นักดนตรีฮิปฮอปแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาในยุคทศวรรษที่ 90’s บุกเบิกการใช้บีทไรม์ส่งเสียงต่อต้านสังคมและรัฐบาลบนท่วงทำนอง สะท้อนถึงความรุนแรงไม่เป็นธรรมของตำรวจต่อคนผิวสี ระบายถึงความยากลำบากของชีวิตสลัมและวงจรชีวิตมาเฟียใต้ดิน รวมไปถึงกัญชาและเหล้ายา ฯลฯ
เสียงดนตรีบีทแร็ปดังกังวานไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในคุณภาพกัญชาที่มาจากการปลูกแบบในร่มและระบบไฮโดรโปนิกส์ การคัดเลือกสายพันธุ์ และฝีมือของนักปลูกที่มีความเชี่ยวชาญขึ้น
การแร็ปผ่านตัวอักษรแต่ละบาร์ในดงหมอกควันได้บันทึกเนื้อหาของกัญชาในบทเพลงไว้อย่างเป็นอมตะ หากสังเกตดูก็จะเห็นได้ว่า เนื้อเพลงกว่า 45% ของดนตรีฮิปฮอปมักจะพูดถึงกัญชาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการโรลหรือสูบบ้อง การปลูกแบบไฮโดรฯ กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ชื่อสายพันธุ์ยอดนิยม ฯลฯ
ถึงแม้ว่าโจทย์ความต้องการด้านบีททำนอง การเขียนเพลง สไตล์แร็ป รวมถึงการนำเสนอของศิลปินจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่คงไม่มีวันเปลี่ยนคือความผูกพันของวัฒนธรรมของกัญชากับเสียงดนตรีฮิปฮอป
From the Chronic to the Kush
การอธิบายถึงการแบ่งเกรดและคุณภาพของดอกนั้นยังไม่มีมาตรฐานเป็นหลัก เพราะกัญชานั้นยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย การบอกความแตกต่างระหว่างกัญชาเกรดต่ำและเกรดสูงก็มักจะมาจากกลุ่มนักดนตรีฮิปฮอปเป็นส่วนใหญ่ ที่ช่วย ‘คัดเกรด’ กัญชาไปพร้อมกับศัพท์แสลงในบทเพลง
ชื่อที่เหล่าแร็ปเปอร์ใช้เรียกดอกของดีในกลุ่มเพื่อนนั้น มักจะมาด้วยความขี้เล่นของธรรมชาติกัญชาและจริตของคนใช้ เราจึงได้คำอย่าง cheeba, hydro, ‘dro, indo/endo, chronic, dank รวมไปถึงคำใหม่ๆ อย่าง zaza และ broccoli
“ผมไม่เคยชักชวนให้ใครสูบกัญชานะ แต่ถ้าคุณจะสูบทั้งที ก็เลือกสูบของดีแล้วกัน” – Method Man
Track: Cheeba Cheeba – Tone-Loc (1989)
Track: Indo Smoke – Mista Grimm (1993)
Track: Gin N Juice – Snoop Dogg (1993)
Album: 2001 – Dr. Dre (1999)
Track: Cali Dro – Birdman and Lil Wayne (2006)
Track: Don’t Kill My Vibe – Kendrick Lamar (2012)
Track: Broccoli – D.R.A.M. (2016)
จากการแร็ปถึงดอกเกรดท็อปด้วยคำว่า ‘chronic’ ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของ Dr. Dre ในอัลบั้มปี ค.ศ. 2001 สู่คำว่า ‘broccoli’ ที่วัยรุ่นใช้อีโมจินี้เรียกกัญชา 🥦 ในโลกโซเซียล ดนตรีฮิปฮอปจึงได้สื่อให้เห็นถึงโลก counter culture ที่ใช้กัญชาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานนับไม่ถ้วน
เมื่อชื่อสายพันธุ์ที่นักปลูกตั้ง เริ่มมีบทบาทในบทเพลง
ทุกครั้งหลังจากที่มีดอกกัญชาคุณภาพสูงปล่อยเข้าสู่ตลาดแล้ว แร็ปเปอร์มักจะเป็นกลุ่มแรกที่มีมันติดตัวและติดสตูดิโออยู่เสมอ และถ้าสายพันธุ์ไหนเด็ดสุดในเมือง รับรองว่าอีกไม่นานก็จะมีแร็ปเปอร์ออกมาพูดถึงมันในเนื้อเพลงอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะมีศิลปินหลายคนออกมาร้องว่าสูบกัญชาคุณภาพดีที่ผ่านการปลูกจนดอกเหนียวแน่น แต่หลังจากที่สายพันธุ์ไฮบริดแปลกใหม่เข้ามามีบทบาท มันก็ได้สร้างกระแสภายในกลุ่มแร็ปเปอร์และดีลเลอร์เป็นอย่างมาก
For Da Love of Da Weed
กระแสเพลงฮิปฮอปนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในฝั่งตะวันออกและตะวันตก (East Coast & West Coast) ของประเทศสหรัฐฯ ที่สงครามแบ่งซีนระหว่างทั้งสองฝั่งไม่ได้หยุดเพียงแค่เสียงดนตรี แต่รวมไปถึงว่าใครมีกัญชาที่เด็ดที่สุดด้วย
เรามักจะได้ยินชื่อสายพันธุ์ในตำนาน ‘Oldschool’ ผ่านบทเพลง มันได้สร้างกระแสภายในกลุ่มผู้สูบและผู้ที่ฟังเพลงฮิปฮอปไปในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้เราก็จะได้ยินสายพันธุ์ชื่อดังอย่าง ‘Big Buddha Cheese’ จาก Nas กับการพบเส้นทางสู่นิพพานผ่านควัญกัญชา
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นดอกกัญชา ‘DJ Short Blueberry’ ที่ดีลเลอร์นำมาขายในละแวกบ้าน ก็ได้มีการร้องถึงผ่านเพลงของ Ludacris หรือแม้กระทั่งสายพันธุ์อย่าง ‘Chocolate Thai’ ที่ปลูกแบบไฮโดรฯ และ Dr. Dre มักจะได้กลิ่นมันอยู่เสมอ รวมไปถึง ‘Granddaddy Purple’ ที่เป็นที่ชื่นชอบของ Snoop Dogg และ ‘Skunk#1’ ที่เป็นตำนานของสายพันธุ์ไฮบริดยุคแรก
Track: It Ain’t Hard To Tell – Nas (1994) กล่าวถึงสายพันธุ์ ”Buddha Cheese”
Track: Light Speed – Dr. Dre (1999) กล่าวถึงสายพันธุ์ “Chocolate Thai”
Track: Blueberry Yum Yum – Ludacris (2004) กล่าวถึงสายพันธุ์ “Blueberry”
Track: Never Been – Wiz Khalifa (2010) กล่าวถึงสายพันธุ์ “Granddaddy Purple”
Track: Gorgeous – Kanye West (2010) กล่าวถึงสายพันธุ์ “Skunk”
West Coast’s OG Kush
ความคึกคักของวงการฮิปฮอปในแคลิฟอร์เนีย ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐฯ ที่สูบและร้องไรม์ถึง chronic ก็มีการแต่งและแร็ปถึงกัญชากันอย่างไม่ขาดสาย จากทางฝั่งใต้ Bay Area ขึ้นไปถึงเมืองซีแอทเทิลทางตอนเหนือ
Track: High All The Time – 50 Cent (2003) กล่าวถึงสายพันธ์ุ “Purple Haze”
ศิลปินอย่าง 50 Cent ออกมาแร็ปถึง ‘Cali Bud’ และของดีที่หาได้ในแคลิฟอร์เนียอย่าง ‘Purple Haze’ ที่เป็นสายพันธุ์ซาติว่าผสมข้ามซาติว่าล้วน
ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นไปกับสายพันธุ์แปลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น แต่ ‘OG Kush’ กลับเข้ามาสร้างกระแสดังผ่านคอนเนคชั่นจาก Matt ‘Bubba’ Burger (นักปลูกสายพันธุ์ Bubba Kush) ในฟลอริด้า และ Josh D. ในแคลิฟอร์เนีย
OG Kush ได้ชื่อมาจาก Kryptonite, Krippy, Kushberry/Kush แต่หลังจากที่มันตีตลาดจนเป็นที่นิยม ผู้คนก็ต่างเรียกกัญชาเกรดดีว่า Kush กันไปหมด กลุ่มนักปลูกเดิมจึงตั้งใจเพิ่มชื่อ OG “original” เข้าไป (จุดเริ่มต้นไม่เกี่ยวกับตระกูล Hindu Kush ฝั่งอินดิก้า) และตีตลาดในแคลิฟอร์เนียจนเป็นที่นิยม
ความพิเศษของ OG Kush ดั้งเดิมคือมันเป็นต้นกัญชาที่ให้ผลผลิตดอกน้อย (เพราะพันธุกรรมซาติว่า) แต่กลับมีคุณภาพกลิ่นและฤทธิ์ที่น่าแปลกใจ พวกเขาจึงเน้นการปลูกเพื่อคุณภาพพร้อมกับการบ่มและงานทริมที่เนี๊ยบ เป็นสายพันธุ์ที่ทำให้คนเริ่มให้ค่าของลักษณะดอกแบบ ‘show bud’
Track: Kryptonite – Big Boi (2006) กล่าวถึงสายพันธุ์ “dro”
Track: Kush – Lil Wayne (2008)
Track: Kush Is My Cologne – Gucci Mane (2009) กล่าวถึงสายพันธุ์ “Bubba Kush”
Track: Kush – Dr. Dre (2010)
Album: Kush & Orange Juice – Wiz Khalifa (2010)
อีกหนึ่งชื่อสายพันธุ์กัญชาในตำนานของฝั่งตะวันตกก็คือ ‘Champelli’ ด้วยกลิ่น รสชาติ และฤทธิ์มึนเมา ที่ช่วยในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ โด่งดังขึ้นมาในช่วง 90’s-00’s โดยเฉพาะในย่านซานฟรานซิสโก โดยมีการร้องเพลงถึง Champelli จาก Mac Dre, The Jacka และ Snoop Dogg
