มีอะไรใน “Thai Tea” เจาะลึกซิงเกิ้ลแรกของ เบนจามิน วาร์นี และโปรดิวเซอร์ ZOL

นอกจากการเป็นนายแบบ นักแสดงแล้ว การก้าวออกมาสู่งานดนตรี เบนจามิน วาร์นี เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นหนุ่มไฟแรงที่เข้าใจตัวเองในทุกๆ ด้าน วันนี้เบนมาพร้อมกับคู่หูโปรดิวเซอร์ที่ร่วมงานกันอย่างยาวนานด้วยเคมีที่ลงตัวอย่าง ZOL อีกหนึ่งหนุ่มที่มีผลงานน่าสนใจมากมาย ทั้งสองตั้งใจถ่ายทอดผลงานชิ้นแรก “Thai Tea” ที่กำลังเป็นที่พูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้

และนี่คือความบทสัมภาษณ์เรื่องราวการทำงานในซิงเกิ้ลแรก จากนักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์หน้าใหม่ ฝีมือจัดจ้านคนหนึ่งของเมืองไทย

https://www.youtube.com/watch?v=4JPSTbGewhM

ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

Zol: ตอนนี้เป็น Music Producer อยู่ครับ

Ben: ทำเพลงแล้วก็เป็นนักแสดง แล้วก็เปิดร้านล้างรถชื่อ “Wash Now” อยู่แถววัชรพลครับ

คงไม่ต้องถามว่าเข้าวงการมาได้ยังไง แต่ขอถามไปถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มงานสายดนตรีดีกว่า

Ben: มันเกิดขึ้นตอนที่มีเด็กมหาลัยฯ เค้าจะเรียนจบคณะนิเทศฯ แล้วจะถ่ายธีสิทก็เลยมาชวนผมไปถ่าย บังเอิญว่าผมได้งานกับเด็กม.กรุงเทพ ก็เลยไปเจอซอลเข้า ลึกๆ แล้วผมเล่นดนตรีอยู่แล้วนะ แต่พอได้มาเจอซอลมันคือจุดสปาร์คที่ทำให้เริ่มรู้สึกว่าเราสามารถทำงานเพลงกับคนนี้ได้จริง เพราะผมไม่ได้มีฝีมือด้านดนตรีขนาดนั้นเลยต้องการบัดดี้ แล้วมาเจอบัดดี้ที่เข้ากันได้ดี ก็เลยรู้สึกว่ามั่นใจแล้วละว่าวันข้างหน้าจะเป็นศิลปินได้ทำเพลงได้

นายแบบ นักแสดง นักดนตรี ตัวตนของเบนจามินจริงๆ คืออะไร 

Ben: เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะ บางทีบางวันตัวตนก็เปลี่ยนไป มันให้คำจำกัดความยากอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นนักแสดงกับดนตรี ดนตรีน่าจะมีความเป็นตัวเองมากกว่า การแสดงบางทีก็มีเล่นเป็นตัวเองบ้าง แต่ส่วนมากการแสดงมันคือการที่เราเล่นเป็นคนอื่นประมาณนี้ครับ

ทางเรื่องดนตรีตอนนี้ซอลทำอะไรอยู่บ้าง

Zol: ผมทำค่ายเล็กๆ อยู่ เป็นค่าย Hip-Hop ไทย ตอนนี้ก็พยายามทำงานกับพี่เบนเพื่อจะทำผลงานใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้ประเทศเรามีเพลงส่งออกต่างประเพิ่มขึ้น

พูดถึง Single ล่าสุด ‘Thai Tea’ ได้ไอเดียมาจากอะไร

Zol: ก่อนจะมาถึง Thai Tea เราทำเพลงกันมาเยอะเป็น 10 เพลงเลย Thai Tea มันเป็นเพลงที่ทำช่วงท้ายๆ ก่อนจะถึงเดดไลน์ที่ต้องส่งเจ้าของค่าย ก่อนหน้านี้เพลงมันค่อนข้างช้า พี่เบนเลยทดลองเพลงให้มันสนุกขึ้น เรานั่งฟังหลายๆ วงโดยจับเอาอะไรที่เราชอบ แล้วดึงออกมา ส่วนพี่เบนก็จะเน้นเนื้อหา ผมก็แค่อยากได้ความเป็นไทยของเราหน่อยในการนำเสนอ

