MUE BON กับงานศิลปะที่ถ่ายทอดสังคมและการเมือง

"ผมไม่ได้จับปืนขึ้นไปยิงใคร ไม่ได้ถือระเบิดไปวางที่ไหน ผมใช้งานศิลปะของผมเป็นอาวุธ ซึ่งมันไม่ทำให้ใครเลือดออกหรือเดือดร้อนอะไร นอกจากคนที่เจ็บปวดจากงานสร้างศิลปะด้วยแนวคิด ความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นในสังคมแล้วรับไม่ได้"

นี่คือคำกล่าวของ MUE BON (มือบอน) ศิลปินสตรีทอาร์ตสุดติดส์ ที่มีผลงานบนท้องถนนไทยส่วนใหญ่เป็นผลงานของเขาทั้งหมด! 

กว่าจะเป็น MUE BON ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

“ผมเรียนศิลปะ มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นศิลปิน ปัญหาคือ แล้วเราจะอยู่ยังไงในสังคมที่มีปัญหาเรื่องที่ สังคมไทยและรัฐบาลไทยไม่ให้ความสำคัญกับศิลปะ ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ภาพฝันในการเป็นศิลปินมันหริบหรี่มากในประเทศนี้ เพราะโครงสร้างในการเป็นศิลปินของประเทศนี้มันมีไม่กี่ทาง ผมไม่ได้เรียนในที่ๆ มีชื่อเสียง ปัญหาของประเทศเราคือ คนไม่สนใจศิลปะ มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมของเอกชนที่มีงานแสดงศิลปะให้ดู มันเข้าใจยาก และห่างไกลจากคนทั่วไป สังคมเลยไม่มองเห็นคุณค่าและความสำคัญ”

พิสูจน์ตัวเองบนท้องถนน กับสิ่งที่เรียกว่า STREET ART

“พอเรียนจบจริงๆ ก็รู้ขั้นตอนการทำนิทรรศการว่ามันใช้เงินเยอะในการทำโชว์ เปิดโชว์ เช่าแกลอรี่ พอแสดงงานแล้วส่วนใหญ่ของคนที่ดูงานคือคนที่ผมรู้จักหมดเลย แล้วเขาก็เคยมาดูงานผมในสตูดิโอ เป็นทั้งเพื่อนพี่น้อง อาจารย์ คนในวงการศิลปะ เลยตัดสินใจเอาเงินที่คิดจะทำนิทรรศการไปทำโชว์บนถนน ให้ผู้คนที่เดินทางได้เห็น เขาต้องเห็นงานผม ผมพยายามอยากจะทำลายกำแพงช่องว่างระหว่างคนกับงานศิลปะ เลยเริ่มต้นทำงานบนถนนอย่างจริงจัง”

“การเอางานศิลปะไปวางที่ Public เขาไม่จำเป็นที่ต้องสนใจ หรือเข้าใจงานศิลปะ เขาเดินผ่านทุกวัน เห็นทุกวัน ผมเชื่อว่าวันหนึ่งเขาจะรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมัน”

ผลงานในนาม MUE BON

“ช่วงวัยเด็กเราพ่นเล่นตามถนนตามประสาเด็ก ยังไม่ได้เน้นเรื่องประเด็นทางสังคม มันมาจาก คัลเจอร์ฮิปฮอปตอนเด็กที่เราชอบ เราหลงใหลและทำตาม ผมพ่นกำแพงตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ผมมีห้องแรกในชีวิตจาการที่แม่ย้ายบ้าน เขามีห้องๆ หนึ่งให้ แล้วบอกว่านี่คือห้องส่วนตัวเรา ซึ่งเป็นห้องส่วนตัวห้องแรกในชีวิต สิ่งแรกที่ผมทำคือ ผมวาดและพ่นมันทั้งห้อง จากนั้นก็เริ่มมาทำแถวบ้าน สนามเด็กเล่น แต่ถ้าทำงานศิลปะในนาม MUE BON จริงๆ ทำหลังเรียนจบได้ประมาณ 20 กว่าปี” 

