Art

‘ตู่ Soundtiss’ - บิวตี้บล็อกเกอร์สาย Transformation ที่แต่งเป็นอะไรก็เหมือนไปเสียหมด

พูดได้เลยว่า ในวงการบิวตี้บล็อกเกอร์ของยุคนี้ ไม่ว่าใครก็คงคุ้นหูกับประโยค “ใครไม่ติส แต่ซาวติส” และใบหน้าของหญิงสาวคนนี้ ‘ตู่ – สวรินทร์ ศรีบุญมา’ หรือ ‘ตู่ Soundtiss’ ที่ฝีมือด้านการแต่งหน้าช่ำชองมากเสียจนเป็นที่พูดถึงบนโลกโซเชียลว่า “แต่งเป็นอะไรก็เหมือน” และเมื่อไม่นานมานี้ ความสามารถของคุณตู่ก็ได้ไปสะดุดตาผู้กำกับภาพยนตร์ดังเรื่อง ‘Love, Death + Robots’ ด้วยลุค ‘ฆีบาโร’ ที่แต่งออกมาเหมือนต้นฉบับมากจนน่าตะลึง ทำให้ตอนนี้เธอไม่เพียงแค่มีชื่อเสียงในประเทศไทย แต่ยังโกอินเตอร์และมีแฟนคลับคอยซัพพอร์ตมากมาย จนยอดผู้ติดตามบนช่องยูทูปสูงเกือบแตะหลักล้าน!

แน่นอนว่า EQ ก็ไม่รอช้าหาโอกาสเพื่อที่จะได้พูดคุยกับคุณตู่ โดยเริ่มกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นขอ

งการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์เมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว การแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น (transformation) ที่เปลี่ยนลุคเป็นคนละคน และเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ได้รู้จักคุณตู่มากขึ้น

เส้นทางสู่การเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์

เนื่องจากรู้มาว่าคุณตู่เป็นคนที่มีทักษะหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป ร้องเต้น เป็นพิธีกร แถมยังเคยอยู่ในสังกัดโมเดลลิงมาก่อน ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณตู่เลือกเดินทางสายนี้ ก่อนที่จะเริ่มหยิบจับแปรงหรืออุปกรณ์ใดๆ ขึ้นมา เราจึงได้ถามออกไปว่า “ทำไมถึงเลือกที่จะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์?”

“จริงๆ แล้วเราไม่ได้เลือกที่จะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์แต่แรกค่ะ แต่บังเอิญได้เป็นเอง (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ เราก็สับสนกับตัวเองเหมือนกันว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรกันแน่ เพราะวาดรูปก็ชอบ เต้นก็ชอบ ร้องเพลงก็ชอบ เป็นพิธีกรก็ชอบ แต่ว่าไม่ได้ไปสุดสักอย่าง เป็นเป็ดที่แท้ทรูเลยค่ะ เพราะเราไม่ได้เรียนเพิ่มเติมด้วย เป็นการฝึกฝนเองทั้งหมด ยกเว้นการร้องเพลงที่เคยเรียนตั้งแต่เด็ก แต่ว่าสุดท้ายที่มาเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ ก็เพราะว่าช่วงนั้นโซเชียลมีเดียบูมขึ้นมา แล้วเราก็ได้ลองโพสต์รูปลงในเฟซบุ๊กของตัวเองค่ะ ประกอบกับการที่เราชอบดูพวกเว็บบอร์ด ก็เลยลองทำดู มีคนมาถามเรื่องการแต่งหน้ามากขึ้นด้วย สุดท้ายก็เลยได้มาเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์แบบงงๆ โดยที่เราไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันสามารถเป็นอาชีพได้”

ในจังหวะที่กำลังตบรองพื้นสีเขียวอ่อนที่ผสมขึ้นเองลงบนใบหน้า เพื่อจะเปลี่ยนลุคเป็น ‘ชีโก’ (Shego) จากการ์ตูนเรื่อง ‘Kim Possible’ ให้ออกมาเป๊ะที่สุด เราก็ได้คุยย้อนกันไปถึงอดีต ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มที่ยังเป็นเฟรชชี่หน้าใหม่ในวงการ ซึ่งคุณตู่ก็เล่าให้ฟังพร้อมเสียงหัวเราะว่า