Ben: เป็นการทำงานที่แลกเปลี่ยนกัน ดึงจุดแข็งของแต่ละคนมารวมกัน แต่จริงๆ Thai Tea ผมอยากที่คุยเรื่องผู้ชายถ้าดูจากภายนอกเราจะดูแข็งแรง ถ้าเป็นในประวัติศาสตร์ผู้ชายก็ต้องเป็นฝ่ายที่ออกไปรบ แต่จริงๆ แล้วผู้ชายมีด้านที่เปราะบางครับ แล้วผู้ชายหลายๆคนอาจจะไม่กล้ายอมรับสิ่งนั้นกับตัวเอง Thai Tea ก็พยายามจะบอกถึงความกลัวที่จะถูกผู้หญิงปฎิเสธ และผมเชื่อว่าสิ่งนี้ผู้ชายทุกคนต้องเคยเจอ ไม่ว่าข้างนอกจะดูมีกล้าม ดูแข็งแรง ตัวสูงใหญ่ อย่างตอนเด็กๆ เพื่อนผมถ้าชอบผู้หญิงคนไหน เค้าก็จะขอให้ผมไปขอเบอร์ให้ คือเค้าจะไม่กล้าเข้าไปด้วยตัวเอง และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมด้วย เพราะถ้าผมชอบใครผมก็จะรู้สึกแบบ ทำไมตื่นเต้นจังวะ ทำไมกูไม่กล้าเข้าไปคุยกับเค้าวะ ไม่เป็นตัวเองอะไรแบบนั้น Thai Tea ก็สื่อสารคอนเซปต์นี้ออกไป

“Thai Tea พยายามจะบอกถึงความกลัว ที่จะถูกผู้หญิงปฎิเสธและผมเชื่อว่าสิ่งนี้ผู้ชายทุกคนต้องเคยเจอ ไม่ว่าข้างนอกจะดูมีกล้าม ดูแข็งแรง ตัวสูงใหญ่ก็ตาม”

Mood & Tone ของ MV ตัวล่าสุดมีความหว่อง กา ไวมาก เราได้มีส่วนร่วมในการคิดไอเดียบ้างมั้ย

Ben: มีครับ ตอนที่ทำไปผมพยายามจะหามู้ดที่มันสามารถดึงความเป็นเอเชียได้ คือไม่ได้อยาก ไม่อยากจะทำเนื้องานที่มันดูเป็นฝั่งตะวันตกเสียทีเดียว อย่างชื่อ Thai Tea ก็เหมือนกัน เราพยายามที่จะให้เค้ารู้ว่านี่ศิลปินคนไทยนะ เป็นเอเชียอะไรแบบนี้ก็เลยเลือกความหว่องไป เราได้คุยกับพี่ตุลผู้กำกับ เค้าก็เลยจัดออกมาให้ค่อนข้างถูกใจอยู่เหมือนกัน เพราะว่าแสงแดด และบรรยากาศบ้านเรามันจะมีอารมณ์ที่หว่อง กา ไวเค้าทำมาแล้ว ซึ่งเค้าคงทำการบ้านมาเยอะ เราก็ขอยืมเค้ามา

