‘ปูเป้ จุฑารัตน์’ ช่างภาพอาชีพที่โบกมือลาชีวิตติดลูปในวงการไทย แล้วไปเฉิดฉายกับสื่อใหญ่ในนิวยอร์ก

วันนี้ EQ ได้มีโอกาสคุยกับ ‘ปูเป้’ – จุฑารัตน์ ภิญโญดุลยเจต ช่างภาพหญิงมืออาชีพ ที่ได้ร่วมงานกับ The New York Times พร้อมผลงานล่าสุดที่เรียกเสียงฮือฮา ด้วยการเป็นช่างภาพคนไทยที่ได้ถ่ายภาพบนพรมแดงงานประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 95 (The 95th Academy Awards) ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรื่องราวบนเส้นทางการเป็นช่างภาพของเธอจะเป็นอย่างไร เบื้องหลังการทำงานที่นิวยอร์กจะสนุกแค่ไหน และอะไรคือเหตุผลที่เธอประกาศชัดเจนว่าจะไม่กลับมาประเทศไทยอีก เราจะอาสาพาคุณไปทำความรู้จักกับปูเป้ให้มากขึ้น

อาชีพที่เกิดจากความชอบ และแรงซัพพอร์ตจากครอบครัว

“ก็เริ่มเหมือนกันทุกคนแหละ มันก็ทำเป็นงานอดิเรกที่ชอบก่อน มีกล้องถ่ายรูป ก็ถ่ายเพื่อน ถ่ายครอบครัว เวลามีงานโรงเรียนก็ถ่ายมาตั้งแต่ม.ปลายเลย พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เหมือนเดิม ถ่ายงานรับปริญญาอะไรอย่างนี้ ผ่านจุดนั้นมาก่อน แต่พอถ่ายงานรับปริญญาก็เริ่มมีตังค์เข้ามาแล้วนิดหน่อย 500 – 1,000 บาท” ปูเป้เล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นช่างภาพของเธอ

ปูเป้เล่าให้เราฟังว่า เธอชอบงานด้านวิชวล งานภาพ มาตั้งแต่ตอนที่เรียนคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอบอกกับเราว่าเธอชอบการเล่าเรื่องผ่านภาพ (Visual Storytelling) โดยเธอชอบงานที่เป็นภาพนิ่งมากที่สุด 

ด้วยความที่เธอชอบดูภาพยนตร์ ทำให้หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอตัดสินใจเข้าทำงานในแวดวงภาพยนตร์ โดยเริ่มทำงานเป็นฟรีแลนซ์ รับตัดต่อภาพยนตร์ แต่ด้วยการทำงานที่วนลูป อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปถ่ายภาพอย่างที่เธอชอบ บวกกับช่วงนั้นเธออกหักด้วย (เรียกว่าเข้าล็อกหนัง coming of age สุดๆ) ทำให้ปูเป้ตัดสินใจเลิกทำงานตัดต่อ และตีตั๋วออกเดินทางไปเรียนคอร์สถ่ายภาพที่อเมริกาแทน

“เราต้องใช้ชีวิตในห้องตัดต่อเพื่อรอวันว่างให้ออกไปถ่ายรูปที่เรามีความสุข เรารู้สึกว่ามันเครียด และไม่ควรใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ ก็เลยไปเทคคอร์สที่นิวยอร์ก คือที่บ้านมีเงินให้ก้อนหนึ่ง แล้วหลังจากนี้จะอย่างไรก็เรื่องของเราแล้ว”

วนลูป กองเบรคแตก และการหนีออกจากความซัฟเฟอร์ในแบบเดิมๆ

หลังจากไปเทคคอร์สถ่ายรูปที่อเมริกาอยู่พักใหญ่ๆ ปูเป้ก็ถูกเพื่อนชักชวนกลับเข้าสู่วงการภาพยนตร์ และการออกกองอีกครั้ง ชีวิตติดลูปจึงวนกลับมาหาเธออีกครั้งเช่นกัน

“กลับไทยไปทำงานเบื้องหลังกองถ่าย ก็นี่แหละ ชีวิตการออกกองที่แบบ 16 ชั่วโมง, 18 ชั่วโมง, 24 ชั่วโมง ก็กลับมาอีกครั้ง แล้วก็กลายเป็นเรื่องปกติด้วยนะ ทั้งที่มันไม่ควรปกติหรือเปล่า”

