดหนึ่งมันร้าวรานจนไม่ไหว ต้องหาวิธีฮีลใจตัวเอง เหมือนกับว่าศิลปะพวกนี้มันเลือกเรา เพราะตอนนั้นเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมัน

‘แล้วพวกเราเห็นอะไรเหรอ’ พอมองไปรอบๆ มองไปที่ถนนที่ไม่ได้มีไว้ให้คนเดิน เลื่อนนิวส์ฟีดที่มีคนกำลังอดข้าวเพื่อขอให้ศาลทำตามกฎหมาย ไม่ก็ใครไม่รู้ใน TikTok กำลังเต้นอย่างไม่รู้จบ วินาทีถัดไปก็มีเสียงอ่านโฆษณาที่พยายามขายของเราตลอดเวลา มองเข้าไปในสภา มองเข้าไปในพื้นที่สาธารณะที่กลายเป็นห้าง มองเข้าไปที่เงินเดือนนักศึกษาจบใหม่เทียบกับราคาทองหนึ่งบาท หายใจเข้าไปแล้วพบกับอากาศที่เรียกว่า PM2.5 ไม่ก็พบกับสายตาคนข้างๆ ที่ระแวงว่าคุณใส่หน้ากากหรือเปล่า มองเข้าไปในพระสงฆ์ มองเข้าไปในทหาร มองเข้าไปในตำรวจ มองเข้าไปในเจ้าสัว มองเข้าไปในผู้ปกครอง มองเข้าไปในทุกอย่าง แล้วมองกลับเข้ามาในตัวเอง มองชีวิตยามเช้า คุณตื่นกี่โมง กินอะไร เดินทางอย่างไร ผ่อนอะไรอยู่บ้าง จะตายลงแบบไหน งานที่ทำมีคุณค่าอย่างไร เดินผ่านคนไร้บ้านวันละกี่คน ไม่มากก็น้อย 

“เราปฏิเสธที่จะเห็นความจริงเหล่านี้เพียงเพื่อจะใช้ชีวิตต่อไปได้ เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ต้องหมุนฟันเฟืองร่างกายตัวเองไปจนตาย โดยปราศจากคำถามถึงคุณค่าและสิ่งที่ควรเป็น คุณจะต้องเป็นคนที่สุดยอดมาก ไม่ก็รวยและมีอำนาจมากๆ ไม่ก็โง่มากๆ ถ้าจะมีความสุขกับทั้งหมดนี้ได้ แล้วไม่รู้สึกว่า I need healing”

กิจกรรมของ PLACEBo CLUB จัดสรรตามความถนัดของผู้ร่วมสร้างคลับทั้ง 4 คน อยากให้แต่ละคนช่วยเล่าเรื่องสิ่งที่ตัวเองถนัดให้ฟังได้ไหม ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมคุณจึงสนใจศาสตร์นี้ แล้วมันช่วยฮีลลิ่งร่างกายและจิตใจอย่างไร 

ตั๋ม: สิ่งที่ทำอยู่ มีฐานจาก ‘folk magic’ และ ‘witchcraft’ ภายใต้ความคิดที่ว่า ถ้าโลกนี้แบ่งง่ายๆ เป็นโลกที่จับต้องได้ อย่างร่างกาย สิ่งของต่างๆ รอบตัว กับอีกโลกคือโลกที่จับต้องไม่ได้ อย่างอารมณ์ความรู้สึก ความฝัน โลกของความเชื่อ จิตวิญญาณ สำหรับเรา ทั้งสองโลกส่งผลต่อการใช้ชีวิตพอๆ กัน แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องมือหรือวิธีการที่จะเข้ามาช่วยจัดการกับโลกที่จับต้องไม่ได้ folk magic และ witchcraft จึงเข้ามามีบทบาทกับการจัดความสัมพันธ์ ระหว่างตัวเองกับโลกที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งหากย้อนไปดูองค์ความรู้ของ witchcraft ก่อนที่จะมีสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราเรียกว่า folk magic ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็มาจาก folk medicine หรือหมอชาวบ้าน หมอตำแย มันเป็นความรู้การเยียวยาในสมัยที่โลกกายภาพและโลกจิตวิญญาณไม่ได้แยกออกจากกัน เราไม่ได้บอกว่าเราควรจะกลับไปใช้วิธีดั้งเดิม เราคิดว่าทุกศาสตร์พัฒนาขึ้นมาต่างกัน มีข้อดีต่างกันไป แล้วเราก็ควรใช้ประโยชน์จากข้อดีเหล่านั้น 