เขียนเนื้อร้อง เรียบเรียงและโปรดิวซ์เองด้วยใช่มั้ย เล่าความยากง่ายให้ฟังหน่อย

Ben: ยากมากเลยนะเอาจริงๆ อย่างซอลเนี่ยเค้าเป็นคนที่มีฝีมือมาก เค้าย้ายมาจากภูเก็ตอุปกรณ์ก็ไม่ได้เยอะ อย่างแล๊ปท๊อป Macbook ก็ปี 2012 แล้วมันก็ชอบงอแง ห้องที่เราอยู่ก็เป็นห้องเล็กๆ แต่มันอบอุ่นมากเลยนะ มันยากมากในการทำงาน แต่อย่างที่บอกครับ ถ้าใครมีความชอบในการทำอะไรก็แล้วแต่ต้องเชื่อตัวเองแล้วก็ทำไปเลย ไม่ต้องไปคิดเยอะว่าอุปกรณ์เราไม่ดีพอ คนมีตังค์เค้าไปซื้อของที่แพงกว่า เค้าได้เปรียบกว่า มันก็มีส่วนเกี่ยวนิดหน่อย แต่ลึกๆ แล้วมันคือการทำงานเป็นทีม

Zol: มู้ดก็ด้วย การสื่อสารก็ด้วย เราไม่ต้องใช้งบประมาณเพื่อคุณภาพ

Ben: แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเราเก่งที่สุดนะ

Zol: เรามองมู้ดเป็นหลักมากกว่า

Ben: ทำมาสองปีก็ทุ่มเทกับมันนะ พอมองย้อนกลับไปมันก็ยาก พอผ่านมาแล้วมันก็คุ้ม

ดนตรีส่งผลต่อชีวิตยังไงบ้าง หรือเพลงไหนที่ทำให้เริ่มอยากทำเพลง

Ben: จริงๆ แม่ผมเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ ว่าเอาผมนั่งบนเก้าอี้กินข้าวเด็ก ผมไม่รู้ว่าแม่ฟังเพลงอะไร แต่น่าจะเพลงแบบตื๊ดๆ มั้งตอนนั้น เพราะแม่บอกว่าบีทมันแรงมาก แต่ผมโยกแต่เด็กเลย เลยเดาว่าดนตรีน่าจะมีอิทธิพลต่อผมตั้งแต่เด็กอยู่เหมือนกันครับ ชอบฟังดนตรีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

Zol: ของผมน่าจะเป็นเพราะที่บ้านทำสตูดิโอบันทึกเสียง

Ben: ฝากสตูดิโอพ่อหน่อย

Zol: GT Studio ภูเก็ตนะครับ มาจากผมได้ส่วนลดเลย

Ben: ปรึกษาพ่อยังส่วนลดเนี่ย

Zol: เดี๋ยวค่อยโทรบอก ฮ่าๆ ผมโตมาในสตูดิโอ ท่ามกลางเครื่องดนตรี จะมีคนถามผมบ่อยว่าเริ่มเล่นดนตรีอายุเท่าไหร่ ผมไม่เคยตอบได้เลยเพราะว่าถ้าไล่ดูในอัลบั้มตอนเด็กๆ ตอนนั้นผมยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ว่ามันมีเครื่องดนตรีอยู่เต็มตัวไปหมด อย่างกีต้าร์ ก็นึกอยู่ว่าเราเล่นได้แล้วเหรอตอนอายุเท่านั้น ผมเกิดมากับดนตรี มันเลยกลายมาเป็นอาชีพสำหรับผม เพราะบ้านผมเป็นแบบนี้ผมเลยมองดนตรีมันอาจจะต่างจากคนทั่วไป

Ben: แต่บางทีมันก็เป็นกับดักเหมือนกันนะ พอเราชอบอะไรมากๆ แล้วเราต้องเอามันมาทำเป็นงาน จากที่เราจะผ่อนคลายมันกลายเป็นเรื่องเครียด ผมจะพยายามสังเกตแล้วพยายามไม่เครียด และสนุกไปกับมัน ซึ่งมันน่าจะเกิดขึ้นกับทุกๆ แขนงอยู่เหมือนกันนะ อย่างคนวาดรูป ตอนแรกอาจจะวาดด้วยความสนุกแล้วก็เก่งไปกับมัน อยู่ดีๆ มีคนมาซื้องาน มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นแล้วก็เครียด

