เยียวยาและปลอบโยนด้วย "โฟล์คแคมป์"

"ปลอบโยนด้วยเสียงดนตรีบทเพลงแห่งความห่วงใย ใจที่โดนทำร้าย..ให้คลายทุกท่วงทำนอง..หัวใจ" (วงสุขเสมอ)

เมื่อ "เพลง" กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยสำคัญในการดำรงและคงอยู่ของชีวิต ซึ่งอาจไม่ใช่เพียงเพื่อความเพลิดเพลินและความสุนทรีย์ ดังเช่นเทศกาลดนตรี "โฟล์คแคมป์" ที่หอมกรุ่นกลิ่นอายของความโฟล์ค และอบอวลไปด้วยท่วงทำนองของบทเพลงจากศิลปิน รวมทั้งมิตรภาพเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ในใจใครหลายๆ คน

ทัตภูมิ  กองสุข หรือ เขียว ในวัย 32 ปี ผู้จัดงาน "โฟล์คแคมป์" โดยเขาได้จัดเทศกาลดนตรีนี้ขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งเป็นครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเกษมการ์เด้น อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

จุดกำเนิด “Folkcamp Folkmusic and Camping”

"เพจนี้ทำมาประมาณ 5 ปีแล้วครับ ตอนแรกเพจชื่อ "โฟล์ค" เฉยๆ ตั้งใจจะทำไว้แชร์เพลงที่ชอบ หลังๆ มา พอเริ่มอยากจะจัดงานดนตรี ก็เพิ่มคำว่า “แคมป์" ลงไป กลายเป็น "โฟล์คแคมป์" แล้วก็เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ "Folkcamp Folkmusic and Camping" ที่เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะอยากให้เป็นคำกลางๆ เพราะตอนใช้ภาษาไทยชื่อมันซ้ำๆ กัน เราเลยอยากให้มันชัด มันเป็นเอกลักษณ์ จากคนไลค์ 20 กว่าคนก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ เกิดจาก ด้วยความที่มันเป็นงาน แล้วคนแชร์ไปเรื่อยๆ ยอดมันมาตอนนั้น จากงานโฟล์คแคมป์ครั้งแรก ศิลปินก็ช่วยแชร์ด้วย"

ด้วยรักและคิดถึง…

"พี่สาวกับผมชอบฟังเพลงโฟล์คเหมือนกัน วงโปรดที่ชอบเปิดตอนวาดรูปด้วยกันคือ 'Selina and Sirinya' พี่สาวคิดสั้นเรื่องความรักและตัดสินใจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายครับ..แต่เธอไม่ตายเพราะมีคนช่วยทัน จากนั้นรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานพอสมควร แต่อาการเริ่มแย่ลงทุกวัน และเสียชีวิตลงในวันที่ 8 ธันวาคมซึ่งตรงกับวันเกิดเธอ” 

"ในขณะที่หมอให้เข้าไปดูใจครั้งสุดท้าย..มือเธอถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกฉีกจากสมุดบันทึกหน้าแรกเป็นเนื้อเพลง 'อยู่ตรงนี้แต่แสนไกล' ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเธอ ผมเลยเปิดเพลงนี้ขึ้นขณะนั่งดูใจและจับมือเธอ และเธอก็หลับไปพร้อมเพลงนี้ เพลงที่ฟังบ่อยๆ ทำให้นึกถึงพี่สาวที่เสียชีวิตไปแล้ว เราฟังเพลงแนวเดียวกันด้วยกันบ่อยมาก เราเคยคุยกันว่า จะจัดงานดนตรีร่วมกัน แต่ตอนนั้นด้วยความที่ยังไม่พร้อมและไม่มีงบ ความกลัว ในความเป็นจังหวัดสุรินทร์ว่า จะมีคนมาร่วมงานไหม” 

“8 ธันวาคม 2561 ผมจัดเทศกาลดนตรีโฟล์คแคมป์ ครั้งที่ 1 ขึ้น เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้พี่สาว โดยจัดที่สุรินทร์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเรา จัดโดยไม่สนใจกำไรหรือขาดทุน ทำแบบคิดถึงแค่พี่สาวและเวลาของการจากลา ณ ตอนนั้น เพราะพี่สาวเคยบอกตอนมีชีวิตอยู่ว่า ถ้ามีโอกาสเราไปนั่งฟังสดๆ เพลงนี้กันนะ...แต่เธออยู่ไม่ถึงวันนั้น"