เราเยียวยาผ่านพิธีกรรม กิจกรรม และวิธีการแบบ folk magic และ witchcraft สำหรับเรา กิจกรรมเหล่านี้มีลักษณะเดียวกันกับศิลปะแขนงอื่นๆ หลายอย่างในชีวิตมันไม่ได้ทำงานในระดับ consciousness อย่างเดียวเท่านั้น บ่อยครั้งที่สิ่งรบกวนชีวิตและจิตใจนั้น ทำงานกับเราก่อนที่เราจะรู้ตัวหรือรับรู้ถึงการมีอยู่ของมันด้วยซ้ำไป กิจกรรมที่เราทำจึงเป็นเหมือนช่วงเวลาที่ค่อยๆ ให้สิ่งรบกวนเหล่านัั้นปรากฏตัวออกมา รับรู้การมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น หลังจากนั้นก็ใช้พิธีกรรมและกิจกรรมต่างๆ เข้ามาทำงาน


เผ่า: ของเราคือ ประคบร้อนแบบฮอร์เม (Hormé) และซาลุง (Tsalung) ที่มีรากฐานมาจาการดูแลตัวเอง และการปฏิบัติทางจิตวิญญาณแบบวัชรยาน ทั้งคู่ทำงานกับสิ่งที่ชาวทิเบตเรียกว่า ‘ลม’ ในร่างกาย หรืออาจเข้าใจในฐานะ ‘ปราณ’ (vital force) แน่นอนว่ามันผูกพันกับอารมณ์และความเป็นไปของร่างกายตามคำอธิบายแผนโบราณ แต่สิ่งที่เราสนใจและปรับใช้ คือระหว่างกระบวนการ มันเปิดพื้นที่ให้เจ้าตัวได้มีบทสนทนากับคุณค่าของตัวเอง ที่มีอิทธิพลเหนือร่างกายตัวเองมากกว่า เช่น เวลาทำฮอร์เม แล้วมันจะมีจุดที่ความร้อนไม่เข้า อย่างบริเวณฝ่ามือ อันนี้คือไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า หรือชาวออฟฟิศซินโดรม คือคอตึงจากพฤติกรรมการทำงานอย่างเดียว หรือมีคำถามสะสมต่อตัวเองว่าอยากทำงานแบบนี้จริงหรือเปล่า เป็นต้น โดยเกณฑ์เหล่านี้ก็อิงจากองค์ความรู้โบราณที่มีร่วมกันในหลายแขนง และมีไว้เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ในชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ส่วนเราก็เป็นเหมือนเพื่อนร่วมสนทนา ตามแต่ผู้เข้าร่วมอยากพูดถึง ประสบการณ์ของแต่ละคนก็จะต่างกันไปตามสภาวะอารมณ์ของเขา พูดง่ายๆ คือ เราชวนคนพูดถึงปัญหาของเขา โดยใช้ฮอร์เมหรือซาลุงเป็นเครื่องนำการสนทนา