“มีข้อความหาผมเยอะมาก เรื่องให้ช่วยเขาด้วย สิ่งที่เราทำมีคนเห็นประโยชน์ชัดเจน ถ้าผมพูดและทำงานศิลปะเกี่ยวกับประเทศเขา มันจะช่วยประเทศเขาได้มาก

ซีรีย์ปาเลสไตน์และพม่า เป็นผลงานที่การต่อต้านการทำรัฐประหาร ต่อต้านการใช้ความรุนแรง กับประชาชนและเด็ก

1. ผลงานชุดพม่า

‘ชุดพม่า’ มันตามสถานการณ์ มันคือสิ่งที่ผมอินอยู่แล้ว เรื่องความรุนแรงหรือสงครามที่เราไม่ต้องการ ผมเคยไปพม่าก่อนที่พม่าจะได้ประชาธิปไตย เพื่อนที่เชิญผมไปทุกคนมีความฝันที่เคลือบไปด้วยความหวาดกลัว ณ ขณะนั้นเผด็จการยังปกครองพม่าอยู่ ทุกคนรู้ว่าอีกไม่กี่ปีเราจะได้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งมันโหดร้ายมากสำหรับคนที่อยู่ที่นั่น ผมไม่สามารถพ่นสีอะไรได้เลยที่พม่า เขาบอกผมว่าความรุนแรงที่พม่าทหารเขาจับนะ ถ้าจับผมไม่ได้เขาก็จับคนที่เอาผมมา เขาไม่ใช้กฎหมาย ทุกคนที่นั่นอยู่ด้วยความหวาดกลัว แต่เขามีความหวังที่จะเป็นประชาธิปไตย นี่ผ่านมาเป็น 10 ปีแล้ว พอรัฐประหารเกิดขึ้น ผมนึกถึงแววตาเพื่อนผมทุกคนในพม่า เขารู้ว่าเผด็จการมันแย่ขนาดไหน มันเลยมีเอฟเฟคกับผมมาก”

“ถ้าเรายอมรัฐประหาร ยอมเผด็จการ ภูมิภาคเอเชียจะกลายเป็นภูมิภาคเผด็จการโดยปริยายรึเปล่า ผมคิดว่า เราต้องส่งเสียง เพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนเราและประเทศเขา คาดหวังว่าสิ่งที่เขาต่อสู่กัน มันจะส่งผลมาถึงประเทศเราด้วย ถ้าเขาสู้กัน มันจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเรา”

2. ผลงานชุดปาเลสไตน์

" ‘ชุดปาเลสไตน์’ ผมเคยไปและไปคนเดียว ผมผ่านอิสราเอล อยู่ในค่ายกักกันที่โหดร้ายที่สุดในปาเลสไตน์ ซึ่งถ้าคุณดูในหนังผู้ก่อการร้าย วิดีโอที่เขาพาคนอเมริกาหรือยุโรปไปฆ่าปาดคอ คือที่ๆ ผมไป แต่ ณ เวลานั้น ทุกอย่างมันดีขึ้นและสงบลงแล้ว ผมได้เห็นความแตกต่างของ 2 ประเทศนี้อย่างชัดเจน ผมอยู่ปาเลสไตน์ 7 วัน อยู่อิสราเอล 7 วัน เห็นความแตกต่างของทั้ง 2 ประเทศ และได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของพวกเขา ผมเลยทำงานชิ้นนี้ แต่ก็โดนเพื่อนฝั่งอิสราเอลว่า เราเสียใจกับทุกการสูญเสียและทุกศพที่เกิดขึ้นจากสงครามของผู้มีอำนาจ แต่พูดในฐานะที่มองเห็นว่า เขากำลังโดนกดขี่ การคอลเอาท์ให้เขาเลยเป็นสิ่งที่สมควรที่สุด นั่นคือ ประชาชนที่ตายไป คนที่สูญเสียโดยไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม นั้นเป็นพอยท์ที่ต้องการบอก"