การกลับมาทำงานครั้งนี้ตอกย้ำให้ปูเป้รู้สึกชัดเจนมากขึ้นว่า เธอทนกับชีวิตที่ต้องวนลูปแบบนี้ไม่ได้จริงๆ เธอเล่าให้เราฟังว่า ตอนที่กลับมาทำงานเบื้องหลัง เธอลุยแหลกทำงาน 3 กอง และต้องเจอกับการออกกองแบบ ‘เบรกแตก’ ที่ทำให้เธอต้องตื่นตี 5 เพื่อเริ่มงาน 6 โมงเช้า จนไปจบที่ 6 โมงเช้าของอีกวันหนึ่ง และกว่าจะกลับถึงบ้านได้นอนพักก็ 7 โมงเช้าเสียแล้ว

“ตอนนี้เราเห็นทุกคนกำลังสู้เพื่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยที่ดีขึ้นอยู่ ก็ขอบคุณมากเลยนะ เพราะเราก็ออกมาด้วยสาเหตุนี้ มันนรกมากอะ มันซัฟเฟอร์มาก แล้วชีวิตมันวนลูป คือ ไปกองโดยที่ไม่รู้ด้วยว่า วันนี้เบรกแตกหรือเปล่า แล้วไม่รู้ว่าต้องอยู่กับลูปนี้อีกนานแค่ไหน” ปูเป้กล่าว

“จริงๆ ใจเราอะ ชอบนิวยอร์ก” ปูเป้บอกกับเราก่อนเล่าว่า ตอนที่ตัดสินใจกลับมาไทย เธอได้ยื่นทำวีซ่าอเมริกาทิ้งไว้ ด้วยความหวังว่า เผื่อวันหนึ่งเธอจะได้กลับไปอีกครั้ง แล้ววังวนของการออกกองนี้ก็จบลง เมื่อเธอตัดสินใจจองตั๋วออกเดินทางสู่มหานครนิวยอร์กอีกครั้ง

“เราได้วีซ่าก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เหมือนเรารู้ว่าจะกลับไปได้แล้วแน่ๆ คือ พอเรากลับไทยมาสักพักวีซ่าก็ผ่าน เหมือนเรามีแบ็กอัพตัวเองไว้แล้วว่า ‘ถ้าไม่รอด กูไปแน่’ เรากดจองตั๋วเลย แล้วก็เป็นคนใจร้อน มีความคิดสั้นเหมือนกันนะ อาจจะไม่สั้น แต่ว่าไม่ไหวแล้ว”

New York is calling…

ปลายปี 2019 ปูเป้ตัดสินใจเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้ง เนื่องจากต้องหาเลี้ยงตัวเอง สกิลการถ่ายภาพจึงถูกดึงมาใช้หาเงินอีกครั้ง โดยเธอเล่าให้เราฟังว่า ในช่วงนั้นรายได้หลักๆ ของเธอมาจากการถ่ายภาพให้นักท่องเที่ยว เนื่องจากนิวยอร์กเป็นปลายทางที่คนเดินทางไปเยือนอยู่ตลอด และใครๆ ก็อยากมีภาพสวยๆ เก็บไว้ เธอจึงรับจ้างถ่ายรูป ควบคู่ไปกับการเป็นพนักงานในมิวเซียม เรียกได้ว่า อะไรที่ทำได้ เธอทำหมดทุกอย่าง

แต่แล้วโชคชะตาก็ท้าทายเธออีกครั้ง เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2020 การระบาดของโควิด-19 เริ่มยกระดับขึ้นในอเมริกา ทำให้พิพิธภัณฑ์ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ นักท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักก็หายไปอีก 

“เหมือนเราเพิ่งมา รายได้เราก็ไม่ได้มีขนาดนั้น เลยอยู่บ้านเฉยๆ อยู่เลี้ยงแมวเพื่อน ทำกับข้าว ดูซีรีย์ ตอนนั้นดู Sky Castle จบภายใน 2 วัน” ปูเป้เล่าถึงช่วงเวลาในชีวิตที่หายไป

จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2020 การเรียกร้องเรื่อง Black Lives Matter เริ่มเป็นกระแสขึ้นมา จากการที่ George Floyd ถูกฆาตกรรมโดยตำรวจ ทำให้ปูเป้ตัดสินใจแบกกล้องออกไปถ่ายผู้ประท้วงตามท้องถนน

