กัญชาได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพเคียงคู่การชูสองนิ้วในช่วงสงครามเวียดนามระหว่างปี 1955-1975 (พ.ศ. 2498-2518) ในขณะที่เหล่าบุปผาชนฮิปปี้และนักศึกษาออกมาร่วมกันเดินขบวนประท้วงการส่งทหารเข้าร่วมสงครามด้วยพลังแห่งรักและสันติ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่กัญชาไทยกำลังจะกลายเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์โลกกัญชาฝั่งตะวันออก
ย้อนกลับไปประเทศไทยหลังจากที่จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นมาบริหารประเทศได้เพียงไม่กี่เดือนก็มีบทบาทนำในการร่วมสนับสนุนสหรัฐฯ ต่อสู้เหล่าคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม รัฐบาลของจอมพลถนอมก็ได้เจรจาอนุญาตให้กองทัพอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพในไทยหลังจากเหตุการณ์ระเบิดที่อ่าวตังเกี๋ยในปี 1964 (พ.ศ.2507)
หลังจากนั้น รัฐบาลไทยอนุญาตให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ฐานทัพอากาศ และฐานทัพเรือในประเทศไทยโดยมีข้อตกลงทางการค้าเป็นที่แลกเปลี่ยน และยังมีทหารอเมริกันที่ประจำการในประเทศไทยเกือบ 50,000 นาย ในอุดรธานี นครพนม อู่ตะเภา ตาคลี อุบลราชธานี นครราชสีมา ฯลฯ
สำราญยามพักรบ
ในประเทศไทยยุค ’60-’70 เริ่มมีการลงทุนสร้างที่พักและสถานบันเทิงเริงรมย์มากขึ้นในบริเวณกองทัพทหาร G.I. เกิดธุรกิจต่างๆ ขึ้น เช่น บาร์เหล้า ผับดริ๊งก์ ร้านอาหาร โรงแรม โรงหนัง ฯลฯ รวมไปถึงกลุ่มผู้หญิงไทยที่เดินทางเข้ามาทำงานบริการกับต่างชาติเป็นจำนวนมาก
เวลาว่างกิจกรรม R&R (rest and relaxation) ของเหล่าทหารมักจะหมดไปการดื่มเหล้าเบียร์ ซุกอกเมียเช่าและพี้ยาเพื่อฆ่าเวลาไป การสูบกัญชากลายเป็นที่นิยมในกลุ่มทหารอเมริกัน เพราะหาได้ง่ายและมีราคาแสนถูกเมื่อเทียบกับเหล้าจินในบาร์ กัญชาส่วนมากจะถูกบดละเอียดและผสมยัดไส้บุหรี่ขายเป็นซอง
ต้นกัญชาสมัยนั้นถูกปลูกในชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมาหลายชั่วอายุ มีการนำมาใช้รักษาโรคมาลาเรีย หอบหืด ท้องอืด โรคพยาธิ อหิวาตกโรค ฯลฯ ส่วนใหญ่จะนำใบมาต้มดื่ม ผสมอาหาร สกัดเป็นยา หรือนำดอกมาสูบเพื่อช่วยลดอาการเมื่อยล้าและเพื่อผ่อนคลายระหว่างวัน
เรียกได้ว่าทหารอเมริกันกว่า 50-80% ในกองทัพสูบกัญชาในขณะประจำการรบ ไม่แปลกที่จะกลายเป็นชื่นชอบเพราะทหารได้นำมาใช้ช่วยในการหลับนอนในถิ่นกันดาร ผ่อนคลายจากการเดินทั้งวัน อีกทั้งยังทำให้รู้สึกดีและมีความหวังกับชีวิตได้บ้าง
ไหงกัญชามาเป็นแท่ง?
