ในอุตสาหกรรมบันเทิงของฝั่งตะวันตก คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เหล่าดาราเซเลบฯ จะออกมาพูดถึงการใช้กัญชาของตัวเองอย่างเปิดเผย ซึ่งสำหรับประเทศไทยที่กัญชายังคงเป็นเรื่องใหม่ ถือว่าน้อยครั้งที่คนดังสักคนจะแสดงตัวตนว่าชื่นชอบพืชชนิดนี้ แต่เมื่องาน The 7th Thailand 420 : “Legalaew!?” ที่ผ่านมา เราก็ได้มีโอกาสพบกับ ‘วิคเตอร์ เจิ้ง’ (ชัชชวิศ เตชะรักษ์พงศ์) นักร้อง นักแสดง และพิธีกรที่นอกจากจะออกตัวว่าเป็นสายเขียวแล้ว เขายังมีบริษัทกัญชา ‘Nature Master’ เป็นของตัวเองอีกด้วย! ไปพูดคุยกับวิคเตอร์ถึงเรื่องราวของเขากันเลยดีกว่า ว่าทำไมถึงหันมาสนใจธุรกิจนี้ มุมมองที่มีต่อวงการกัญชาเป็นอย่างไร ไปจนถึงแผนสำหรับอนาคตของธุรกิจนี้
ก้าวแรกในแวดวงธุรกิจกัญชา
“ผมเริ่มสนใจตั้งแต่ตอนที่มีข่าวเกี่ยวกับกฎหมายเรื่องกัญชาประกาศออกมารอบแรกครับ ที่เขาจะให้ไปจดแจ้งเป็นวิสาหกิจชุมชนแบบถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนช่อดอก ภาครัฐจะรับไป แล้วเราก็สามารถจำหน่ายได้เฉพาะใบ ผมเริ่มเห็นช่องทางตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า เฮ้ย อนาคตมันน่าจะไปไกล ก็เลยตัดสินใจทำตั้งแต่ตอนนั้นเลยครับ”
การซัพพอร์ตจากเพื่อนและคนรู้ใจ
“จริงๆ แล้วผมมีอีกธุรกิจหนึ่งของตัวเอง เป็นยิมมวย ‘The Art of Boxing Academy’ ครับ ตรงนั้นมันเป็นคอมมูนิตี้ของผมกับเพื่อนๆ ในวงการบันเทิงที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แล้วเราทุกคนชอบต่อยมวยมาก ก็เลยสนิทกันเหมือนเป็นพี่น้อง พอทำธุรกิจอะไร เราก็จะซัพพอร์ตและช่วยเหลือกันเต็มที่ไปด้วย จนดูเหมือนเป็นหุ้นส่วนกันเลยครับ (หัวเราะ) อย่างพี่ ‘เป้ — อารักษ์ อมรศุภศิริ’ ผมให้ต้นกล้ากัญชากับดินไป แล้วก็แนะนำวิธีการปลูก เพราะแกอยากลองปลูกดู แกก็บอกว่า ”ขอบคุณมากๆ วิคเตอร์ เดี๋ยวลงโพสต์ให้นะ” ส่วนแฟนของผม (พิกเล็ท — ชาราฎา อิมราพร) ก็เชียร์มากครับ เขาบอกว่าผมควรจะทำสิ่งนี้ ด้วยความที่เขารู้ว่าผมชอบมันมาก ก็เลยสนับสนุนครับ”
ธุรกิจส่วนตัวด้านกัญชา กับผลกระทบที่มีต่องานในวงการบันเทิง
“สิ่งที่ผมได้รับในช่วงแรกที่เปิดตัวว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา มันไม่ใช่เชิงผลกระทบหรอก เพียงแต่ว่าสำหรับงานในวงการบันเทิง พอเราเปิดตัวว่าเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ภาพลักษณ์ของเราก็จะไปทางสายนั้นโดยปริยาย ทำให้อาจจะขายงานอีกประเภทหนึ่งไม่ได้ แต่ก็จะสามารถขายงานที่เฉพาะเจาะจงของสายที่มีความเป็นเราได้ครับ คือยังไม่มีใครหรือกองไหนมาแคนเซิลงานผม ในส่วนนี้ก็ดีใจและรู้สึกขอบคุณมากครับ เพียงแค่งานบางอย่างที่เคยได้รับเป็นประจำอาจจะน้อยลง ด้วยภาพลักษณ์อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ทางหรืออาจจะตรงข้ามกัน ผมเข้าใจดีมากๆ มันเป็นธรรมดาอยู่แล้วครับ”