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วเนอะ ก็อยากไปถ่ายรูป แล้วก็มีอย่างอื่นด้วยที่ไม่ใช่แค่ George Floyd บรรยากาศโควิดช่วงนั้น มันก็จะมีคนใส่แมสก์แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วมันแปลก การประท้วงที่คนมันต้องห่างกัน เพราะโควิด เราต้องมานั่งล้างมือกันทุกคน อะไรพวกนี้มันประหลาดไปหมดเลย เราก็ถ่ายไว้แล้วก็พิทช์ไปให้ The New York Times ตอนนั้น” ปูเป้เล่า ก่อนจะอธิบายต่อว่า หลังจากส่งผลงานไปแล้ว เธอต้องรอกว่า 3-4 เดือน เพื่อที่จะได้รับงานแรกในช่วงเดือนตุลาคม กับงานถ่ายภาพร้านกิฟต์ช็อปที่กำลังมีปัญหาธุรกิจจากพิษโควิด และงานถ่ายบรรยากาศงานฮาโลวีน 

ด้วยผลงานที่สนุก สดใส และมีพลัง ทำให้เธอได้รับโอกาสในการทำงานร่วมกับ The New York Times อยู่เรื่อยๆ จนในที่สุดโอกาสจากงานฝั่งโต๊ะข่าวแฟชั่น และศิลปะก็มาถึงเธอจนได้

จากปาร์ตี้วันเกิดดารา สู่พรมแดงออสการ์ 2023

“พอเริ่มถ่ายอะไรที่มันสนุกขึ้น เช่นครั้งหนึ่ง มันจะมีโจทย์งานประมาณว่า ‘นิวยอร์กเปิดเมืองแล้วจ้า’ เขาก็ให้เราไปถ่าย แล้วมันก็จะมีคนที่เต้น ปาร์ตี้กันสนุกๆ ในนิวยอร์ก เราก็ไปถ่าย ทำให้คนเริ่มเห็นมาเรื่อยๆ ว่าเราถ่ายปาร์ตี้สนุก ถ่ายปาร์ตี้ได้ เพราะฉะนั้นโต๊ะแฟชั่น โต๊ะศิลปะเขาก็บอกว่า เฮ้ย มันมีปาร์ตี้นั้น หรือมีอีเวนท์งานนี้ลองไปถ่ายสิ” ปูเป้เล่าให้เราฟังถึงเส้นทางการทำงานสายอีเวนท์แฟชั่น โดยเธอได้ถ่ายภาพในงานปาร์ตี้วันเกิดดารา ซึ่งเป็นหนึ่งในงานที่เธอชอบ เพราะ แค่เข้าไปเสพบรรยากาศปาร์ตี้ ได้เห็นคนสนุก คนเมา แล้วก็ถ่ายรูป โดยที่ไม่ต้องคุยกับใครก็ได้ ถ่ายเสร็จก็กลับบ้าน

นอกจากปาร์ตี้วันเกิดดาราแล้ว ปูเป้ยังเคยถ่ายรูปในงาน After Party ของ Met Gala อีกด้วย พอเธอทำงานกับโต๊ะแฟชั่น และศิลปะมาได้สักพักหนึ่ง โอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตช่างภาพของเธอก็มาถึง เมื่อวันหนึ่งเธอถูกมอบหมายให้ถ่ายภาพบรรยากาศงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 95 (95th Academy Awards) โดยเธอได้รับมอบหมายให้ถ่ายภาพตำแหน่งบนพรมแดง (อีก 2 จุดคือ บริเวณนอกพรมแดง และภายในงาน ที่มีช่างภาพคนอื่นประจำอยู่)

“จริงๆ จุดพรมแดงน่าเบื่อสุด ที่สนุกที่สุดคือ นอกพรมแดง ไปถ่ายอะไรก็ได้ แต่ว่ามันมีคนที่เก่งกว่าเรา อันนี้ก็เหมือนเขาให้โอกาสเราได้ก้าวเข้าไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นตำแหน่งที่น่าเบื่อที่สุดที่คนไม่ได้อยากถ่าย เพราะมันต้องอยู่เฉยๆ นานมาก 5 ชั่วโมง ยืนอยู่กับที่ แต่มันเป็นโอกาสที่เผื่อปีหน้า หรืออีก 2-3 ปีหน้า จะได้ไปอีก” 

