วัฒนธรรมการปลูกกัญชาในร่ม, ที่มาของดอกไฮโดรโปนิกส์ (hydroponics), การไล่ล่าจับกุมของรัฐบาล และการใช้ดนตรีฮิปฮอปเป็นกระบอกเสียงสู่สังคม
ก่อนที่อัมสเตอร์ดัมจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของโลกกัญชา กัญชาที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดใต้ดินยุคก่อน มักจะถูกนำเข้ามาจากประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร ที่เป็นการปลูกและลักลอบขายเป็นขบวนการใหญ่
แม้ว่ากัญชาจะได้รับความนิยมและกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มฮิปปี้ นักเคลื่อนไหวต่อต้านสงคราม รวมไปถึงคนป่วยและนักศึกษา แต่รัฐบาลก็ต่างพากันผวาถึง “หญ้าเมา” และไม่ยอมรับถึงประโยชน์ของมัน อีกทั้งยังถูกเหมารวมไปกับนโยบายสงครามยาเสพติด (War on Drugs) ในปี ค.ศ. 1971 ของรัฐบาล ‘โรนัลด์ เรแกน’ (Ronald Reagan) ที่ยังส่งผลต่อกฎหมายกัญชาทั่วโลกในปัจจุบัน
เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศเนเธอร์แลนด์และประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้เพียงแค่มีผลกระทบต่อคนบางกลุ่ม แต่เป็นส่วนสำคัญที่ได้ผลักดันวงการอุตสาหกรรมกัญชามาจนถึงทุกวันนี้
“Gedoogbeleid” นโยบายการยอมรับและเข้าใจ
ช่วงหลังสงครามเวียดนามในปี ค.ศ. 1972 เหล่าผู้ค้าเฮโรอีนจากทวีปเอเซียจำนวนมากเริ่มมองหาลู่ทางการค้าใหม่ในยุโรป และไม่นานนักถนน Zeedijk ในย่าน Chinatown ของเมืองอัมสเตอร์ดัมก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางยาเสพติดตัวใหม่ หากไม่รวมชาวดัตช์และชาวซูรินาม (อาณานิคมของเนเธอร์แลนด์) ก็มีชาวอเมริกันและเยอรมันเดินทางเข้ามาและติดเฮโรอีนกันเป็นจำนวนมาก
ในช่วงที่ระบาดหนัก รัฐบาลดัตช์เลือกที่จะแก้ปัญหาอย่างสมเหตุสมผลด้วยวิธีการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (harm reduction) ซึ่งคำนึงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และยึดความพร้อมของผู้ป่วยเป็นฐาน การที่รัฐบาลพยายามเข้าใจธรรมชาติของผู้ใช้ยาเสพติด จึงช่วยเหลือผู้ติดยาให้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน ดอกกัญชาและแฮช (hash) ก็เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่กลับไม่ได้สร้างปัญหาในสังคมเมื่อเทียบกับเฮโรอีน ด้วยเหตุผลนี้ในปี ค.ศ. 1972 รัฐบาลจึงได้ตีพิมพ์รายงาน “Touwtrekken om hennep” จำนวน 27 หน้า กล่าวว่าการใช้กัญชานั้นไม่ต่างไปจากการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ในสังคมดัตช์ (โดยมีรายงานของ Shafer Commission จากประเทศสหรัฐฯ และ Le Dain Commission จากประเทศแคนาดาออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน)
นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1976 ยังมีการปรับกฎหมาย “Opium Act” ที่ได้แบ่งยาเสพติดออกเป็น 2 ประเภทคือ ยาเสพติดร้ายแรง (hard drugs) เช่น โคเคน เฮโรอีน แอลเอสดี แอมเฟตามีน ฯลฯ และยาเสพติดไม่ร้ายแรง (soft drugs) เช่น กัญชา นิโคติน แอลกอฮอล์ ทรัฟเฟิล ฯลฯ พร้อมกับใช้นโยบายการยอมรับและเข้าใจ “Gedoogbeleid” รวมไปถึงการลดทอนโทษการเป็นความผิดทางอาญา (decriminalization) กับกลุ่มยาเสพติดไม่ร้ายแรง
ถึงแม้จะไม่ใช่กฎหมายเสรีอย่าง 100% ประชาชนก็สามารถปลูกและมีกัญชาในครอบครองได้ รวมไปถึงการเปิดร้าน coffeeshop ที่มีมาตรการควมคุมจากรัฐ เช่น การจำกัดอายุผู้ซื้อ จำกัดปริมาณในการซื้อ ไม่มีการโฆษณาสินค้า และห้ามขายแอลกอฮอล์ในร้าน
ไม่นานนัก หลังจากที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ปรับเปลี่ยนกฎหมายกัญชา ก็มีร้าน coffeeshop ผุดขึ้นมานับร้อยในตัวเมือง ดอกกัญชาส่วนใหญ่ที่ขายในร้านมักจะมาจากประเทศเขตภูมิร้อนอย่างแอฟริกา โคลัมเบีย ไทย และอินโดนีเซียเป็นหลัก ส่วนแฮชจะมาจากโมร็อกโก อัฟกานิสถาน และเลบานอน
การที่ยอมให้มีการเปิดค้าขายกัญชาผ่านร้าน coffeeshop เป็นเพราะรัฐบาลเชื่อว่า หากประชาชนสามารถเข้าถึงกัญชาและยาเสพติดไม่ร้ายแรงอื่นๆ จากร้านค้าทั่วไปได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปพึ่งกลุ่มผู้ค้ายาใต้ดิน
นิตยสาร High Times และโลกก่อนยุคอินเทอร์เน็ต
ในปี ค.ศ. 1974 ประเทศสหรัฐฯ เปิดตัวนิตยสารในตำนานอย่าง “High Times” ที่ตีพิมพ์บทความวารสารเกี่ยวกับกัญชา การเมือง เซ็กซ์ ยาเสพติด ดนตรี ฯลฯ เป็นนิตยสารที่ผลักดันกฎหมายเสรีและเป็นเสมือน ‘ไบเบิลของนักปลูกกัญชา’ ของทุกคนในเวลานั้น
นอกจากนิตยสาร “High Times” แล้วก็ยังมีนิตยสาร “Sensimilla Tips” และ “The Growing Edge” ที่เขียนถึงเทคนิคการเพาะปลูกกัญชาโดยเฉพาะ
ในยุคที่ไร้อินเทอร์เน็ต สื่อสิ่งพิมพ์เป็นทางเดียวที่จะส่งต่อข้อมูลหากันและกัน ศัพท์เฉพาะและวิธีการสอนเพาะปลูกกัญชาถูกส่งต่อ จากเหล่านักปลูกและนักเขียนรุ่นใหญ่ อย่าง Mel Frank, Jorge Cervantes, Ed Rosenthal และนักเขียนรุ่นต่อมาอย่าง Bobby Black, Kyle Kushman และ Danny Danko ทุกคนต่างมารวมตัวกันด้วยความเชื่อที่ว่า ‘ความรู้ต้องแบ่งปัน’
Operation Code Green
ตามที่ได้กล่าวไว้ว่าในช่วงยุค 60’s-70’s กัญชาที่อยู่ในท้องตลาดประเทศสหรัฐฯ มักจะถูกลักลอบเข้ามาจากประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรอย่างเม็กซิโก โคลัมเบีย อินโดนีเซีย ไทย แอฟริกา ‘แดนนี่ แดนโค’ (Danny Danko) บรรณาธิการเพาะปลูกของ “High Times” กล่าวว่ามีปัจจัยหลายสิ่งที่ทำให้นักปลูกในประเทศสหรัฐฯ และแคนาดาหันมาสนใจการปลูกแบบระบบภายในหรือระบบปิด (indoor)
หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1969 “ปฎิบัติการ Intercept” ภายใต้การทำงานในปีแรกของรัฐบาล ‘ริชาร์ด นิกสัน’ (Richard Nixon) ที่ต้องการปิดเส้นทางลักลอบยา รวมถึงเข้าจับกุมผู้ค้ากัญชาและเฮโรอีนที่เข้ามาทางชายแดนเขตระหว่างประเทศเม็กซิโก หลายคนมองว่าการตัดสินใจครั้งนั้นไม่ต่างจากแนวคิด “Trump Wall” ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายหลังในปี ค.ศ. 2016