Zol: เป็นเรื่องธรรมดาแหละ

ส่วนตัวอยากเห็นวงการดนตรีไทยเป็นอย่างไร

Zol: เราไม่ได้มองไปที่วงการ เพราะเราก็ไม่ได้มองว่าอยากให้ใครเป็นอนาคตของวงการ เราไม่อยากไปยัดเยียดความหวัง ถ้าเราพูดว่าอยากให้วงการไทยมันมีแต่แบบนู้นแบบนั้น เรามองว่าเราทำเองดีกว่า แล้วเราก็จะจัดการตัวเราเอง อยากทำอะไรก็ทำที่อยากทำ แล้วก็ไม่ได้มองตอนนี้เราอยู่ในประเทศไทย เรามองว่าเราอยู่ในโลกใบนี้ เราอยากทำอะไรก็ได้ในโลกใบนี้

Ben: แต่ตอนนี้ผมว่ามันน่าจะสะดวกขึ้นสำหรับศิลปินทั่วโลก เพราะเดี๋ยวนี้มีแอปพลิเคชันต่างๆ มี Streaming หลายๆ แบบ เวลาก็จะบอกเอง

Zol: เรารับวัฒนธรรมเขามามันก็ต้องใช้เวลานิดนึง ประเทศไทยรับดนตรีฝั่งตะวันตกเข้ามา เหมือนๆ อาหาร Fast food มันมีหลากหลายยี่ห้อ แต่บ้านเราซึมซับมาได้เท่านี้ เรื่องเพลงมันเป็นเรื่องที่นอกปัจจัย 4 มันน่าจะต้องใช้เวลานิดนึง

Ben: แต่สิ่งที่อยากจะให้นักดนตรีบ้านเราระวังนิดนึง หมายถึงตัวเราด้วยนะ วงการเพลงบางทีมันมีการพาดพิงใส่กันในวงการกันเอง ความเป็นสไตล์ที่แตกต่างกันมันก็จะสร้างความแบ่งแยกกัน ซึ่งผมว่าบางทีมันอาจจะพูดได้ว่าดนตรีคุณไม่ดี แต่บางทีผมว่ามันมีลิมิตนะ เราต้องเคารพงานคนอื่นบ้าง ถ้าไม่ใช่แนวที่เราชอบแล้วเราไปด่าเค้าแรงเกินไปผมว่ามันไม่แฟร์ ก็ความเคารพในแบบที่เค้าเป็นมันรวมหมดเลยนะ ในวงการดนตรีก็เหมือนกัน ทุกคนไม่ได้เหมือนกัน ทุกคนมีตัวตนที่ชัดเจนของตัวเอง อยากให้ทุกคนเข้าใจกันมากขึ้น เคารพกันมากขึ้น การที่จะทำให้วงการมันดีขึ้นมันเริ่มจากการช่วยกันผลักดันช่วยกันทำให้มันดีขึ้นดีกว่า

Zol: ใช้ความเก่งความรู้มาช่วยกันดีกว่า

ในยุคที่เด็กรุ่นใหม่ได้รับอิทธิพลทางดนตรี และแฟชั่นอย่างมากมีความคิดเห็นยังไง

Ben: มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะด้วยโลกอินเตอร์เน็ต Globalization หรืออะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้สื่อมันอยู่ในกำมือเรา เราจะไปในมุมไหนก็ได้ในโลกอินเตอรเน็ต ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องดีนะครับ แต่ก็ควรใช้วิจารณญาณนิดนึง หมายถึงว่าพอข้อมูลมันเยอะแล้วเราไปในทิศทางไหนก็ได้เนี่ย มันง่ายที่บางทีเราจะถูกดูดเข้าไปโดยที่ไม่รู้ตัว บางทีเราต้องมีสติในการที่จะเสพอะไรก็แล้วแต่ ผมว่ามันเป็นเรื่องดีเพราะผมว่ามันจะส่งผลถึงวิวัฒนาการของผู้เสพ