ปูเป้พูดถึงความรู้สึกที่ได้รับโอกาสนี้ให้เราฟังว่า เป็นโมเมนต์ที่เธอตื่นเต้นมาก ซึ่งเธอมองว่านี่คือ ความเชื่อใจที่เกิดจากการร่วมงานกันมากว่า 2 ปี โดยงานออสการ์เป็นอีเวนท์ใหญ่ที่ไม่ใช่จะส่งใครไปทำก็ได้ ซึ่งเธอยังคงมองว่าตัวเองเป็นมือใหม่อยู่สำหรับงานนี้อยู่เลย

“มันเป็นงานบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดแล้ว เครียดเลย คิดว่าแบบ จะซื้อกล้องใหม่ไหม ถึงขั้นนั้นเลย พอดีกล้องเราโมเดลมันเก่านิดหนึ่ง แล้วเราเป็นคนที่ไม่เก่งเทคนิค เราก็จะมีความกังวลด้วย เพราะมันต้องไลฟ์สดเลย ถ่ายภาพปุ๊บ รูปขึ้นระบบเลย ต้องต่อสาย ต่ออะไร แล้วเราต้องไปซื้อชุดใหม่ด้วย เพราะว่าบางทีปาร์ตี้มันก็ไม่ต้องแฟนซีหรูหราอะไร แต่พออันนี้คือ เขากำหนดมาเลยว่า ห้ามใส่รองเท้ากีฬา ห้ามใส่ยีนส์ ห้ามใส่นู่น ห้ามใส่นี่ ก็ต้องไปหาซื้อสูท ที่ชีวิตนี้ไม่เคยใส่สูทมาก่อน” ปูเป้เล่าถึงความตื่นเต้นในการเตรียมตัวไปถ่ายภาพบนพรมแดงออสการ์ 

แน่นอนว่าต่อให้เราจะเตรียมตัวหนักแค่ไหน ปัญหามันก็เกิดขึ้นได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง เพราะ ในจังหวะก่อนพรมแดงเริ่มเพียง 1 ชั่วโมง ความขัดข้องของระบบภาพก็เกิดขึ้น ทำให้ปูเป้ต้องแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กล้องสำรองของช่างภาพที่ประจำตำแหน่งอยู่ในงาน แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพของทีมเทคนิค ก็ทำให้เจ้าตัวสบายใจ ว่าจะฝากให้ทีมช่วยจัดการปัญหาได้ และทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีในที่สุด

โมเมนต์จึ้งใจ กับเหล่าตัวมารดาแห่งวงการฮอลลีวูด

แน่นอนว่าพูดถึงการเดินพรมแดงในงานออสการ์ทั้งที จะไม่พูดถึงโมเมนต์ที่น่าจดจำก็คงจะแปลก เพราะ บนพรมแดงคืนนั้นมีแต่เหล่านักแสดง และเซเลบริตี้ตัวท็อปของวงการทั้งนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘Rihanna’ นักร้องสาวตัวแม่ (ลูกสอง) ที่ปูเป้บอกว่า เธอมาปรากฎตัวบนพรมแดงครั้งนี้เป็นคนสุดท้าย โดยโมเมนต์นั้นคือ เหล่าช่างภาพบนพรมแดงกำลังเก็บอุปกรณ์ เนื่องจากคิดว่าเสร็จงานแล้ว แต่พีอาร์ของงานก็เข้ามาแจ้งว่า ให้ทุกคนเตรียมอุปกรณ์ และรอถ่ายภาพ Rihanna ที่กำลังจะเดินเข้ามาก่อน “เราก็คิดว่า เออ เสร็จแล้วแหละ แต่ว่าพีอาร์บอกให้รอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาตั้งใจมาเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า”

ซึ่งการทำงานกับเซเลบฯ ในวงการฮอลลิวูดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ปูเป้บอกกับเราว่า ความยากอยู่ที่ตัวบุคคลนั้นๆ เพราะบางครั้งเขาอาจจะยอมให้ถ่าย หรือไม่ยอมให้ถ่ายก็ได้ และบางครั้งเขาก็อาจจะให้เวลาที่สั้น หรือจำกัดมากๆ ทำให้ต้องแข่งขันกันเรื่องเวลา (นี่สินะความตัวแม่)