“พอผมออกตัวว่าขายสินค้ากัญชา เราเป็นสิ่งนี้ เราใช้สิ่งนี้ ก็จะมีกลุ่มแฟนคลับประเภทหนึ่งที่เขาชอบในความชัดเจน ชอบที่เราเป็นตัวของตัวเองและกล้าเปิดมันออกมา แต่ก็จะมีบางกลุ่มที่ไม่ได้เข้าใจตรงนี้เหมือนกันครับ ผมเองก็มีหลายๆ ครั้งที่หยุดชะงักและคิดถึงเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจได้มากๆ เลยครับ จากกลุ่ม target ที่เราเคยขายชุดนักเรียน ใส่ชุดนักเรียนเล่นซีรีส์ ถ้าเกิดเด็กๆ ดูซีรีส์เรื่องนั้นแล้วมากดติดตามเราซึ่งเป็นศิลปินที่เปิดตัวทางด้านนี้ มันอาจจะยิ่งเป็นการโฆษณากัญชาเข้าไปในกลุ่มของเด็กรุ่นใหม่ ที่ผมพูดอาจจะฟังดูแก่ไป แต่ผมคิดมาแล้วว่าพอตัดสินใจทำธุรกิจตรงนี้ ผมเลือกที่จะเปิดหน้าขาย ก็ต้องเข้าใจว่าเรามีเยาวชนคอยดูอยู่ด้วยครับ”
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโซนสายเขียว เคยกังวลถึงเรื่องภาพลักษณ์บ้างไหม?
“ไม่ครับ สมัยก่อนผมอาจจะกังวล แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่แล้ว ด้วยกฎหมายและอีกหลายสิ่งหลายอย่างครับ ต้องบอกก่อนเลยว่าที่มาทำตรงนี้ พ่อแม่ผมก็รับรู้นะครับ ทุกคนรับรู้หมด เรามีความตั้งใจที่อยากจะเอามันขึ้นมาทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนั้นผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากให้กัญชาถูกกฎหมาย พอมันเปิดก็ไปจดทะเบียนวิสาหกิจฯ ซึ่งตัวผมเองเป็นประธานวิสาหกิจชุมชนที่จังหวัดอุทัยธานีด้วย”
คิดว่าสังคมเปิดกว้างเรื่องกัญชามากขึ้นไหม หลังจากที่เสรีทางด้านกฎหมายแล้ว
“ในตอนนี้สังคมเรามีทั้งคนที่โอเคกับกัญชามาก่อนอยู่แล้ว คนที่เพิ่งเปิดใจ หรือที่เริ่มจะเข้ามาในวงการนี้ก็มีครับ ผมเห็นกลุ่มมือใหม่อยากลองปลูก อยากศึกษา และอยากใช้กัญชาในทางการแพทย์หรือไลฟ์สไตล์ผ่านเพจแอดมินของบริษัทตลอด ซึ่งมีเยอะมากเลยครับ ผมก็ให้คำแนะนำเขาไป ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดา แถมยังดีด้วยซ้ำครับ เพราะเขาอยากจะรู้ด้วยตัวของเขาเอง โดยที่เราไม่ต้องประชาสัมพันธ์อะไรเพิ่มเติม นี่คือข้อดีของการที่รัฐบาลอนุญาตให้กัญชาถูกกฎหมาย พอกฎหมายผ่าน คนก็จะเปิดใจศึกษามันมากขึ้น ส่วนคนที่ยังกังวลเรื่องนี้อยู่ ผมก็เข้าใจในมุมมองของเขาครับ ยอมรับตามตรงว่ากัญชามีสองด้านเสมอ ไม่ว่ายังไงก็มีคนเอามันมาใช้ในเชิงสันทนาการอยู่ดี ตัวเราในฐานะที่ทำธุรกิจตรงนี้ เป็นทั้งผู้ปลูกและผู้ใช้ด้วย ผมมองว่าถ้าเราเลือกที่จะใช้กัญชาแล้วก็อยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมใหญ่ เราก็ต้องเข้าใจคนที่ยังกังวลเรื่องผลกระทบของกัญชาด้วยครับ”
สิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไปสำหรับวงการกัญชาไทย
“ ‘การทำให้มันมีระเบียบ’ ครับ จะได้มีระบบการจัดการเกี่ยวกับกัญชาที่ค่อนข้างนิ่งและลงตัว เพราะว่าในเรื่องของความรู้ต่างๆ ผมค่อนข้างชัวร์ว่าตอนนี้คนไทยมีศักยภาพในการปลูกมากเท่าอเมริกาด้วยซ้ำ เพราะโลกมันเชื่อมกันแล้วครับ เราเองก็มีคนไทยที่เติบโตและมีคอนเนคชั่นที่นั่น ไว้แลกเปลี่ยนเทคนิคกันตลอดเวลา ฝั่งผมเองก็มีทีมงานที่ดีลกันในเรื่องของการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้หลายอย่างจากอเมริกา ซึ่งตรงนั้นผมมองว่าเราไม่ต้องไปพัฒนาอะไรหรอก เราเจ๋งอยู่แล้ว สิ่งที่ควรทำตอนนี้ก็เลยเป็นการจัดระเบียบสังคมให้มันเป็นที่เป็นทางมากขึ้น จากมุมมองของผม ก็พอเห็นได้ว่ามันมีปัญหาคาราคาซังที่เกิดมาจากการไร้ระเบียบเยอะขนาดไหน ผมเลยคิดว่าถ้าจะต้องพัฒนาอะไรสักอย่าง ก็ควรพัฒนาตรงนี้มากกว่าครับ แล้วก็ต้องจำกัดการนำเข้า-ส่งออกกัญชา และดูแลเกษตรกรด้วย เพราะว่าที่ผ่านมายังไม่มีใครพูดถึงเรื่องของเกษตรกรที่ลงทุนวิสาหกิจชุมชนไปแล้วยังไม่ได้อะไรคืนมาเลยครับ”
สำหรับวิคเตอร์ กัญชาคืออะไร?
“ผมรู้สึกว่ามันเป็นเหมือน energy boost หรือกาแฟที่ต้องดื่มทุกเช้า เพราะกัญชาค่อนข้างที่จะส่งผลกระทบในด้านดีครับ ส่วนตัวผมใช้มันทุกวัน โดยจะไม่ให้กัญชาส่งผลกระทบต่อการทำงาน แล้วก็ยังสามารถควบคุมให้ไลฟ์สไตล์เรา healthy พูดง่ายๆ ว่ากัญชาส่งผลกระทบต่อชีวิตผมมากครับ”
มุมมองด้านกัญชา ในฐานะที่เป็นนักแสดงและคนรักการออกกำลังกาย
“ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่แพ้แอลกอฮอล์ ก็เลยไม่ได้มีจุดที่กรึ่มๆ แล้วสนุกเหมือนคนอื่นเขา ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่คอยกวนใจเวลาสังสรรค์กับคนอื่น ด้วยความที่ผมเติบโตมากับโรงเรียนชายล้วนและอยู่ในวงการบันเทิงด้วย อาการแพ้ก็เลยทำให้ผมเข้าสังคมลำบาก จนมีอยู่วันหนึ่งที่เพื่อนให้ผมลองใช้กัญชา ตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยน ผมเข้าสังคมได้ง่ายขึ้น และพอใช้เรื่อยๆ ก็จะมาถึงจุดที่สามารถควบคุมมันได้ อย่างเช่น สมมติว่าผมไปออกกองถ่ายละคร พอใช้ในปริมาณที่เหมาะสมหรือเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน มันก็จะทำให้จำบทได้ง่ายขึ้น”