“ตั้งแต่ช่วงระหว่างม.6 จะขึ้นปี 1 ที่เราเข้าวงการนี้มา ปัจจุบันก็น่าจะเกือบ 7 ปีได้แล้วค่ะ ต้องบอกว่าตอนเข้ามาแรกๆ รู้สึกว่าตัวเองเด็กมาก อายุยังเข้าผับไม่ได้ด้วยซ้ำ จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งไปออกงานกับรุ่นพี่ แล้วทุกคนก็ไปเที่ยวผับกันต่อ แต่ด้วยความที่เราอายุแค่ 18 ทุกคนก็อดเที่ยว เพราะเราคนเดียว (หัวเราะ) ขอโทษทุกคนจริงๆ”

ทักษะประจำตัวที่ได้ดึงมาใช้ในการผลิตคอนเทนต์มากที่สุด

“น่าจะเป็นเรื่องศิลปะค่ะ แต่รู้สึกว่าทุกอย่างได้ใช้หมดเลย เพราะว่าการที่เคยเรียนร้องเพลงหรือเป็นพิธีกรทำให้เรารู้จักการใช้เสียง รู้จักวิธีการพูดค่ะ ถ้าลองสังเกตดู คนที่เป็นพิธีกรจะโปรเจกต์เสียงเก่ง ใช้น้ำเสียงเก่ง เวลาพูดอะไรคนดูจะรู้สึกว่าฟังแล้วสบายหู เราก็ได้ใช้ทักษะนั้นในการพูดคุยค่ะ ส่วนศิลปะก็ใช้หนักมากเลย เพราะว่าการแต่งหน้าก็คือศิลปะ เวลาที่เราครีเอทลุคใหม่ๆ ก็ได้นำทักษะตรงนี้มาใช้ แล้วก็พวกเรื่องที่เราฝึกฝนมาตั้งแต่สมัยเรียนในคณะศิลปกรรมศาสตร์ อย่างเรื่องการจัดไฟ คิดว่านี่เป็นศิลปะแขนงที่มีประโยชน์ต่องานของเราเยอะที่สุด”

ก่อนจะแต่งหน้าสักลุค ก็ต้องมีการเตรียมตัวกันก่อน

“ถ้าส่วนใหญ่ที่เป็นการแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น เราก็จะซ้อมแต่งดูก่อน อย่างเช่นตอนที่แต่งเป็น ‘คาร่า เดเลวีน’ (Cara Delevingne) หรือว่า ‘วันเดอร์วูแมน’ (Wonder Woman) ที่ต้องแต่งหนักๆ เป็นสายฝอไปเลย หรือพวกตัวละครจากการ์ตูนที่เรารู้สึกว่ามันแต่งยากมากๆ อันนั้นจะซ้อมก่อนค่ะ บางทีเราก็จะคิดก่อนว่าต้องเตรียมเครื่องสำอางอะไรบ้าง เพราะมีเรื่องสีที่คิดไว้ว่าจะใช้ด้วย เพื่อไม่ให้อะไรคลาดเคลื่อน มันก็ต้องมีการเตรียมตัวค่อนข้างมากค่ะ”

ความแตกต่างระหว่างการแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น กับการแต่งหน้าในชีวิตประจำวัน