"คิดแค่ 2 อย่างคือ ทำฝันให้มันสำเร็จจากความฝันของเราและความฝันของพี่สาวให้กลายเป็นจริง จะเจ๊งไม่เจ๊งเรารับผิดชอบเองได้ อย่างน้อยให้มันเกิดขึ้นได้ก่อน ในเมื่อคนหนึ่งไม่อยู่แล้ว เหลือแค่ผมคนเดียว ถ้าไม่ทำตอนนี้ แล้ววันข้างหน้ายังไม่ทำอีกก็ไม่มีใครทำแล้ว พี่สาว คือแรงขับเคลื่อน คือกำลังใจ คือพลัง"

หมู่บ้านโฟล์คแคมป์ จังหวัดสุรินทร์

"จัดครั้งแรกรู้สึกดีใจมาก ไม่คิดว่าผลตอบรับมันจะดีขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่า 50 คน แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว คือทำใจไว้แล้ว เพราะก่อนจัดงานก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เยอะมากว่าจะเป็นไปได้เหรอ! แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ มันก็ต้องลองและลงทุนดู ใช้เงินตัวเองล้วนๆ เลย ไม่มีหุ้นส่วน ไม่มีออแกไนซ์ ไม่ชอบเอาตัวเองไปและไม่ชอบข้องเกี่ยวกับสิ่งใดๆ นักร้องและศิลปินที่มา ก็มาจากความชอบของตัวเองล้วนๆ  เลย ปรากฎว่ามีคนมาร่วมงานประมาณ 800 กว่าคน คือเกินคาด!"

"ครั้งแรกคนดูก็มีพวกเราเนี่ยล่ะ เหมือนเพื่อนช่วยเพื่อน พี่ช่วยน้องน้องช่วยพี่ พอเขาเข้ามาฟังดนตรีจากงานที่เราจัดก็ชอบและเริ่มติดหู แล้วพวกเขาก็กลับไปฟังวงที่เคยเอามาเล่นครั้งแรก เขาชอบ เขาเริ่มฟัง เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น คนเริ่มติด ครั้งที่ 2 ก็มาอีก ครั้งที่ 3 ก็มาอีก คนที่หลงเข้ามาครั้งแรก ครั้งที่ 2 ที่ 3 ก็มาเรื่อยๆ ทำให้ตลาดเพลงโฟล์คในสุรินทร์มันกว้างขึ้น แต่ผมไม่อยากมองตัวเองให้มันใหญ่ขนาดนั้น อยากให้มองเหมือนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านโฟล์คสุรินทร์ แค่นี้ก็อบอุ่นแล้ว"

ลบภาพจำงานดนตรีไม่ดี ให้ตำรวจเปลี่ยนทัศนคติ!

"ปัญหาหลักๆ น่าจะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหมือนเขายังมองภาพไม่ออก ด้วยความที่เป็นงานดนตรีของจังหวัดสุรินทร์และเป็นงานครั้งแรก จะมีตีกันไหมเพราะเป็นคอนเสิร์ต ด้วยความที่เขายังไม่เข้าใจ เลยตัดปัญหาด้วยการพาเขามาดูด้วยกันเลย ตอนแรกทุกคนตกใจ ตำรวจมาทำไม พอเขาได้มาดูจริงๆ เขาก็อ๋อ...เป็นแบบนี้เหรอ ดีนะ คนดูมีวุฒิภาวะดี ไม่ใช่เด็กน้อย (หัวเราะ) เพราะเขาไม่เคยสัมผัส ส่วนมากที่เขาไปคุมงานหรือไปตรวจเขาก็จะเจอแต่แบบนั้น การทะเลาะวิวาท เสียงดังๆ" 