(ไม่มี) ปัญหา

“ผมไม่มีปัญหานะ เวลาไปพ่นสีแล้วตำรวจมาจับผม ผมสามารถบอกได้ เพราะสิ่งที่ผมทำมันสามารถแสดงให้เขาเห็นได้ว่า ผมไม่ธรรมดา ไม่ใช่กะเลวกะลาด ผมทำมานานนะ ผมตั้งใจ ผมไม่สนใจถ้าคุณจะจับผมหรือปรับผม แต่ผมศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่คิด ทำให้มันออกไปสู่สังคมมากกว่า ประโยชน์ที่ได้จากการที่ผมจะต้องโดนอะไรเล็กน้อย ไม่มีปัญหา เพราะ 80% ของงานผมมันผิดกฎหมายอยู่แล้ว ผมเจอเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน ผมชินมาก”

เมื่อการเมืองเท่ากับปัญหา

“เมื่อไหร่ที่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง ปัญหาการพ่นสีของผมมันจะไม่เล็กอีกต่อไป มันจะใหญ่จนบางทีผมต้านทานไม่อยู่ เพราะอำนาจที่เขามีมันล้นเหลือเหลือเกิน การข่มขู่หรือการคุกคามที่เขาทำกับผม มันเกินเลยกับการที่เขาจะทำกับศิลปินที่สร้างงานศิลปะ เพราะผมไม่ได้มีแบคอัพ ไม่มีครอบครัวใหญ่โต พอมันเกิดปัญหาพวกนี้ มันจึงรุนแรงสำหรับเรา พอเป็นปัญหาการเมืองมันไม่จบแค่เรื่องพ่นสี”

“การเมือง” ทำอะไร “MUE BON” ไม่ได้

“ผมทำงานมา 20 กว่าปี โดนเรื่องการเมืองมา 3 - 4 ครั้ง ตั้งแต่ก่อนมีเสื้อเหลือง จนมีเสื้อเหลือง มาเสื้อแดง และก็มาเสื้อหลากสี ผมโดนหมดทุกรอบ แต่รอบที่หนักคือ รอบล่าสุดรู้สึกและเข้าใจว่าคำว่า ‘เผด็จการ’ มันน่ากลัวแค่ไหน แต่มันไม่ทำให้ผมหยุดได้หรอกครับ ตราบใดเขายังไม่หยุด บ้านเมืองยังไม่ดีขึ้น สภาพสังคมยังแย่ ผมนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะมันทำให้ผมอึดอัด เกร็ง นอนไม่หลับ ถึงคุณห้ามผมพ่นสี ผมก็จะวาดรูป ทุกวันนี้ออนไลน์ก็ได้ ผมทำลงกระดาษ ลงคอมพิวเตอร์ มันส่งและสื่อสารได้ถึงทุกคนเหมือนกัน มันห้ามยากครับ”

พอยท์หลักคืองานศิลปะ การเมืองคือเรื่องรอง

“พอยท์ของผมคืองานศิลปะ ไม่ใช่เรื่องการเมือง ผมต้องการทำให้ประเทศสนใจศิลปะ ต้องการให้ผู้คน เข้าใจและเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างสังคมประชาชนกับศิลปะทิ้ง ศิลปะสามารถมีหน้าที่ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นบนโลก ซึ่งถามว่ามันจะทำได้เหรอ แค่งานศิลปะ สีสเปรย์ สีน้ำมัน แต่มันเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์หลายๆ งานบนโลกใบนี้ เพราะงานศิลปะมันปลุกคนให้คิดได้ มันทำให้คนเข้าใจและมีอารมณ์ร่วมไปกับสังคม ทำให้คนไม่เพิกเฉยกับความแร้นแค้นของตัวเอง ไม่ยินยอมกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น มันทำให้เขามีปัญญาและมีความกล้าหาญเกิดขึ้น”