“สองอย่างนี้แตกต่างกันมากเลยนะคะ เพราะว่าการแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่นก็คือการแต่งให้เหมือนต้นฉบับที่สุดใช่ไหมคะ เวลาที่แต่งหน้าปกติ เราจะแต่งอะไรก็ได้ แต่ว่าในการแต่งแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น มันยากตรงที่ว่าเราจะแต่งยังไงให้หน้าเหมือนต้นฉบับมากที่สุด เพราะฉะนั้น มันจะไม่ใช่แต่งหน้าในการใช้ชีวิตจริง แต่เป็นการแต่งหน้าสำหรับการเข้ากล้องเท่านั้น ซึ่งบางครั้งก็ต้องเข้ากล้องเฉพาะแค่มุมใดมุมหนึ่งเท่านั้นด้วย เพื่อให้เราถ่ายรูปออกมาเหมือน แต่ถ้าสมมติว่าหันหน้าหรือว่าก้มหน่อย มันก็จะไม่เหมือนแล้ว เพราะเราวาดเอาไว้ให้หน้าตรงนี้เหมือนที่สุด พอเราหันปุ๊บ เงาจะเปลี่ยน เลยทำให้ไม่เหมือนค่ะ”

ความสามารถทางด้านศิลปะที่ส่งเสริมสกิลการแต่งหน้าไปในตัว

พอฟังคำตอบมาถึงตรงจุดนี้ก็ทำให้ได้รู้ว่าการแต่งหน้าคือศิลปะรูปแบบหนึ่งจริงๆ โดยเฉพาะในการแต่งหน้าคอสเพลย์หรือทรานส์ฟอร์เมชั่นเป็นคนละคน นับว่าเทคนิคการวาดรูปแรเงาช่วยได้มาก เห็นได้ชัดตอนที่ใบหน้าของคุณตู่ดูเปลี่ยนไปมากที่สุดเมื่อคัดเบ้าตา และเหลากรอบหน้าด้วยเฉดสีโทนเข้ม

“การเรียนวาดรูปทำให้เราได้รู้เรื่องแสงและเงาต่างๆ ค่ะ อย่างที่เคยบอกไปหลายๆ ครั้งว่าการแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่นก็เหมือนการวาดรูป ถ้าสมมติว่ารู้เรื่องแสงและเงา เราก็จะรู้วิธีการลงน้ำหนักมือให้จมูกเป็นรูปทรงตามแบบที่ต้องการ สกิลตรงนั้นสามารถเอามาใช้กับการแต่งหน้าได้ และมันจะทำให้หน้าของเราดูเปลี่ยนไปได้เยอะมากๆ เลยค่ะ”

การแต่งแต้มบนใบหน้า VS การวาดรูปบนกระดาษ

“ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันมากค่ะ เพราะว่ากระดาษมันคือแผ่นเรียบๆ ขาวๆ ใช่ไหมคะ แต่ว่าหน้าเรามีทั้งคิ้ว ตา จมูก ปาก ทีนี้เวลาวาดรูปลงกระดาษ เราจะวาดอะไรก็ได้ เพราะว่ากระดาษมันเรียบและไม่มีจุดอะไรให้รู้สึกว่าต้องกังวลใจค่ะ แต่พอเป็นการวาดบนหน้า เราก็ต้องปรับค่อนข้างเยอะด้วยเครื่องหน้าที่ไม่ได้เรียบแบนเหมือนกระดาษ มันจะมีข้อจำกัดที่เยอะมากๆ สมมติว่าเราเป็นคนหน้ายาวแล้วต้องแต่งเป็นคนหน้าสั้น มันอาจจะแต่งออกมาไม่เหมือนขนาดนั้น ทุกคนคงสังเกตได้ว่าแต่ละตัวละครที่ตู่เลือกหยิบมา ส่วนมากเป็นลุคที่รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าสุดท้ายแล้วหน้าเราก็มีจำกัด ซึ่งเราไม่สามารถที่จะไปขยายส่วนไหนของมันได้ ยกเว้นว่าจะปั้นซิลิโคนขึ้นมาแปะหน้าแบบจริงจัง เพราะฉะนั้น เวลาที่แต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น เราก็เลือกคนที่พอจะเป็นไปได้ แล้วเอามาปรับให้ลุคของเขาเข้ากับหน้าของเราค่ะ”

“เราคิดมาตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เริ่มแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่นว่า การแต่งหน้าก็เหมือนการวาดรูปตรงที่ต้องวาดยังไงให้เหมือนต้นฉบับมากที่สุดค่ะ มันก็เลยน่าจะเป็นที่มาของการที่ทุกคนเข้าใจว่าใบหน้าเราเหมือนกระดาษ ซึ่งถือว่าเป็นอีกอย่างหนึ่งที่เราได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะเราเป็นคนปากเล็ก จมูกเล็ก ตาเล็ก คิ้วเล็ก มันเลยทำให้แต่งหน้าเป็นคนอื่นได้ง่าย ต้องบอกก่อนว่าเวลาแต่งหน้าเป็นคนอื่น มันก็คือการที่ต้องวาดและแต่งเติมใบหน้าของเรา เช่น วาดคิ้วเพิ่ม วาดตาเพิ่ม สมมติว่าเราไปแต่งหน้าตามคนที่เครื่องหน้าเล็กเหมือนกัน มันก็จะแต่งยากมาก โดยปกติแล้วทุกคนจะเข้าใจว่าการแต่งหน้าจัดเต็มยากกว่าใช่ไหม ไม่เลยค่ะ การแต่งหน้าตามคนที่เครื่องหน้าชัดแบบฝรั่งง่ายกว่ามาก เพราะว่าเราจะวาดอะไรก็ได้บนหน้าของเรา แต่พอไปแต่งตามคนที่เครื่องหน้าเล็ก มันค่อนข้างยากที่จะปรับรูปหน้าหรือทรงตาให้เหมือนกับของเขา ก็เลยต้องเก็บดีเทลละเอียดมากๆ เลยค่ะ”

เครื่องหน้าที่อาจเป็นข้อจำกัดในการแต่งหน้า

“จริงๆ แล้วทุกคนสามารถแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่นได้นะคะ แต่ว่าแต่ละคนก็จะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ถ้าทุกคนเคยติดตามบิวตี้บล็อกเกอร์หรือยูทูปเบอร์ชาวยุโรปที่เครื่องหน้าชัด สังเกตได้ว่าเขาจะแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่นได้เหมือนมากๆ แต่ก็ต้องเลือกลุคที่จะแต่งด้วย โครงหน้าจะได้ใกล้เคียงกับต้นแบบมากที่สุด แต่ถ้าให้คนยุโรปมาแต่งเป็นคนไทยก็อาจจะยาก เพราะว่าโครงหน้าเขาชัดมากๆ อยู่แล้ว ซึ่งถ้าลองสังเกตดู คนเอเชียแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่นแล้วลุคจะเปลี่ยนไปมาก ด้วยเครื่องหน้าของเขาที่มีความเล็ก มันทำให้เขาสามารถวาดอะไรเพิ่มบนหน้าก็ได้ วาดขึ้นมาใหม่ยังได้เลยค่ะ เพราะวาดใหญ่แค่ไหนก็ไม่ดูแปลก แต่ถ้าให้คนที่ตาโตอยู่แล้วมาวาดเพิ่ม มันจะดูล้นไปนิดหน่อยค่ะ หน้าแต่ละไทป์ก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน”

อุปกรณ์การแต่งหน้าที่ขาดไม่ได้ในการแปลงโฉม

“น่าจะเป็น ‘คอนทัวร์’ แล้วก็ ‘อายแชโดว์สีน้ำตาล’ ค่ะ เพราะว่ามันคือพอยต์หลักของการสร้างแสงและเงาที่จะช่วยปั้นใบหน้าของเราขึ้นมาใหม่ ด้วยความที่แต่ละคนมีโครงจมูกกับโครงตาที่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ทำให้โครงพวกนี้ดูเปลี่ยนได้ก็คือการคอนทัวร์ ไฮไลต์ และเฉดดิ้งต่างๆ ค่ะ”