ระหว่างทางของ session จะไม่ใช่เพื่อความผ่อนคลาย แต่เป็นภาคบังคับที่กระชากคนๆ หนึ่งกลับมาที่ร่างกาย เพื่อให้เจ้าตัวได้ยินเสียงกรีดร้องที่ซุกซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อ และบ่อยครั้งมันจะทำงานเร็วเมื่อเจ้าตัวได้คุยกับตัวเอง ซึ่งเรายินดีที่จะได้เห็นคนๆ หนึ่งเล่าปัญหาของตัวเองภายใต้สภาวะทางการเมืองและสังคมที่ทำร้ายทุกคน ทั้งคนที่ตื่นตัว ไม่สนใจ หรือไม่รู้ก็ตาม อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ปวดตึงเฉยๆ เราก็จะแนะนำให้ไปคลินิกกายภาพบำบัดเถอะ (หัวเราะ) แต่จะมาลองก็ไม่เสียหาย 
โกโก้: เราหลงใหล ‘วิชาสายเต๋า’ มาตั้งแต่จำความได้ ดูหนังจีนแล้วงงว่ามันคืออะไร จับชีพจรแล้วรู้ทุกอย่าง เอาเข็มจิ้มร่างกายทำไม นับนิ้วแล้วรู้อดีตกับอนาคต คนจะตายก็ถ่ายพลังแล้วฟื้น สมุนไพรกินแล้วเด็กลง 10 ปี โตหน่อยก็ว่ามันคงทำไม่ได้จริงหรอก แต่ก็ได้ยินคนพูดเรื่อยๆ ว่ามันมีคนทำอะไรพวกนี้ได้จริง แล้ววันหนึ่งเราก็ได้เจอกับคนที่ทำได้ สุดท้ายเราก็ขอเรียนกับเขา

อาจารย์เป็นหมอแพทย์แผนจีนที่ไปศึกษาศาสตร์แบบก่อนปฏิวัติวัฒนธรรม (Classical Chinese Medicine) มันเป็นวิชาก่อนที่ความเป็นหมอจะถูกวิทยาศาสตร์แบบปฏิฐานนิยมกลืนกิน หมอแทบจะไม่ต่างจากหมอผี ใช้การมองโลกแบบที่คนปัจจุบันน่าจะมองว่างมงาย หรือเป็นพลังเหนือธรรชาติ แล้วเขาจะไม่แยกร่างกายกับจิตใจ เราใช้ฐานอันนี้บวกกับศาสตร์พลังงานหลายๆ อย่าง คือใช้อะไรก็ได้ให้คนที่มาหาเราสบายกายใจ แต่สิ่งที่เราทำก็จะเป็น ‘energy healing แบบรวมๆ’ ไม่ใช้วิธีการแบบที่ต้องมีใบอนุญาต แค่เอามือจับ พูดคุย กับใช้รูป รส กลิ่น เสียง สร้างประสบการณ์องค์รวมให้กับคนที่มาเข้าร่วม บางทีก็ใช้เครื่องดนตรีบ้าง ใช้คริสตัลบ้าง ใช้ไม้คทาวิเศษแบบเก๋ๆ บางทีก็ไม่ได้ใช้อะไรเลย ไม่ได้จำกัดความเชื่อ เอาที่เราชอบ กับที่เห็นว่าเวิร์กเป็นหลัก 

วริศ: ของเราคือ ‘Alternative Music Therapy’ กับ ‘Sound Healing’ คือการใช้เสียงในเชิงพิธีกรรม กับการใช้เสียงเพื่อเยียวยาจิตใจ ทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ วัฒนธรรมการใช้เสียงแบบนี้เป็นของเก่าและมีอยู่ทั่วโลก และยังเป็นของใหม่ที่ไม่มีเจ้าที่ ยังพัฒนาไม่หยุดอีกด้วย คำตอบว่าช่วยได้อย่างไรที่เป็นแบบดั้งเดิมที่สุดคือ คนโบราณมองว่าเวลาร่างกายและจิตใจมันเจ็บป่วย เกิดจากสภาวะไม่สมดุลย์ บางอย่างมากไป บางอย่างน้อยไป โจทย์ของเราก็คือทำให้ทุกอย่างมันค่อยๆ กลับมาพอดีผ่านเสียง เราเคยเจอตั้งแต่นอนไม่หลับ ประจำเดือนไม่มา อยากมีแฟน อยากได้เงินคืน หงุดหงิดไม่ทราบสาเหตุ อยากฆ่าตัวตาย สะเก็ดเงิน หมดไฟ  มะเร็งระยะสุดท้าย ไปจนถึงผีเข้า ซึ่งในบางเคสคือมันก็แก้ปัญหาจริงๆ บางเคสก็ช่วยสนับสนุนให้ชีวิตประจำวันของเขามีความสุขได้มากขึ้น เช่นถ้าเป็นมะเร็ง เราไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การรักษา แต่เรามุ่งเป้าไปที่การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับมะเร็ง การจัดการกับทัศนคติและจินตนาการของเขา เพื่อสนับสนุนการรักษาตัวเองของเขา และการรักษาที่เขารับเป็นหลักอยู่อีกที่หนึ่ง เรามองว่าหน้าที่ของ Sound Healing หรือ Music Therapy มันต่างจากหน้าที่ของหมอ คือหลายครั้งมันไม่ได้มีหน้าที่สู้กับความเจ็บป่วยโดยตรง แต่มีหน้าที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านต่างๆ มันราบรื่นที่สุด เช่น ชีวิตระหว่างป่วยเป็นหายป่วย หรือแม้กระทั่งจากป่วยเป็นลาจากโลกนี้ไป เราทำยังไงให้ ‘ทำนอง’ และ ‘จังหวะ’ ชีวิตของเขาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น แม้จะเศร้าแต่สามารถงดงาม เข้าอกเข้าใจ และเป็นความจริงที่สุดเท่าที่จะทำได้

