ความรัก แพชชั่น และเส้นทางดนตรีของ “Patrickananda”

On The Rise: Patrickananda on His Musical Journey and ‘LAVNDR’ EP

“หนูว่า Patrickananda ก็น่าสนใจนะคะ” - Junior Writer ของทีมกล่าวขึ้นมาในระหว่างประชุมประจำสัปดาห์ เรารีบตะครุบหัวข้อนี้ไว้ไม่ให้หลุดมือ คงเป็นเพราะวันก่อนขณะรถติดอยู่บนถนนเพลง Lavender ของ “Patrickananda” หรือ แพททริก - อนันดา ชื่นสมทรง วนเข้ามาใน Spotify แน่นอนว่าจากนั้นตลอดทางกลับบ้านก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนไปฟังเพลงอื่นได้อีกเลย 

“ความรักคือจุดเริ่มต้นของเพลงผมเลยครับ” กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง การสื่อสารที่ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน บนเส้นเรื่องของความรัก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Patrickananda ถึงสามารถทำเพลงออกมาทะลุยอดวิวหลัก 10 ล้าน ได้อย่างต่อเนื่อง พบกับเรื่องราวของเขา ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงปัจจุบันที่รับรองได้เลยว่า เมื่ออ่านจบแล้วคุณจะต้องกลับไปหาฟังเพลงของเขาอย่างแน่นอน 

วัยเด็กและการเติบโต 

“ผมเป็นเด็กเงียบๆ ไม่ค่อยพูด เป็นเด็กที่ชอบใช้เวลากันตัวเอง มีความสุขกับการได้อยู่กับตัวเอง เทรนด์สมัยนี้น่าจะเรียกว่า Introvert ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ พออยู่กับตัวเองเยอะๆ ก็เริ่มชอบคุยกับตัวเอง มันเหมือนได้ย้ำสิ่งที่เราคิดอีกครั้งว่า มันใช่ตามแบบที่เราอยากให้เป็นแล้วจริงไหม อีกอย่างผมเป็นคนที่อยู่กับเพื่อนได้ไม่นาน เจอคนเยอะแล้วผมจะเหนื่อย แต่ในทางกลับกันผมก็เป็นเด็กที่ชอบหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ เลี้ยงนก ปลูกต้นไม้ เล่นโยโย่ เตะบอลก็ไปเล่นตำแหน่ง เล่นบาส อันนี้ผมว่าผมทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ จนมาจบที่การเล่นดนตรีที่ผมคิดว่าทำได้ดีที่สุด ลงตัวที่สุด” แพททริกไล่เรียกกิจกรรมที่เขาเคยทำมาให้เราได้ฟัง “ถ้าสังเกตดีๆ กิจกรรมทั้งหมดที่ผมเคยทำมา มันเป็นกิจกรรมคนเดียวหมดเลยนะ (หัวเราะ)” 

มันเลยทำให้เราต่อยอดจนมาถึงทุกวันนี้ด้วยหรือเปล่า เราถามแพทริกทันทีที่เขาเริ่มต้นพูดเรื่องดนตรี 

“ด้วยครับ เป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ได้ เป็นเหมือนเบ้าหลอม เป็นทุกอย่างของการเริ่มเส้นทางสายนี้เลย ผมจำได้ว่าผมเริ่มจับกลองชุดครั้งแรกเมื่อตอนประถม 4 ยังจำความรู้สึกแรกที่จับไม้แล้วตีกลองได้อยู่เลย แล้วกลายเป็นว่าผมไปได้ไวกว่าเพื่อนมากๆ อย่างที่ผมเล่า ผมเคยทำอะไรมาหลายอย่างแล้วมันทำได้ไม่ดีเท่านี้ เลยทำให้มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผมเข้าวงโยฯ ก็อยู่ในส่วนของเครื่องเพอร์คัสชั่น (เครื่องเคาะให้จังหวะ) คราวนี้หละ กลองเล็ก (สแนร์) กลองใหญ่ (เบส) กลองทิมปานี ผมได้ลองหมด กลายเป็นว่าจับเครื่องดนตรีไหนก็เข้ามือไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราถึงพัฒนาได้ดีกว่าคนอื่นๆ ถือว่าทำได้ดี ดีมากเมื่อเทียบกับรุ่นพี่ มัธยม 5-6 ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าไป อันนี้ผมเอามาจากอาจารย์ผมเลยนะ ไม่ได้คิดเอง (หัวเราะ)” 