โมเมนท์สุดประทับใจ

"ได้เห็นคนมาร่วมงานและมีความสุขไปกับการฟังเพลง เหมือนเราได้ยิ้มได้หัวเราะตาม เพราะการเดินทางที่มาดูดนตรี เราเข้าใจความรู้สึกนี้ เพราะเราเองก็เป็นนักเดินทางที่ไปดูงานดนตรีเหมือนกัน ที่เราอยากไปเพราะ อยากไปดูศิลปินและอยากไปฟังเพลงที่ชื่นชอบ เห็นบางคนนั่งน้ำตาซึมกับเพลงที่ชอบที่ฟังก็ตื้นตันแทนเขา ดีใจแทนที่เขาหายเหนื่อย ที่มีเพลงเหมือนเป็นรางวัลในการเดินทางให้เขา เหมือนได้มาปลดปล่อยอารมณ์ในช่วงเวลานั้น"

เพราะอ่านจึงรู้ เพราะฟังจึงเข้าใจ

"แรงบันดาลใจดี ๆ มาจากหนังสือและงานเขียนต่าง ๆ ที่ชอบอ่าน หลายคน อย่าง อาจารย์ทวี รัชนีกร ที่เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาจิตกรรม เคยไปหาแกที่โคราชแล้วนั่งคุยกับแก ทำให้เราได้ข้อคิดหลายอย่าง ที่สามารถมองเป็นแรงบันดาลใจได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เชื่อมั่นในตนเองและลงมือทำ อย่าเอาความเหนื่อยหรือคำพูดคนอื่นมาตัดทอนหรือลดทอนความสามารถของตัวเอง ลงมือทำไปก่อน ทำไปเรื่อย ๆ สักวันมันต้องสำเร็จ ถ้าให้เลือกเพลง จริง ๆ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของชีวิต แต่ถ้าให้เลือกตอนนี้ช่วงโควิด เลือกเพลง 'มีชีวิตต่อไป' ของ 'วงสุขเสมอ' ตามชื่อเพลงเลยครับ เราต้องมีชีวิตต่อไป"

“ผมว่าดนตรีแนวนี้มันก็ช่วยบำบัดได้นะ เหมือนเป็นการปลอบโยนจิตใจ เหมือนมีเพื่อนเข้ามาช่วยปลอบในช่วงเวลาหนึ่ง ที่เราไม่สามารถจะคุยกับใครได้ หรือ เราไม่อยากพูดกับใคร ผมเชื่อว่าจะมีฟิวนั้นในทุกๆ คนนะ มีเพื่อนเป็นเพลง ผมว่ามันก็ดีที่สุดแล้ว"

รับมือกับความสูญเสียด้วยการยอมรับ

"ต้องอยู่กับความเป็นจริงครับ ยอมรับความจริงให้ได้ มันไม่ใช่เราคนเดียวที่เสียใจ คนทั้งครอบครัวก็เสียใจ ถ้าเรามัวแต่ฟูมฟาย ไม่มีสติ ก็จะประคองตัวเองหรือใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ ต้องยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้นไปตามธรรมชาติ ถ้ามองอีกมุม ผมว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะครับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็ต้องพบเจอสักวัน จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง" 

เพลง + ศิลปะ = การบำบัด

"ผมชอบเขียนรูปและฟังเพลงครับ ไม่ใช่รูปพอร์ทเทรท แต่เป็นการสาดสีลงไป ระบายลายเส้นลงไป แล้วชอบเก็บไว้ดู ซึ่งเราจะเข้าใจคนเดียว และไม่ให้ใครดูด้วย (หัวเราะ) มันช่วยเยียวยาได้ดี เราจะใช้สีทีมีอยู่ตอนนั้น อย่าง อะคริลิก สีน้ำ เอามาสาด ๆ บางครั้งก็จะเป็นดินสอ วาดเป็นลายเส้น ศิลปะกับดนตรีมันเป็นของคู่กันครับ" 

สิ่งที่ได้จากโฟล์คแคมป์

"อันดับแรกเลย ได้มิตรภาพ เวลาทำงานก็มีหลายคนเข้ามาช่วยในสิ่งที่เราขาดและไม่สามารถทำคนเดียวได้ ได้รับน้ำใจจากคนรอบข้าง บางคนรู้จักอยู่แล้ว บางคนก็เพิ่งรู้จักตอนทำงาน ก็อยากจะขอบคุณเขา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณสักที คนที่มาก็ไม่ใมาดูอย่างเดียว เขาก็ช่วยเหลืออะไรเราเยอะเหมือนกัน เป็นมิตรภาพเป็นไมตรีต่อกัน เป็นน้ำใจที่เราไม่เคยพบเคยเห็น น้ำใจเกิดขึ้นได้ทุกที่เลย ลูกค้าที่ซื้อบัตรมาดู ก็ถือว่าเป็นน้ำใจแล้วล่ะ เพราะเขาช่วยผลักดันให้เรามีกำลังใจที่จะทำต่อ ได้เพื่อนฟังดนรีใหม่ ๆ บางคนก็ส่งเพลงใหม่ ๆ มาให้ฟัง ทำให้เราได้รู้จักและฟังตามไปด้วย"