“โมเมนต์ประทับใจเหรอ มันเป็นความประทับใจตัวเองอะ คือเราเครียดนะก่อนที่จะเริ่มงานนี้ เพราะกลัวพังมาก พอเราถ่ายเสร็จปุ๊บรู้สึกโล่งมากเลย ที่ไม่พลาด เออ เรามาได้จนถึงจุดนี้ อะไรอย่างนี้” ปูเป้อธิบายถึงโมเมนต์ที่เธอประทับใจ ก่อนจะเสริมว่างานในครั้งนี้ เธอได้ไปถ่ายภาพในงาน Pre Oscar ของแฟชั่นเฮาส์สุดหรูอย่าง Chanel ซึ่งเธอตื่นเต้นมากที่ได้เจอ Kristen Steward และ Nicole Kidman สองดาราสาวที่เธอได้เห็นผ่านจอมาตลอดซึ่งเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์สุดประทับใจของเธอเช่นกัน

เมื่อออสการ์อยาก inclusive ประตูแห่งโอกาสจึงเปิดกว้างขึ้น

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงาน คือ การที่นักแสดงเอเชียถูกเสนอชื่อเข้าชิง และได้รับรางวัลใหญ่ในค่ำคืนนั้นถึงสองคน เราจึงอดไม่ได้ที่จะถามปูเป้ถึงความรู้สึกในฐานะคนเอเชียเหมือนกัน เธอแสดงความคิดเห็นไว้ว่า 

“ก็ดี แต่ก็ช้านะออสการ์ เรารู้สึกว่า อย่างไรออสการ์ก็มีเรื่องการเมืองอยู่แล้ว การที่เขาให้รางวัลอย่างนี้ เราว่ามันก็เหมือนเขาอยากจะประกาศตัวว่า เราเปิดรับความหลากหลายนะ inclusive นะ แต่ก็เป็นเพราะว่า มันไม่เคยเปิดมาก่อนไง แต่ว่าก็โอเค ก็ขอบคุณที่เปิด”

เจ้าตัวยังบอกอีกด้วยว่า ความ inclusive นี้ ส่งผลกับคนทำงานอย่างเธอเช่นกัน เพราะมันเปิดให้เธอได้รับโอกาสมากขึ้น จากการที่กำแพงเรื่องเชื้อชาติถูกทำลายลงไป ซึ่งเป็นเรื่องดี ที่ทำให้โอกาสสามารถเข้าถึงคนที่หลากหลายมากขึ้นไปด้วย

‘Women Talking’ ภาพยนตร์น้ำดีที่อยากให้มีมากขึ้นในสังคม

พูดถึงออสการ์ ก็ต้องพูดถึงหนัง ซึ่งจากที่เราถามปูเป้มาว่าในงานครั้งนั้น เธอเชียร์ภาพยนตร์เรื่องไหนเป็นพิเศษบ้าง ซึ่งคำตอบก็คือ ‘Everything Everywhere  All At Once’ ภาพยนตร์จากค่าย A24 ที่กวาดรางวัลไปอย่างล้นหลามในค่ำคืนนั้น และ ‘Women Talking’ ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมกลับไป

“เราชอบ ‘Everything Everywhere All At Once’ นี่แหละ ชอบเรื่องนี้มาก แต่มีอีกเรื่องที่เรารู้สึกว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ คือ ‘Women Talking’ ซึ่งเป็นหนังเฟมินิสต์เลย เป็นหนังที่ผู้หญิงมานั่งคุยกันเพื่อหาทางออกว่า เราจะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่เราถูกผู้ชายข่มเหง เรารู้สึกว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ควรมีอยู่ในสังคม คือมันไม่ใช่หนังที่ดูแล้วจะสนุก บันเทิง หรืออะไร แต่มันเป็นหนังที่ทำให้คิด และทำให้มีสติปัญญามากขึ้น แล้วเรารู้สึกว่าหนังแบบนี้ควรมีมากขึ้นบนโลก ที่ไม่ใช่หนังที่ดูเอามันอย่างเดียว คิดว่าหนังเรื่องนี้ควรจะถูกพูดถึงให้มากขึ้น”