เขายังเล่าวัยเด็กของตนเองได้เรื่อยๆ เหมือนเรื่องราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน 

“ตอนนั้นเหมือนเด็กคนหนึ่งเจอสิ่งที่เรียกว่า Passion แต่ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า Passion มันคืออะไร ถามว่าโชคดีไหมก็คงบอกได้ว่าโชคดี แต่มันก็ผ่านการลองผิดลองถูกอะไรมาหลายอย่างเหมือนกัน” 

“การได้เข้าวงโยธวาทิต คือทุกอย่างเลย คือจุดเริ่มต้น คือเบ้าหลอม ที่สร้างตัวตน สร้างดนตรีในแบบของแพททริกอนันดาขึ้นมา” 

“ผมยังจำได้เลยว่ามันมีเพลงชื่อ Niagara Falls อาจารย์เขาบรีฟมาเลยว่า เขาอยากให้เราสื่อสารกออกมาให้เหมือนได้ยินเสียงของน้ำตกไนแองการ่า ก่อนจะตีได้แบบนั้น ผมต้องตีความ จะสื่อสารยังไง เวลาเราทำการแสดงมันทำให้ผมต้องรู้สึกกับมันจริงๆ ส่งต่อความรู้สึก อารมณ์ออกไปให้ได้ มันต้องอยู่ในจุดที่เราเข้าในมันจริงๆ มันคือระบบ สภาพแวดล้อมที่รายล้อมผมในช่วงของการเติบโต เลยทำให้ทุกวันนี้เพลงทุกเพลงของผม มันออกมาจากความรู้สึกจริงๆ” 

ผมน่าจะดื้อมากกว่านี้

หลังจากวัยเด็กที่ได้ค้นพบ  Passion ในตัวเองแล้ว เขาก็เลือกที่จะซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเอง ด้วยการบอกกับที่บ้านว่า จะไม่เรียนต่อหลังจบมัธยม 6 ทำให้ที่ทางบ้านของเขาตกใจเป็นอย่างมาก 

“ผมยังคิดอยู่เลยว่า ผมน่าจะสู้มากกว่านี้ ไม่น่ายอมง่ายๆ เลย (หัวเราะ)”

“สุดท้ายผมก็เข้าเรียนที่ BJM มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมได้เริ่มทำเพลงเมื่อตอนช่วงปี 2 นี่เอง ผมยังคิดอยู่เลยว่า ผมเริ่มช้ากว่าคนอื่นไปเยอะ มันเลยทำให้ผมต้องเริ่งความเร็วในการทำงานให้ทันคนอื่นเขา ช่วงนั้นผมเรียนเสร็จกลับห้อง ทำงานวนอยู่แบบนี้จนจบปี 4 เรื่องไปแฮงเอ้าท์ เรื่องเที่ยวเล่น ไม่มีอยู่ในหัวเลยตอนนั้น เพื่อนที่สนิดกันยังเที่ยวด้วยกันไม่ถึง 5 ครั้งเลย แต่เราก็เข้าใจกันในเรื่องนี้”

ความรักคือวัตถุดิบชั้นดี 

เราเลยเกิดข้อสงสัยว่า แล้วอย่างนี้แพททริกไปหาวัตถุดิบในการทำเพลงมาจากไหน ไปหาแรงบันดาลใจมาจากไหน “แฟนเก่าครับ” เขานิ่งไปซักพัก “ต้องยกเครดิตเรื่องนี้ให้กับแฟนเก่าครับ ความรักครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของเพลงผมเลย เกือบทุกเพลงใน EP. LAVNDR ที่เขียน มาจากเรื่องราวความรักของผมกับเขา” แฟนคนแรกเลยหรือเปล่า - เราถาม “ไม่ใช่แฟนคนแรก แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ที่จริงจังที่สุดครั้งแรก เราใช้ชีวิตด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกัน 24 ชั่วโมง พอรักมาก มันก็เจ็บมากครับ”

หลายคนคงเคยผ่านหู ผ่านตา กันมาบ้างกันเพลล่าสุดของเขา Lavender เพลงแนว R&B ที่สามารถประหารคนอกหักให้ได้ตายได้ด้วยตั้งแต่บีทแรก ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากความรักในครั้งนี้ 