Zol: มันอิสระสำหรับเด็กรุ่นใหม่ อย่างเมื่อก่อนตอนผมถ่ายกล้องฟิล์ม พ่อจะบอกว่าใช้ทำไมเดี๋ยวนี้เค้ามีกล้องดิจิตัลแล้ว คุณเกิดมาในยุคที่มันมีฟิล์มคุณใช้มันจนเบื่อแล้ว พอคุณมาใช้ดิจิตัลเลยเห่อมันมาก แต่ในขณะเดียวกันเด็กที่เค้าโดนพรากจากตรงนั้นมา สิ่งเหล่านี้มันสวยงามมาก แม้ฟิล์มใบเดียวโดยที่ผู้ใหญ่อาจไม่เข้าใจ เด็กเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แค่ดนตรี Hip-Hop มันยังมี Synth-pop ที่เด็กเอามาทำแบบเพลงยุค 70’s ผู้ใหญ่บางคนหรือคนที่ทำเพลง Synth-pop อยู่แล้ว

“เค้าจะบอกว่าเด็กเดี๋ยวนี้มันก็ทำ Synth-pop เหมือนกันหมด หรือใช้คำว่าเนื้อหาแบบลอยๆ เพลงลอยๆ ให้เด็กเเขาทำเถอะครับ เขาไม่ได้โตมากับ Synth-pop มันแปลกมันผิดมากเหรอที่วันหนึ่งเค้าโตมาเขาได้ยินและชอบสิ่งที่คุณอาจจะเบื่อแล้ว”

Ben: เพราะบางอย่างมันก็วนกลับมา แต่มันก็ไม่ได้เหมือนเดิมซะทีเดียวมันคือการวนที่มีวิวัฒนาการไปอีกขั้น อย่างตอนนี้ผมติดตามน้อง Willow Smith อยู่เพลงเค้าจะเหมือนเอาดนตรีกรันจ์-ร็อคกลับมา

Zol: เหมือนวนมา 90’s อีกรอบ

Ben: ใช่ครับ แต่มันก็ไม่ได้วนและกลับมาอย่างเดียว มันมีบางอย่างก่อตัวขึ้นมาด้วย

Zol: แต่ผมว่าการก่อตัวบางทีผู้ใหญ่บางคนอาจจมองไม่เห็น

ความคาดหวังของผลงานด้านดนตรีของตัวเองเป็นอย่างไร 

Ben: ความคาดหวังหลักๆ ของผมเลยก็คือแค่ทำงานด้วยกัน เข้าใจกัน แล้วทำงานออกมาให้ดีที่สุดแค่นั้นเลยครับ

Zol: มี Goal เล็กๆ

Ben: พยายามบอกตัวเองตลอดเวลาว่า ถ้าเพลงออกมาดี ทำงานกับซอลแล้วไม่มีปัญหาอะไร แค่นั้นคือแฮปปี้แล้ว แค่นั้นเลยจริงๆ

Zol: ความคาดหวังมันมาทำลายมู้ดหลักๆ ของเพลง

Ben: แต่มันก็มีคาดหวังแหละ แต่หลักๆ คือแค่นั้นเลยครับ

ฝากผลงานให้ผู้ฟังหน่อย

Zol: ฝากเพจ Zol เป็นชื่อเล่นผมเอง จะลงเกี่ยวกับงานของผมทั้งในค่าย นอกค่าย และมี Live session ที่ผมเล่นเองนิดหน่อยในทุกอาทิตย์ เข้าไปดูกันได้ครับ

Ben: แล้ว Thai Tea ล่ะ

Zol: Thai Tea กับ Benjamin Varney จาก Rat Records นะครับ พวกผมตั้งใจกันมากกับเพลงนี้ ผมไม่เคยตั้งใจขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครมาทำ MV ให้ใหญ่ขนาดนี้ นี่คือครั้งแรกของผมที่มันดูจริงจังมาก สนุกดี ฝากด้วยครับ