“ในส่วนของการออกกำลังกายก็คล้ายๆ กันครับ พอเอามาใช้ในปริมาณที่เหมาะสมกับสายพันธุ์ที่ถูกต้อง มันก็ทำให้เรามีไอเดีย ปกติผมจะใช้แล้วเว้นสักชั่วโมงหนึ่งถึงค่อยออกกำลังกาย มันจะอยู่ในช่วงที่ช่วยให้โฟกัสกับกล้ามเนื้อได้ถูกจุดมากขึ้น นอกจากนี้กัญชายังช่วยให้ผมใจเย็นลง จากแต่ก่อนที่เป็นคนใจร้อนมาก เพราะกัญชามีเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้เราช้า พอช้าก็จะใจเย็นลง มองอะไรละเอียดขึ้น ทุกอย่างก็เลยจะช้าๆ แต่ชัวร์ ไม่มีผิดพลาดครับ เรียกได้ว่ากัญชาช่วยผมในหลายๆ มิติเลย”
“มันทำให้ผมเป็นคนที่ใจเย็นลง มีสมาธิมากขึ้น จำบทได้ดีขึ้น ออกกำลังกายและโฟกัสกับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น เพราะพอเติม (กัญชา) มาจนถึงจุดๆ หนึ่ง เราจะสามารถควบคุม และเอามันมาใช้ในทางที่สร้างสรรค์ได้ครับ”
จุดมุ่งหมายในการเปิดบริษัท ‘Nature Master’
“ตอนแรกผมคิดแค่ว่าถ้ากัญชาถูกต้องตามกฎหมาย เราจะต้องเป็นบริษัทแรกๆ ของไทยที่ได้ปลูกและขายดอก เพราะว่ามันเพิ่งถูกกฎหมายแบบเต็มตัวได้แค่ไม่กี่เดือนเอง แต่ว่าผมเปิดมาก่อนหน้านั้นประมาณ 1-2 ปีแล้วครับ แถมยังมีงานประจำอยู่ ก็เลยมาทำพวกวัสดุสำหรับการปลูกก่อน จะได้สามารถแบ่งเวลาในการทำงานอย่างอื่นของเราได้ด้วย ส่วนตอนนี้ Nature Master ก็ชัดเจนในด้านของการปลูกครับ และยังตั้งใจในเรื่องของการปลูกช่อดอกให้ออกมาดี”
“พอได้มาทำตรงนี้จริงๆ ผมก็รู้สึกได้ว่าการทำกัญชาให้เป็นธุรกิจมันยากมาก ตอนที่เห็นบริษัทเกี่ยวกับกัญชาเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย ผมกลับรู้สึกดีใจมากๆ และไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่ง ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเราจะต้องเอาอะไรไปแข่งกับเขา แล้วผมก็เชื่อว่าตลาดกัญชาไทยตอนนี้ไม่มีบริษัทไหนมองกันเป็นคู่แข่งหรอกครับ ผมคิดอย่างนั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่ใหม่มากๆ ในสังคมไทย มันเลยกลายเป็นว่าทุกคนต้องช่วยเหลือกัน นี่ไม่ได้เป็นมุมมองด้วยนะครับ ผมรู้สึกว่ามันคือความจริงด้วยซ้ำ ถ้าคุณมาลองทำธุรกิจนี้ ถึงจุดๆ หนึ่งคุณจะรู้ว่าต้องฟอร์มทีม ตัวคนเดียวมันไม่รอดครับ”
Workshop สอนปลูกกัญชาให้แก่วิสาหกิจชุมชน