“เพลงลาเวนเดอร์ก็เป็นเพลงที่มาจากเรื่องราวในความสัมพันธ์ของผมและเขาเช่นกันครับ ผมไม่เคยใช้ชีวิตกับคนอื่นมาก่อน แชร์ทุกอย่างด้วยกัน แทบจะเป็นคนคนเดียวกันไปแล้ว มันคือทุกอย่างเลยนะในตอนนั้น อาจจะเพราะว่ายังเด็กด้วย มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าแฟนคนนี้เป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเข้าถึงตัวตนและความเป็นผมได้จริงๆ”

แต่ก่อนเธอจะไปขอร้องเธออีกครั้ง และหากมันจำเป็นสำหรับเธอขนาดนั้น

……

ให้ฉันได้โอบกอด เหมือนว่ายังรักกัน ก่อนที่ฉันจะไม่มีเธออีกแล้ว

“เนื้อร้องในเพลง Lavender ท่องฮุค มันคือประโยคที่แฟนเก่าพูดกับผม วันที่ผมตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับเขา มันคือสิ่งที่ประโยคเหล่านี้ทั้งหมดเลย” เขาซ่อนสายตาหลังแว่นตาดำอีกครั้ง “ทุกครั้งที่คุยเรื่องนี้ผมก็จะ มันแบบ อีกแล้วเหรอวะ” ได้กลับมาคุยกันเรื่องพวกนี้บ้างไหม เราถามจากเขาเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง “คุยบ้างครั้ง ผมคิดว่าเขารู้อยู่แล้ว ว่าผมเขียนเพลงให้เขา” 

หลังเลิกรากันไปแล้ว ยังเห็นความสุขในช่วงนั้น Flash Back ผ่านบทเพลงบ้างบ้างไหม 

“เสมอครับ”

LAVNDR กับตัว E ที่หายไป 

“(หัวเราะ) จริงๆ มันไม่มีอะไรเลยนะ ผมอยากให้มันเขียนเท่ๆ พอเอาตัว E ออกแล้ว คำมันลง 2 ตัวอักษรเป็นคู่กันพอดี มันสมมาตรกันดี ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย” เขาอธิบายเรื่องราวเบื้องหลังตัว E ที่หายไป 

หากเราเลื่อนลงไปดูที่เครดิตในเพลงของแพททริก เราจะเห็นชื่อของเขาในช่องผู้แต่งเนื้อร้องและทำนอง ย้อนให้เราคิดว่ากับอาชีพนักร้อง ศิลปิน ในยุคนี้ จำเป็นไหมที่จะต้องมีความสามารถล้นเหลือมากกว่าการเปล่งเสียงออกมา 

“ถ้าระบบมันซัพพอร์ตอยู่แล้ว ผมว่าไม่จำเป็นหรอกที่นักร้องจะต้องแต่งเพลงเอง แต่มันจะสำคัญตรงที่ เราได้เล่าในสิ่งที่เราอยากเล่าแค่นั้นหรือเปล่า ผมว่ามันถึงอารมณ์กว่าที่เราจะได้ร้องเพลงที่มาจากประสบการณ์ตรงของเราเอง”

“มันเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนด้วย ผมไม่อยากร้องเพลงที่มาจากเรื่องราวของใครก็ไม่รู้ มันไม่เชื่อมโยงกับผม อย่างเพลงที่แต่งเอง ผมรู้ที่มาว่าเพลงนี้แต่งให้ใคร ผมได้เล่าเรื่องของผมให้คนฟังได้ฟัง มันได้ทำงานในแบบที่ผมต้องการ”

“อย่างเรื่องราวที่ผมหยิบมาเล่าใน EP. LAVNDR มันก็มีเรื่องราวเบื้องหลังทุกเพลงเลยนะ ผมอาจจะไม่ได้วางภาพใหญ่เอาไว้ว่ามันต้องเชื่อมต่อเข้าหากัน หรือร้อยเรื่องราวเข้าไว้ด้วยกันแบบศิลปินคนอื่นๆ มันเป็นเล่าเรื่องแบบ Chapter by Chapter จบเป็นเรื่องๆ ไป ไม่ได้คุมภาพ คุมภาษาอะไรเลย แต่ก็ยังมีคอนเซปต์ใหญ่ที่ครอบไว้เป็นวัฏจักรของดอกลาเวนเดอร์ ที่มีจุดเริ่มต้น บาน เหี่ยวเฉาเหมือนเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นกับผมนี่ละครับ ”