อันที่จริงเราไม่อยากให้คนมองว่าสิ่งนี้ต่างจากศิลปะทั่วไป เราอยากให้ทุกคนมองว่าสิ่งที่เราทำมันก็คือศิลปะ และศิลปะนี่แหละที่มีคุณสมบัติในการเยียวยา โดยเฉพาะเมื่อมันพุ่งเป้าไปที่ผู้ชม ‘เพียงคนเดียว’ หรือ ‘This is not just an art, this is the art for you’ มันก็จะมีพลังในการเยียวยาโดยธรรมชาติ เราอยากให้สังคมเชื่อในศิลปะมากขึ้นว่ามันเยียวยาคนได้ โดยไม่ต้องสนใจว่ามันคือวิทยาศาสตร์หรือเวทมนตร์ ถ้าคุณเคยดูหนังแล้วร้องไห้ ฟังเพลงแล้วใจฟู นั่นก็คือศิลปะที่กำลังทำงานกับร่างกายคุณ สิ่งที่เราศึกษาคือ ทำอย่างไรให้มันไปได้ไกลกว่านั้น ทำอย่างไรให้มันเฉพาะเจาะจงได้มากกว่านั้น นั่นคือ Music Therapy และ Sound Healing ซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ ทุกคนบนโลกมีสิทธิค้นหาร่วมกัน ยังไม่มีใครมีสิทธิออกใบรับรองให้ใครทั้งสิ้น

คนยุคนี้มีความเครียด ปัญหาทางใจ หรือความกดดันในชีวิตมากกว่าคนในยุคก่อนหรือไม่ แล้วทำไมคนยุคนี้จึงต้องการพื้นที่ในการเยียวยาใจมากกว่าคนยุคก่อน หรือจริงๆ มนุษย์ทุกยุคสมัยก็ต้องการพื้นที่เยียวยาใจเหมือนกัน เพียงแต่ยุคนี้ความเข้าใจหรือการตระหนักถึงเรื่องปัญหาสุขภาพทางใจมีมากกว่ายุคก่อน