ไม่ใช่แค่การแต่งหน้า แต่รวมไปถึงการสวมบทบาท

ใครว่าเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ก็โฟกัสแค่กับการสอนแต่งหน้า เพราะในการแต่งหน้าเป็นคนใดคนหนึ่ง อีกสิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้ก็คือการ ‘สวมบทบาท’ เพื่อให้ลุคนั้นๆ ออกมาดูสมจริงมากที่สุด แม้กระทั่งระหว่างที่ถ่ายโฟโต้ชู้ต คุณตู่ก็ทำท่าทางและสีหน้าออกมาได้เหมือนชีโกราวกับหลุดออกมาจากในการ์ตูน ต่างกันลิบลับจากตอนที่นั่งแต่งหน้าและเม้าธ์มอยกับทีมงานอย่างสนุกสนาน

“ส่วนใหญ่ตู่จะไม่ค่อยใส่ตัวตนของตัวเองลงไปในงานค่ะ ถ้าแต่งแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น ตู่ก็จะไปศึกษาคาแรคเตอร์ของคนนั้นก่อน ก็เลยจะไม่ค่อยใส่ตัวตนของตัวเองลงไปเลย ด้วยความที่รู้สึกว่าก็เราแต่งเป็นเขาแล้ว ก็ต้องสวมบทบาทไปด้วย แล้วทำยังไงก็ได้ให้คนดูเชื่อว่าเราคือคนๆ นั้น ยกเว้นการแต่งหน้าที่ไม่ใช่ทรานส์ฟอร์เมชั่น เพราะถือว่าเป็นลุคที่ไม่ได้มีต้นฉบับ เราก็เลยสามารถที่จะใส่ความเป็นตัวของตัวเองได้แบบเต็มที่”


“อย่างวันนี้เราก็ไปดูการ์ตูน ‘Kim Possible’ ก่อนว่าชีโกพูดอะไรบ้าง มีลักษณะแบบไหน ชอบทำคิ้วกับท่าทางยังไง เราจะต้องศึกษามาก่อนทุกครั้ง เพื่อให้เวลาที่แต่งหน้าและสวมบทบาทเป็นคาแรคเตอร์นั้นๆ คนดูจะเชื่อ แล้วก็รู้สึกว่ามันเหมือนมากขึ้นค่ะ”

ลุคที่แต่งแล้วรู้สึกภูมิใจมากที่สุด

“น่าจะเป็น ‘คาร่า เดเลวีน’ (Cara Delevingne) เพราะว่าเป็นลุคแรกๆ ที่เราเริ่มหัดแต่งแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น ซึ่งพอปล่อยคลิปออกไปแล้วก็ไวรัลมากๆ แถมยังเป็นลุคแรกที่มีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนด้วย ซึ่งสปอนเซอร์ก็เป็นค่ายหนังเจ้าของเรื่องที่คาร่าแสดงเลยค่ะ เขาลองมาสปอนเซอร์ให้เราแต่งหน้าเป็นคาร่าดู ก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกตัวเองตอนที่แต่งลุคนี้สำเร็จ ประมาณว่า เฮ้ย ฉันสามารถทำได้”

ลุคที่แต่งง่ายและยากที่สุด

“รู้สึกว่าทุกลุคยากมากหมดเลย เพราะทุกวันนี้เวลาแต่งหน้าแบบทรานส์ฟอร์เมชั่น เราจะแต่งนานมาก ขนาดว่าบางครั้งแต่งแค่ลุคสไตล์เกาหลีเบาๆ ใสๆ ก็ยังใช้เวลานาน ด้วยความที่ลงรายละเอียดเยอะมาก ก็เลยไม่สามารถตอบได้ว่าลุคไหนยากที่สุด ส่วนลุคที่ง่ายที่สุดก็น่าจะเป็นลุคที่ไม่ต้องแต่งตามใครเลย ทุกลุคที่ไม่ต้องแต่งตามคนอื่นง่ายหมดค่ะ เพราะว่าเราสามารถใส่จินตนาการได้เต็มที่ แล้วก็ไม่ได้มีข้อจำกัดต่างๆ ว่าต้องแต่งหน้าให้เหมือนใคร เพราะฉะนั้น เวลาที่แต่งหน้า เราจะแต่งอะไรก็ได้ ตามใจเราเลยค่ะ”