เอกลักษณ์กัญชาพันธุ์พื้นเมืองของไทย (Thai landrace) จะเป็นสายพันธุ์สตีว่า (Sativa) เพียว มีกลิ่นหอมเปรี้ยวมะม่วงฉ่ำ ออกฤทธิ์กระปรี้กระเปร่า มีส่วนสำคัญในการช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและลดอาการอักเสบ
กัญชาไทยในยุคนั้นมาในรูปแบบแท่งยาวหรือที่เรียกกันว่า Thai stick ซึ่งเป็นวิธีการบ่มแห้งของคนท้องถิ่นเนื่องจากลักษณะของดอกไทยจะค่อนข้างฟูและไม่แน่น จึงมีการนำดอกมามัดรวมกับก้านเส้นใยกัญชง นำไปตากลมแห้งก่อนนำมาขายเป็นแท่ง
หลังจากติดใจเจ้า Thai stick ทหารอเมริกันก็เริ่มลักลอบส่งกัญชาไทยไปขายในสหรัฐฯ ไทยจึงกลายเป็นชื่อสายพันธุ์ที่โด่งดังในยุค ’70 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เทียบเท่ากับสายพันธุ์รุ่นใหญ่อย่าง Alcapulco Gold, Panama Red, Colombian Gold, Maui Wowie และ Afghani กันเลยทีเดียว อีกทั้งเมล็ดสายพันธุ์ Thai ก็ได้ถูกนำไปผสมกลายเป็นต้นตระกูลของ Haze และมีการผสมข้ามสายพันธุ์ชื่อดังอย่าง AK-47, Blueberry, Chocolope อีกด้วย
ความนิยมของกัญชาคุณภาพสูงของไทยในยุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นกระแสแรงข้ามโลกเลยทีเดียว นอกจากสหรัฐฯ แล้วก็มีการลักลอบส่งไปยังทวีปออสเตรีย แอฟริกาใต้และยุโรป สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ (DEA) ได้บันทึกว่าประเทศไทยเป็นผู้ปลูกและผลิตกัญชารายใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของทศวรรษ 1970-1980 (พ.ศ. 2513-2523)
แต่หลังจากสงครามเวียดนามจบลง อเมริกาก็หันมาเข้มงวดในเส้นทางลักลอบส่งกัญชาจากไทยเป็นอย่างมาก รวมไปถึงกดดันหลายประเทศให้เข้าร่วมการต่อต้านกัญชา จนกระทั่งในปี 1979 ประเทศไทยออกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (พ.ศ. 2522) กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ร่วมกับฝิ่นและเห็ดขี้ควาย ซึ่งกำหนดโทษจำคุก ค่าปรับและบทลงโทษยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
เรียกว่าเป็นการ “พัก” ตำนานอันยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมกัญชาไทยเอาไว้ จนกระทั่งวันนี้ วันที่มีการเดินหน้าเพื่อเสรีกัญชาที่เอาจริงเอาจังกันมากขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าอีกไม่นานเราคงได้เห็นการกลับมาของ Thai stick และสายพันธุ์ไทยอีกครั้งเป็นแน่นอน ทั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ากัญชายังคงยืนหนึ่งในประโยชน์ของการรักษาอาการป่วย และช่วยบรรเทาความโหดร้ายของสงคราม
ป.ล.
เป็นไปได้ว่าอีกหนึ่งวัฒนธรรมการสูบที่ถูกแพร่หลายในช่วงสงครามคือบ้อง (อุปกรณ์ที่ใช้สูบกัญชา) ส่วนมากทำมาจากไม้ไผ่ที่นำมาตากแห้งก่อนเจาะรู คนท้องถิ่นใช้บ้องสูบกัญชาเนื่องจากสภาพอากาศร้อนชื้นในไทย จึงทำให้การม้วนหรือพันกระดาษไม่เป็นที่นิยมนัก คำติดปากว่า “บ้อง” จากเหล่าทหารได้ถูกตีพิมพ์ใน Marijuana Review ฉบับเดือนมกราคมปี 1971 (พ.ศ. 2514) และได้กลายเป็นคำสากลที่ทั่วโลกเข้าใจกัน
ติดตามและอัปเดตเรื่องราวใหม่ๆ จากพวกเราได้ที่ Exotic Quixotic
อ้างอิง
- Shooting Up: A Short History of Drugs and War by Lukasz Kamienski
- Thai Stick: Surfers, Scammers, and the Untold Story of the Marijuana Trade by Peter H. Maguire