ความท้อ และอุปสรรคที่พาให้มาจนถึงนิวยอร์ก

เมื่อเราชวนปูเป้คุยเกี่ยวกับคอมมูนิตี้ช่างภาพ เธอบอกกับเราว่าอยากส่งต่อโอกาส และความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่มากขึ้น อาจจะเป็นสังคมคนเอเชียแบบตัวเอง ที่อยากมีโอกาสได้ทำงานในแวดวงช่างภาพ ก่อนที่จะเปิดใจกับ EQ ว่า ก่อนหน้านี้เธอเคยอยากที่จะผลักดัน และพัฒนาวงการช่างภาพในไทย แต่ตอนนี้เธอเริ่มถอดใจ และล้มเลิกความคิดไปแล้ว

“หนึ่ง เรามองไม่เห็นโอกาส สอง มันการเมืองมากเลยอะ”

เมื่อได้ฟังเหตุผลนี้ เราจึงสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ปูเป้รู้สึกเช่นนี้ เจ้าตัวจึงเล่าให้เราฟังว่า ภาพตัวแทนของช่างภาพหญิงในไทยนั้น มีเพียงแค่คนที่จะสามารถเป็นหน้าตา หรือขายของได้ แต่พื้นที่สำหรับคนที่มีความสามารถจริงๆ นั้นแทบจะไม่มีเลย

“representation ของช่างภาพผู้หญิงในไทย คือ ผู้หญิงสวยเว้ย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เราเจ็บปวด เรารู้สึกว่า representation ของช่างภาพผู้หญิงที่ไทย ไม่ใช่คนที่ทำงานอาชีพ แต่เป็นคนที่เป็น presenter ได้ เป็นคนที่สวย เราเจ็บปวดเพราะว่า เรารู้จักคนที่ทำงานเป็นช่างภาพผู้หญิงมืออาชีพที่เก่งเยอะมาก แต่เขาไม่ได้ถูกซัพพอร์ตในแบบนั้น”

ก่อนที่เธอจะเล่าต่อว่า เธอเคยออกมา call out ผ่านโซเชียลมีเดียของเธอ ว่าทำไมช่างภาพที่เป็น presenter ให้กับแบรนด์กล้อง หรืองานกล้องเกือบทั้งหมดถึงเป็นผู้ชาย และในฝั่งผู้หญิงก็ไม่ใช่ช่างภาพอาชีพไปเสียอีก แต่เธอกลับถูกคอมมูนิตี้ของช่างภาพ ‘ผู้ชาย’ เหล่านั้นโจมตี และเอาเธอไปแขวน จนเธอรู้สึกว่า ทำไมเธอจะต้องทนกับสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ และความท็อกซิกแบบนี้ จนท้ายที่สุด เธอก็ตัดใจลาจากวงการช่างภาพในไทย 

“คือเราเคยพยายามนะ แต่เพราะว่า มันคือ stereotype ที่ถูกเซ็ตมาแบบนั้น ว่า ‘you need to be artist and celebrity at the same time’ เวลาอยู่ในวงการมันถึงจะรุ่ง เราพยายามผลักแล้ว แต่ก็ถูกโจมตีจากฝั่งผู้ชาย เรื่องที่แย่คือ ผู้หญิงเองก็ไม่ช่วยพูดด้วย จริงๆ แล้วเราสู้เพื่อพวกแกนะ แต่ว่าสิ่งที่ผู้หญิงพูด คือ เราจะไปมีปัญหากับเขาทำไม กลายเป็นว่าผู้หญิงก็ไม่แบกเรา ผู้ชายก็รุมเรา รู้สึกว่า โอเค จบ”

ปูเป้ยังบอกกับเราอีกด้วยว่า เธออยู่ในจุดที่มีความย้อนแย้งมากๆ เพราะ เธอดูจะเป็นคนที่พูดเรื่องนี้ได้มากที่สุด เพราะเธออยู่นอกวงการไทยแล้ว ไม่โดนผลกระทบแน่นอน ในขณะเดียวกันเธอก็จะมีความคิดอยู่เสมอว่า เธอไม่อยู่ในวงการแล้วเธอควรจะพูดไหม 