Joseph Rutherford นักปลูก Champelli บอกว่าสาเหตุที่สายพันธุ์กัญชาที่เขาปลูกนั้นมีคุณภาพสูง อาจจะเป็นเพราะเขาต้องซ่อนต้นกัญชาจากพ่อแม่ในห้องถุนใต้ดิน และในช่วงเวลาของการปิด/เปิดไฟทำให้ต้นกัญชาของเขาพบกับความมืดสนิท (light deprivation) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลิตเรซินน้ำมัน และการผลิตสารแคนนาบินอยด์
Track: Everyday – Memphis Bleek (2000)
Track: Doin’ What I Do – Mac Dre (2001)
Track: I Don’t Do Much – Beanie Sigel (2001)
East Coast’s Sour Diesel
ทางฝั่งตะวันออกในนิวยอร์กก็มีวัฒนธรรมที่แตกต่างทั้งเรื่องวิถีชีวิต การสูบบลันท์หรือใบยาเส้นโรล (blunts) ทำนองฮิปฮอปและการบรรเลงวาจาบนแทร็ก มีการสูบและร้องไรม์ถึงสายพันธุ์ในตำนานที่มีเอกลักษณ์จากกลิ่นน้ำมันเครื่องแรงจัดอย่าง ‘Sour Diesel’ ที่มาจากการแลกเปลี่ยนเมล็ดระหว่างเหล่านักปลูกและมาเฟียกัญชาในนิวยอร์ก
Sour Diesel เป็นผลงานการปลูกและพัฒนาหาฟีโนไทป์ของ A.J. ที่สามารถนำเมล็ด Chemdog#91 มาผสมกับสายพันธุ์ปริศนาได้สำเร็จ ซึ่ง A.J. อธิบายเพิ่มจากประสบการณ์จากการปลูกพัฒนาพันธุ์ Sour Diesel ว่าถึงแม้ว่าจะได้โคลนนิ่งต้นแม่หรือเมล็ดแท้แค่ไหน ก็ยากที่จะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันทุกครั้งไป ด้วยพันธุกรรม polygenic ของต้นกัญชา
ต้นพืชสายพันธุ์แท้สามเมล็ดจึงมีโอกาสได้จีโนไทป์ (genetype) ที่เหมือนกัน แต่จะแตกฟีโนไทป์ (phenotype) หรือลักษณะเฉพาะตัวที่ขึ้นอยู่กับเทคนิคฝีมือการปลูก ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอย่างอุณหภูมิและอื่นๆ ออกไปได้อีกสามแบบ
Track: Beef – The Notorious B.I.G. (2005)
Track: Sour Diesel – N.O.R.E. (2007)
การซื้อขายกัญชาสายพันธุ์เด็ดๆ ในนิวยอร์กนั้นมักจะขึ้นอยู่กับดีลเลอร์ ซึ่งส่วนใหญ่มีเส้นสายและมักจะเดินทางกว้านซื้อกัญชาเกรดท็อปมาปล่อยขายให้กับศิลปินในวงการ ชื่อของดีลเลอร์กัญชาในตำนานยุค 90’s อย่าง ‘Branson’ มักถูกนำมาเล่าเรื่องผ่านเพลงแร็ป ถึงคุณภาพกัญชาที่มีเพียงเขาเท่านั้นในเมืองที่หามาได้
หลายคนบอกว่าเขาเป็นเบื้องหลังดอกกัญชาคุณภาพเกรดดีที่ The Notorious B.I.G., Nas, และ Redman ใช้ก็เป็นบริการของ Branson และร้องถึงกัญชาที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงแร็ปในช่วงเวลานั้น
Track: Da Journee – Redman (1994)
Track: Rap Phenomenon – The Notorious B.I.G. (1999)
ประวัติศาสตร์ของกัญชาและเสียงดนตรีถูกเสพร่วมกันมาเสมอ ทั้งในส่วนของคนฟังและคนทำเพลง ไม่ว่าจะเพื่อให้เสียงดนตรีเพราะขึ้น หรือเพื่อให้ไรม์โฟลวได้ดีขึ้นก็ตาม
วัฒนธรรมการแร็ปถึงชื่อสายพันธุ์และการสูบกัญชานั้นยังเป็นธรรมเนียมที่แร็ปเปอร์ต่างใช้เป็นกระบอกเสียงในการผลักดันให้สังคมเข้าใจกัญชามากขึ้น ในยุคสมัยที่กัญชายังถูกมองว่าเป็นยาเสพติด และในปัจจุบันที่หลายคนเริ่มจะเปิดใจกับมัน
Spotify Playlist
อ้างอิง
- Behind The NYC Legend, Branson, Dad Reagans
- Return of the Canna-King: Champelli, Randy Robinson
- Best Songs about Weed, Complex
- A History for the Blunted: How Weed Culture Evolved Through Hip-Hop by Anthony P
- Married to Marijuana: Weed & Hip Hop Documentary
- Great Moment in Weed History, Abdulla S. and DavidB.
- What Are You Smoking? Leafy PodcastInterviews