"อยากขอบคุณทุกคนที่มางาน รวมทั้งทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เริ่มงานครั้งแรกเลย จนถึงครั้งที่ 2 3 ขอบคุณพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนที่ช่วยเตรียมงาน และเดินทางไกล ๆ กันมา ไม่รู้จะพูดคำว่าขอบคุณกี่ครั้ง ถึงจะเป็นการขอบคุณที่สมบูรณ์และดีที่สุด ผมถือว่าเป็นน้ำใจที่ดีต่อกัน เอาอะไรมาทดแทนหรือแลกกันไม่ได้หรอก แต่ก็อยากจะบอกว่าขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ครับ เพราะผมรู้สึกดีมากที่ได้รับน้ำใจนั้นมา"

นิทานเพลง ครั้งที่ 1

"ถ้าไม่มีโควิดระบาด คุยกับศิลปินกลุ่มหนึ่งไว้ว่าจะทำ "นิทานเพลง" ครั้งที่ 1 โดยเชิญคนมาสักกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 50 คน ผมอยากฟังดนตรีที่เราไม่ต้องฟิกเวลาให้วงดนตรีเล่น คุณสามารถทั้งเล่น และเล่าเรื่องราวของเพลงคุณว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งหรือเขียนเพลงนี้ ให้เขามีพื้นที่ที่จะสามารถเล่าเรื่องราวของเขาได้อย่างเต็มที่ 

คนดูอาจจะอยากฟัง รวมทั้งอยากจะถามก็สามารถถามได้ ณ ตอนนั้นเลย ผมต้องการให้คนดูมีส่วนร่วมกับศิลปินมากยิ่งขึ้น ถ้าโควิดดีขึ้น ตุลาคมเจอกันก่อนโฟล์คแคมป์แน่ รายละเอียดจะมาแจ้งให้ทราบภายหลัง ซึ่งอาจจะเป็นจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่สุรินทร์ โดยค่าตั๋วค่าบัตรที่ได้ 

ส่วนหนึ่งจะเอาไปช่วยโครงการจิตอาสาที่ผมทำอยู่ คือ โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด จังหวัดร้อยเอ็ด โรงเรียนสอนเด็กพิการทางสายตา กับวัดป่าศรีมงคล วัดโคกร้าง ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV จังหวัดร้อยเอ็ด ครับ"

โฟล์คแคมป์ในอนาคต

"ถ้าผมได้สถานที่ใหม่ (ไม่ไกลจากที่เดิมมาก) ดู ๆ ไว้อยู่ ผมจะทำให้มันเล็กลง (หัวเราะ) ประมาณ 200-300 คน เพลงหรือนักดนตรีที่เอามา ผมจะไม่เน้นตามกระแส จะเน้นไปที่น้อง ๆ กลุ่มใหม่ หรือ คนที่อยู่ใน Sound Cloud ที่ไม่ค่อยมีตัวตน ไม่มีค่อยมีงานแสดง เหมือนคนที่ฟัง Sound Cloud จะรู้อยู่แล้ว ว่าเพลงนี้เราเคยฟัง แต่เราไม่เคยดูเขาเล่นสด ซึ่งตอนนี้ผมก็เริ่มตามได้เยอะพอสมควรแล้ว ใน Sound Cloud ผมว่าคนฟังก็ไม่น้อยนะ อยากให้วงที่เขาไม่เคยได้เล่น และอยู่มายาวนาน ไม่เคยเห็นหน้าตา อยากให้มาเล่นและลองฟังดู อยากให้มารวมกันในจุด ๆ นั้นมากกว่า มันน่าจะอบอุ่นดี ส่วนวงที่เป็นกระแสก็ยังเชิญมาอยู่ครับ แต่สัดส่วนอาจจะน้อยกว่า"