“เรานี่แหละคือคนที่พูดได้เยอะที่สุด เพราะว่าน้องๆ ที่มันอยู่ตรงนั้นอะ พูดไปมันก็โดน แบบที่เราเคยเจอ อย่างนั้นมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ก็ยังเป็นแบบสิ่งที่คิดอยู่ในหัวเสมอ”

มองให้เห็นสิ่งสวยงาม และพยายามพัฒนาไปเรื่อยๆ

“การถ่ายภาพมันทำให้เรามองโลกละเอียดขึ้นนะ เรา appreciate กับอะไรรอบตัวเรามากขึ้น เพราะว่า เราเป็นคนถ่ายสตรีทมาก่อน และทุกวันนี้เรายังถ่ายสตรีทอยู่ งานสตรีทมันเป็นงานที่ทำให้เราเห็น ความพิเศษ และความสวยงามในชีวิตรอบตัวของเรามากขึ้น” 

จากสิ่งที่ปูเป้บอกเรานี้ ทำให้เราเห็นว่าเธอรักในการถ่ายภาพ และการเป็นช่างภาพจริงๆ ก่อนที่เธอจะยกตัวอย่างงานที่เธอประทับใจ ซึ่งน่าแปลกใจมาก ที่มันไม่ใช่งานแฟชั่นหวือหวา หรือพรมแดงหรูหราอู้ฟู่แต่อย่างใด แต่กลับเป็นงานถ่ายภาพค่ายดนตรีเด็ก ในรัฐมิชิแกน ที่เธอได้เข้าไปอยู่ร่วมกับเด็กๆ เป็นเวลา 4 วัน ได้ถ่ายรูป ได้ฟังเพลงของเด็กๆ และได้รับพลังงานความอ่อนเยาว์มาจากเด็กๆ เหล่านั้น “ค่ายเด็กมันสนุก เห็นเด็กใช้ชีวิต  เราก็เป็นเด็กไปด้วย”

คุยกับปูเป้มาถึงจุดหนึ่ง เราก็เกิดความสงสัยว่า เป้าหมายที่เธอตั้งไว้ในการเป็นช่างภาพจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อเธอเองก็ผ่านงานที่ยิ่งใหญ่มากๆ อย่างออสการ์มาแล้ว ซึ่งปูเป้ก็ให้คำตอบที่น่าสนใจกับเรากลับมาว่า

“เราก็คิดไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรที่มันสูงขึ้นมา หรือจะไปไหนต่อ เเต่อยากไปออสการ์ทุกปีเลย เราก็ไม่รู้แล้วว่าจะไปไหน รู้สึกว่า อ๋อ จริงๆ ก็เกษียณได้แล้ว (หัวเราะ) พูดยากมาก เพราะเราก็อยากทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เลย มันสนุกที่ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะว่าถ้าวันหนึ่งเราตกปุ๊บ คนอื่นก็จะขึ้นมาแทนได้เสมอ วันนี้เราก็มาแทนคนอื่น ถ้าเราทำไม่ดี หรือทำพลาด คนอื่นก็คงมาแทนเรา”

ชีวิตในนิวยอร์ก และตัวตนของปูเป้ในวันที่ไม่ต้องสะพายกล้อง

แน่นอนว่าการอยู่นิวยอร์กมาหลายปี ความเป็นนิวยอร์กย่อมถูกหล่อหลอมในตัวตนของปูเป้แน่นอน ซึ่งเธอบอกกับเราว่า นิวยอร์กเป็นเมืองที่การแข่งขันสูงมาก เป็นเมืองแห่งความฝันที่ทุกคนออกตามหาจุดยืนของตัวเอง มันทำให้เธอต้องเข้าหาผู้คน และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทำให้เธอรู้สึกว่าต้องถีบตัวเองไปข้างหน้าตลอดเวลา ชนิดที่หยุดไม่ได้เลย ซึ่งเธอยอมรับกับเราว่า มันก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่นอกจากการแข่งขันที่สูงแล้ว นิวยอร์กก็ยังเป็นเมืองที่ทำให้เธอกล้าพูดมากขึ้นอีกด้วย