อีกครั้งในปี ค.ศ. 1975 “ปฎิบัติการ Clearview” ได้ทำการพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืช (paraquat) เพื่อกำจัดไร่กัญชาและป็อปปี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสัตว์ป่าในพื้นที่ อีกทั้งสารเคมีเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าต้นกัญชาได้หมด และถึงแม้ว่าไร่กัญชาในเม็กซิโกจะเต็มไปด้วยสารเคมี พอถึงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาก็ส่งข้ามชายแดนไปขายอยู่ดี กัญชากว่า 20-30% ในเวลานั้นจึงมีสารเคมีเจือปน ทำให้ประชาชนต่างเริ่มกลัวที่จะซื้อกัญชาใต้ดินมากขึ้น
หลายคนเชื่อว่าการที่ตำรวจมุ่งจับกัญชามีส่วนทำให้ผู้ค้าหันไปลักลอบขายโคเคนแทน เพราะสามารถแพ็กได้ง่ายและมีค่าตอบแทนที่สูงกว่าเป็นอย่างมาก ผู้ค้ากัญชาหลายคนเองก็เลือกที่จะย้ายทำเลเข้ามาอยู่ในประเทศบริเวณรัฐแคลิฟอร์เนียและฮาวายที่อากาศยังพอเป็นใจให้ทำการลักลอบปลูกแบบกลางแจ้งได้
และอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เหล่านักปลูกกัญชาต่างเรียกว่า ‘Black Thursday’ คือวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1989 รัฐบาลใหม่ภายใต้ประธานาธิบดี ‘จอร์จ วอล์กเกอร์ บุช’ (George W. Bush) ได้ก่อตั้ง “ปฎิบัติการ Green Merchant” เพื่อมาขจัดกัญชาโดยเฉพาะ โดยทำการบุกจับกุมร้านจำหน่ายอุปกรณ์เพาะปลูก และจับกุมผู้คนเป็นจำนวนมากในภายในวันเดียว
นอกจากนั้นยังมีการสอบสวนเหล่าร้านจำหน่ายอุปกรณ์เพื่อตามรายชื่อลูกค้าและนิตยสารทั้งหลาย เป็นการพยายามปราบปราบและขจัดล้างขบวนการกัญชาที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐฯ และระหว่างประเทศเนเธอร์แลนด์
มีเหตุการณ์การจี้จับกุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรัฐบาลอย่างไม่หยุดหย่อนตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจนทำให้กัญชาต้องเกือบสูญหายไปกับหน้าประวัติศาสตร์ และบีบให้ผู้ปลูกต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากการล้างบางในคราวนี้
เรื่องราวยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ สามารถติดตามต่อได้ในตอนที่ 2 – “Indoor Revolution”
อ้างอิง
- How Pot Has Grown By Michael Pollan, The New York Times Magazine
- A Timeline of Cultivation Technology By Allen St. Pierre
- The History of Hydroponics by Danny Danko
- American Weed: A History of Cannabis Cultivation in the United States by Nick Johnson
- A History for the Blunted: How Weed Culture Evolved Through Hip-Hop by Anthony P.
- ‘We the Avant-Garde’. A History from Below of Dutch Heroin Use in the 1970s by Gemma Blok