ศิลปะคือ การเปลี่ยนแปลง

“ผมเชื่อว่างานตัวเองจะเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งที่ทำให้คนอีกรุ่นหนึ่ง มีแรงบันดาลใจกับสิ่งที่ผมทำและสู้ต่อ ขยับความคิดนี้ต่อและก้าวไป สักวันมันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ถ้าผมเกิดมาแล้ว ผมใช้ชีวิตห่วยๆ ของผมไปแล้ว และถ้าชีวิตห่วยๆ ของผมมันจะสามารถสร้างประโยชน์อะไรให้กับสังคมเล็กๆ ได้ ผมก็รู้สึกว่าไม่ตายฟรีแล้ว ไม่เกิดมาหายใจทิ้งให้กลายเป็นอากาศไปวันๆ ผมเลยเริ่มต้นทำหน้าที่นี้อย่างชัดเจน แน่วแน่ และเข้มแข็ง”

“ผมรู้สึกว่างานศิลปะมีฟังก์ชั่นและมีเพาเวอร์ของมัน มันสามารถพูดได้ดังกว่าการเปล่งปากพูดครับ มันคือการเปล่งออกไปแล้วไปกระตุกสมองคน อาจไปยียวนกวนส้นตีนผู้นำหรือผู้มีอำนาจบ้าง ผมว่ามันก็สนุกสนานดีเหมือนกัน”

มองงานศิลปะและเพจในอนาคตอย่างไร

“ผมอยากให้งานศิลปะอยู่กับผู้คนในสังคมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่ผมทำงานศิลปะในเรื่องที่ทุกคนเข้าใจและรับรู้อยู่ตอนนั้น มันง่ายมากที่จะทำให้เขาเข้าใจงานศิลปะชิ้นนั้น เพราะเขามีผลกระทบชัดเจน และกำลังอินอยู่กับเหตุการณ์นั้น มันจึงเกิดการสนทนา การพูดคุย เราจะพูดยังไงกับประชาชน จะทำยังไงให้ศิลปะมีคุณค่ากับพวกเขา”

“ผมคงทำงานศิลปะต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีแรงและทำไม่ได้ เพราะมาไกลกว่าที่ตั้งไว้เยอะมาก สิ่งที่เราทำวันนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป เพื่อเป็นแบบอย่างให้เขาอยากจะสู้ ทำอะไรให้กับตัวเอง สังคม ให้เขารู้สึกว่า ถ้ามึงขาดพลัง มึงมาเติมพลังจากกูได้ ถ้าหมดไฟหมดหวัง หันมาหากูได้ เดี๋ยวกูทำให้มึงดูเลย”

ผลงานชิ้นต่อไป

“แพลนงานหลักจะทำนิทรรศการ ผมจะมีโชว์ที่อเมริกา ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานที่ต้องเตรียมและทำตลอด ส่วนงานถนน ถ้าเห็นกำแพงสวย น่าพ่นได้ เราก็ออกไปจัด ส่วนเรื่องงาน เราก็คิดตรงนั้นอีกทีว่าเราจะทำอะไรกับมัน หรือ ตอนนี้มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจและอยากจะสื่อสาร และจะมีโปรเจคกับมูลนิธิมูลนิธิสืบนาคะเสถียร แต่ยังไม่รู้จะทำอะไร และมีโชว์ที่ญี่ปุ่นกับอเมริกาในปีหน้า หลังโควิดถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะทำโซโล่โชว์ที่ไทย แต่ยังลังเลเรื่องสถานการณ์โควิดอยู่”

“งานศิลปะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของสังคมและการเมืองได้ตลอดเวลา และมันสำคัญยิ่งกว่า ถ้ามีคนเห็นในที่สาธารณะ ซึมซับ และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้”

- MUE BON -