“ตอนที่อยู่ไทยมีอะไรก็ต้อง ‘อย่าพูด เงียบๆ อย่าไปมีปัญหากับใคร’ แต่ว่าอยู่นิวยอร์กมันต้องพูดนะ ถ้าคุณเงียบ คุณเสียผลประโยชน์ หรือว่าอาจจะโดนเอาเปรียบ คนเลยต้องพูด เพราะว่ามันเป็นสังคมที่คุณต้องพูด และต้องเรียกร้องเพื่อตัวเองจริงๆ แล้วมันจะเกิดผลได้จริงๆ ที่นี่เน้นให้คนพูด เขาก็จะบอกว่า ‘คุณต้องพูดสิ ต้อง speak out เพื่อให้สังคมมันดีขึ้น เพื่อให้ตัวเองมีพื้นที่’ mindset ตรงนี้ต่างกันเยอะกับที่ไทย” 

จากที่ฟังเรื่องราวของปูเป้มาจนถึงตอนนี้ เรารู้สึกว่าเธอเป็นคนที่รัก และมีแพชชั่นในการทำงานถ่ายภาพมากๆ จนเราอยากรู้ว่า ในวันที่ไม่ต้องถือกล้อง ตัวตนของปูเป้เป็นใคร ซึ่งเธอตอบกับเราว่า เธอชอบออกไปเดินชมเมือง หรือดู art gallery ต่างๆ เสมอในวันที่ว่าง เนื่องจากนิวยอร์กเป็นเมืองที่มีสถานที่จัดแสดงงานศิลปะเยอะมากๆ ซึ่งเธอใช้งานเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง หรือไม่เธอก็ออกไปดูหนังอย่างที่เธอชอบมาตลอด

“มันก็มีอะไรให้เราดูได้เรื่อยๆ พอมันเป็นเมืองที่มี gallery เยอะ เหมือนเดินไปไหนก็เจอ มันก็จะมีความรู้สึกแบบ วันนี้เราจะไปดูงานที่ไหนดี ดูแล้วมันก็ inspired เราก็เซฟไว้เรื่อยๆ ฟังแล้วอาจจะรู้สึกว่า เออ ชีวิตดีนะเนี่ย (หัวเราะ)”

FYI: นอกจากนี้ปูเป้ยังบอกกับเราอีกว่า เธอเป็นสายกินตัวยง ซึ่งเธอแนะนำร้าน ‘Wo Hop’ ร้านอาหารจีนเก่าแก่ในย่าน Chinatown ที่เธอชอบไปกินกับภรรยา (ใช่ เธอเป็นเควียร์ และแอบกระซิบมาว่า เธอสนับสนุน #สมรสเท่าเทียม อย่างเต็มที่) เนื่องจากทั้งคู่ชอบทานอาหารจีนมากๆ และร้านนี้ก็ยังเป็นสถานที่ฉลองหลังแต่งงานของทั้งคู่อีกด้วย ใครมีโอกาสผ่านไปนิวยอร์กอย่าลืมลองไปชิมกันดูนะ

ก่อนที่เราจะร่ำลากัน ปูเป้ยังย้ำกับเราอีกด้วยว่า เธอยังไม่มีความคิดจะกลับมาที่ประเทศไทย เธอพยายามมากๆ กว่าจะมาอยู่ในจุดนี้ เธอต้องพัฒนาตัวเองให้เก่ง จนออกมาจากลูปต่างๆ ของวงการในบ้านเราได้ เธอบอกกับเราว่า ตอนนี้เธอถึงจุดที่อยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเองจริงๆ แล้ว และเธออยากส่งต่อประสบการณ์ทำงานของเธอให้กับคนรุ่นใหม่ ช่วยคอมมูนิตี้ที่เธอคิดว่าควรจะได้รับโอกาส เพราะการอยู่ที่นิวยอร์กทำให้เธอได้รับการซัพพอร์ตในสิ่งที่อยากทำมาตลอดเช่นกัน 

“ถ้าวันหนึ่งเรามีตังค์ หรือแก่แล้ว อาจจะกลับไปช่วยคอมมูนิตี้เด็กไทยก็ได้นะ เพราะถ้าต้องเจอแบบที่เราเจอ ขนาดเราที่มองว่าตัวเองมี potential มากๆ ที่จะผลักดัน เรายังท้อเลย แต่ ณ ตอนนี้เราว่ายังไม่ถึงเวลานั้น” 

ติดตามผลงานของปูเป้ต่อได้ที่
Instagram: @poupayphoto
Website: poupayphoto.com

All Photos Credit: Jutharat Pinyodoonyachet