โกโก้: เราว่าคนสมัยนี้ต้องเจอกับสิ่งเร้ามากระตุ้นเยอะมาก ทุกอย่างล้วนพยายามดึงให้เราไม่ได้อยู่กับตัวเอง ดึงไม่ให้มีความลึกซึ้งในการมีชีวิต ให้ใจรู้สึกหิวโหย แต่ดีที่สมัยนี้คนไม่เก็บกดเท่ารุ่นพ่อแม่ และตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิตมากขึ้น คนยุคนี้มองเห็นปัญหาเรื่องจิตใจ และออกมาแก้ไขปัญหากันมากกว่าคนยุคก่อนๆ ปัญหาชีวิตมันค่อนข้างเป็นปัจเจก แต่สิ่งที่ดูจะกระทบทุกคนคือปัญหาการเมือง ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกหมดหวังกับชีวิตในประเทศนี้ 
วริศ: ไม่น้อยเลยที่เราทำงานกับบูมเมอร์ แล้วสัมผัสได้ว่าเขารู้สึกเครียดและเป็นทุกข์ แต่ด้วยยุคสมัย หรือวัฒนธรรมของเขา มันบอกให้เขาเก็บเอาไว้ ร้องไห้ก็ต้องฮึบ ผู้หญิงต้องอดทน ผู้ชายต้องเข้มแข็ง ว่าง่ายๆ คือทุกคนต้องไม่แสดงออกนั่นแหละว่าตัวเองเศร้า จม ล้มเหลว การกินยานอนหลับคือน่าอาย ไปหาจิตแพทย์คือเป็นบ้า มันก็ไม่สามารถแสดงออกได้ หรือชี้วัดอะไรได้แบบรุ่นเราที่ทุกคนพร้อมจะตะโกนว่า โลกมันเหี้ย แล้วกูเครียด เราว่าความเครียดของคนทุกยุคมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน และเปรียบเทียบกันได้ยากไปจนถึงไม่ได้เลย แต่อย่างเราเองก็จะมีจินตนาการอยู่ตลอดว่าความทุกข์ของคนยุคนี้เกิดจากคนยุคก่อน เช่น เพราะยุคก่อนกว้านซื้อที่ดิน ยุคนี้จึงไม่มีที่ดิน เพราะยุคก่อนใช้ไม้เยอะ ยุคนี้ไม้จึงแพง ป่าจึงโล้น เพราะยุคก่อนผลิตทุกอย่างที่อยากผลิตโดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ยุคนี้จึงเกิดวิกฤตธรรมชาติ เพราะบรรพบุรุษเราไม่คิดถึงเรื่องผังเมือง เราถึงมีชีวิตกรุงเทพที่เป็นแบบนี้ เรามีจินตนาการว่าเรากำลังอาศัยอยู่บนบาปข้ามรุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่นี่ก็เป็นจินตนาการของเรา เป็นความรู้สึกตอนนี้ของเรา ถ้ามองกันด้วยเหตุด้วยผล คนรุ่นก่อนเขาก็คงไม่รู้หรอกว่าทำแล้วมันจะฉิบหาย รู้แล้วก็คงจะไม่ทำ และนั่นหมายความว่า เขาก็คงทุกข์เพราะเขาไม่รู้ และมากกว่านั้น เขาอาจจะทุกข์กว่าด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร ข้อมูล การศึกษา วัฒนธรรมเรื่องการดูแลสุขภาพจิตตอนนั้นมันยังไม่แข็งแรงเท่าตอนนี้ ทุกวันนี้เราเชื่อในใบรับรองแพทย์ หากแพทย์เขียนว่าคนนี้เป็นซึมเศร้า แล้วอนุญาตให้คนหยุดงาน หยุดเรียนได้ สิ่งที่เป็นหมุดหมายสำคัญว่าไม่รู้ว่าเศร้าขึ้นไหม แต่รู้ว่ารับมือกับความเศร้าได้ดีขึ้น เทียบกับเราเองตอนเด็กๆ มันก็ดีขึ้นมาก

การมีพื้นที่ให้คนมาแชร์เรื่องราว หรือมาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือเยียวยาหัวใจซึ่งกันและกันแบบ PLACEBo CLUB จะส่งผลดีต่อปัจเจกและสังคมในวงกว้างได้อย่างไร 

วริศ: เราไม่ได้สนใจสังคมวงกว้าง ด้วยเนื้อผ้าของ Placebo เอง และด้วยความที่ตัวเองก็เคยทำงานประเภทที่พยายามจะเปลี่ยนสังคมเป็นสิบปี เรารู้ตัวว่าเราทำมันไม่ไหว ไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากพอจะทำอะไรแบบนั้น แต่เราพาตัวเองมาอยู่แนวหลัง และสนับสนุนผู้คนที่ทำงานกับวงกว้าง สนับสนุนสุขภาพกาย ใจ และจิตวิญญาณของเขา แบบที่เพื่อนจะทำได้ เรารักในจังหวะและทำนองแบบนี้ ในการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม


“การเปลี่ยนแปลงสังคมวงกว้างเป็นงานของคนอีกกลุ่มนึง และเราทำหน้าที่กอดเขา ซับน้ำตาให้เขา เอาหมอนให้เขาหนุนนอนในวันที่โลกทั้งใบมันแข็งกร้าวกับเขาเหลือเกิน”