“ในส่วนนี้จะมีทีมนักปลูกแล้วก็หุ้นส่วนซึ่งเป็นเพื่อนนอกวงการของผมเป็นคนดูแลครับ เขาคือผู้ปลูกที่เชี่ยวชาญแล้วก็มีความรู้ในเรื่องของการสอนด้วย รวมไปถึงอาจารย์ที่เป็นนักปลูกอยู่จังหวัดอุทัยธานีครับ แล้วผมก็รู้สึกว่าการปลูกกัญชาเป็นอะไรที่สอนได้ แต่คนที่มาเรียนต้องลองเอาไปทำตามด้วย แค่สอนอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะกัญชาเป็นต้นไม้ที่เซนซิทีฟกว่าที่คิดเยอะเลยครับ ต่อให้ทำตามที่สอนทุกอย่างก็อาจไม่ได้ผลลัพธ์ตรงตามแบบ 100% บางทีเราก็ต้องดูหน้างานด้วย การเปิด workshop จึงน้อยไปด้วยซ้ำครับ”
ผลลัพธ์ที่น่าภาคภูมิใจจากการเปิดบริษัทกัญชา
“ฟีดแบ็กที่น่าภูมิใจก็มีแน่นอนอยู่แล้วครับ ลูกค้าส่วนใหญ่เขาชอบแล้วก็ชมว่าของเราดี โดยเฉพาะดินซึ่งเป็นสินค้าตัวแรกที่เราปล่อยออกไป แถมตอนนี้ยังมีตัวแทนจำหน่ายติดต่อเข้ามาเยอะ ด้านการให้คำปรึกษาเรื่องการปลูกก็ดีเหมือนกันครับ ในตอนนี้ก็มีโปรเจกต์เกี่ยวกับการปลูกเพราะตั้งใจจะทำช่อดอก เท่านี้ก็น่าภูมิใจแล้วสำหรับบริษัทนี้ที่ไม่ใช่บริษัทร้อยล้านอะไร ผมลงทุนเท่าที่ทำได้ ตามแพชชั่นที่ผมมี เอาจริงๆ แค่ได้เห็นคนอินไปกับกัญชาก็สนุกแล้วครับ เหมือนเวลาเราจัดปาร์ตี้แล้วมีคนเข้ามาเพิ่ม ผมไม่ได้มองไปถึงกำไรที่มากมาย ถ้ามีพาร์ทเนอร์มาร่วมมือกันมันก็ดี แต่จุดประสงค์ในการทำธุรกิจนี้ ผมว่ามันต้องทำให้สนุกครับ ถ้าทำแล้วไม่จอยหรือรู้สึกเบื่อ มันก็ไม่ได้อะไรครับ”
ภาพของสิ่งที่อยากทำต่อไปในอนาคต
“สำหรับ Nature Master ผมอยากจะทำให้มันเป็นบริษัทที่มีทีมปลูกเป็นของตัวเอง มีสถานที่ปลูกที่ใหญ่ขึ้น แล้วก็อยากจะทำเกี่ยวกับเรื่องของสายพันธุ์กัญชา การหา phenotype (ลักษณะทางพันธุกรรม) ที่ดี การทำช่อดอกที่มีคุณภาพสูง เราจะมุ่งเป้าไปที่การปลูกแบบจริงจังเลยครับ และไม่นานนี้ก็มีบริษัทหนึ่งที่ผมเพิ่งเปิดไป ชื่อว่า ‘Blaze Lab’ เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับพวกผลิตภัณฑ์กัญชา แล้วก็จะมีหน้าร้าน dispensary ไว้ขายส่วนดอกด้วยครับ ซึ่งผมทำร่วมกับทีมที่รู้จักกัน อย่างน้ำมัน CBD ที่ขายหมดไปแล้วก็ทำร่วมกับเขาครับ ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนไปทำอะไรที่ท้าทายขึ้น ผมอยากให้มีสินค้าประเภท CBD ที่เป็น Sativa กับ Indica สำหรับใช้ในช่วง pre-workout กับ post-workout เพื่อช่วยในการออกกำลังกาย รวมถึงแบบที่สามารถใช้ได้ทั่วไปและช่วยให้หลับลึกด้วยครับ นี่เป็นเป้าหมายอีกอย่างหนึ่งเลย ผมจะขอใบอนุญาตให้เสร็จสรรพก่อนแล้วถึงวางขายครับ น่าจะประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในเดือนนี้”
ติดตามวิคเตอร์ Nature Master และ Blaze Lab ได้ที่
Facebook: Nature Master Co.,Ltd.
Instagram: victor_zheng / naturemaster_official / blazelab.420