โกโก้: วงกว้าง​ไม่รู้เหมือนกัน​ครับ แต่ปัจเจก​คือสิ่งที่เราทำกัน มันสามารถ​ทำให้คนกลับไปใช้ชีวิตต่อได้อย่างมีความสุข​มากขึ้น

ความท้าทายของการทำธุรกิจรูปแบบนี้ และความคาดหวังต่อการทำธุรกิจหรือเป้าหมายต่อไปของ PLACEBo CLUB

โกโก้: มันไม่ใช่ธุรกิจ​สำหรับเรา​ ความยากของการทำสิ่งนี้ก็คงเป็นการที่ถูกมองด้วย​คำจำแนก​ต่างๆ หลายคนมองเราเป็นธุรกิจ​เลยคาดหวังอะไรบางอย่างที่ธุรกิจ​เขาจะทำกัน เราว่าสิ่งที่ PLACEBo CLUB เป็น มันค่อนข้างมีความส่วนตัวและละเอียด​อ่อนเกินกว่าที่จะเป็นธุรกิจ​ได้ ส่วนตัวแล้วมันยากมากที่จะตั้งชื่อ​กิจกรรม​แล้วให้คนเข้าใจว่ามันคืออะไร พิมพ์​อธิบาย​ก็ยังยาก เพราะสิ่งที่ทำมันทำงานกับข้างในลึกๆ มันจะรู้สึกประสบการณ์​ชัดเจนมาก แต่ถ้าให้พูดออกมาจะไม่ง่าย 

วริศ: คนไม่เข้าใจว่าเราไม่ใช่ธุรกิจ ทุกคนใน Club เป็นฟรีแลนซ์ กระเป๋าตังแยกกัน เราไม่มีอำนาจต่อกัน อยากทำก็ทำ จะเลิกทันทีก็ได้ ไม่มีใครได้รับผลกระทบ ไม่ต้องมีใครมารับงานต่อ เราไม่มีเป้าหมายทางธุรกิจ เราไม่เคยอยากโต ทุกคนมีเป้าหมายชีวิตไม่เหมือนกัน และเราไม่ต้องการจะทำให้มันต้องต่อรองกันเองมากเกินไปด้วยความเป็นนิติบุคคลหรือความเป็นธุรกิจ ความยากคือเราไม่ได้อยู่ในบรรทัดฐานของโลกธุรกิจ ไม่ได้คิดแบบคนทำธุรกิจ ไม่มีวันจะสร้างสถาบันอะไรไปเติบโตแข่งกับใคร อันที่จริงโลกควรจะมองชีวิตแบบนี้ คือมองให้เห็นชีวิตก่อนที่จะมองเห็นธุรกิจหรือหน่วยงาน เราควรเคารพชีวิตมนุษย์รายบุคคล มากกว่าองค์กร เพราะองค์กรมันไม่มีชีวิต มันคือสิ่งที่เอาพลังชีวิตของคนจำนวนมากไปสูบใช้เป็นตัวมันเอง แล้วกลายร่างเป็นความร่ำรวยให้ใครสักคน นั่นคือสิ่งที่เราว่าเราเข้าใจมันอย่างดีมาก เพราะเคยทำมาแล้วทุกบทบาทจริงๆ ในธุรกิจ และไม่ต้องการจะทำมันอีกไม่ว่าด้วยเงื่อนไขใดๆ เพราะมันกลืนกินชีวิตเรา ส่วนที่เหลือก็ไม่มีอะไรท้าทายมากครับ เราว่าตัวเองเหมือนร้านตัดผม เปิดๆ ไว้เดี๋ยวมันก็มีคนเข้า ช่วงไหนเงียบก็เงียบ ก็หาอย่างอื่นทำ ไม่ฝืน ไม่รู้ฝืนทำไม ฝืนให้ใครดู เราแพ้มาแล้วหลายอาชีพ และแพ้ได้อีก ความท้าทายเดียวอาจจะเป็น คิดแบบนี้ จะอยู่อย่างไรให้มีเงินอยู่ได้ ก็เหมือนฟรีแลนซ์ทุกคนครับ

แวะไปเยียวยาร่างกายและหัวใจของตัวเองได้ที่ PLACEBo Club, weird stuff that helps 

Facebook: PLACEBo CLUB, weird stuff that helps