“ทุกวันนี้ผมเหมือน Living in a Dream ผมไม่ได้มาแนว Rock Star มีเงินถุงเงินถังขนาดนั้น การที่ผมได้ทำสิ่งที่ผมรักทุกวัน มันคือที่สุดแล้ว ชีวิตที่ไม่ต้องเรียน ได้ทำสิ่งที่รัก แล้วยังหาเงินจากสิ่งนี้นั้นอีก ไม่รู้จะขออะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว ศิลปินทุกคนน่าจะอยากมีชีวิตแบบนี้ ชีวิตที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากทำเพลง” 

สำหรับแพททริกแล้ว กับการก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินหน้าใหม่ในวงการดนตรี ด้วยความเชื่อในการสื่อสารเรื่องราวของเขาผ่านบทเพลง ตัวตนที่ชัดเจน ภายใต้การดูแลของ Warner Music Thailand เราไม่แปลกใจเลยว่าผลงานเพลงที่ปล่อยออกมานั้นจะสร้างปรากฎการณ์ทะลุ 10 ล้านวิวไปได้ไม่ยากเย็น เตรียมเข้าทำเนียบศิลปินชั้นนำของประเทศในเวลาไม่นานแน่นอน

“ผมตั้งใจทำเพลงเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ผมไม่ได้อยากเป็นไอดอลของใคร อันนี้เป็นเป้าหมายแรกที่ผมบอกตัวเองมาตลอด และทางค่ายก็รับรู้เป้าหมายนี้เหมือนกัน ผมยังอยากเป็นศิลปินที่พูดถึงแล้วมันถึงถึงคนอื่นไม่ออกเลย นอกจาก Pattrickanada ที่เป็น The One and Only ผมกำลังพยายามไปให้ถึงจุดนั้นอยู่”

ติดตามและอัปเดตผลงานของแพททริกทั้งหมดได้ที่  

Facebook: Patrickananda

Instagram: patrickananda

Youtube: DUMB Recordings

“How about an interview with Patrickananda? He’s pretty interesting,” suggested our junior writer during our EQ’s weekly meeting. Having listened to his single “Lavender” on repeat the other day when I got stuck in traffic, I simply had to say yes to the idea.

“Love is the origin of my music,” Ananda “Patrick” Chuensomsong aka Patrickananda explains early on in the interview. It makes sense because his music is all about capturing real-life experiences and portraying love stories that resonate with the listener everywhere. With his “Lavender” music video having garnered over 17 million views on YouTube, the singer/songwriter must be doing something right.


What were you like growing up?
“I was a quiet kid. I loved spending time on my own and I enjoyed my own company. I guess you could call me an introvert. Being on my own allowed me to have a conversation with myself and see if I was on the right path. Spending time with my friends sometimes made me feel drained. But I was a very active kid – I did everything from having a pet bird and planting trees to yo-yoing and playing soccer and basketball. I mean, if you haven’t noticed, they were all solo activities,” he says with a laugh. “In the end, it was music that clicked with me the most.”

Was that how you got started in music?
“I guess you could say that. It sort of jump started my music career. I still remember the feeling when I picked up my first pair of drumsticks when I was four. Like I said, music clicked with me, so I progressed really quickly. When I started ninth grade, I joined the school’s marching band, playing different percussion instruments like the snare drum, bass drum and timpani. I was good at whatever I got my hands on. Even better than most of my school seniors. I’m not blowing my own trumpet – my teacher really said so!”


“I was this kid who finally found his passion. I probably didn’t even know what ‘passion’ meant back then. ​I was lucky but it wasn’t without trial and error.” 

“Being in a marching band was everything. It was the beginning and the mold that shaped my identity and the music that I make.” 

“I remember when my teacher gave me a drumming assignment on the song ‘Niagara Falls.’ He wanted me to play in such a way that would convey the feeling of hearing Niagara falls. I had to interpret it and try my best to channel my feelings. Being in that environment during my formative years has taught me to inject real emotions into my music.”

“I should have been more stubborn”

Having found his calling, Patrick told his family that he didn’t want to go to university after graduating high school. That didn’t go down so well.

“I should have been more stubborn. I shouldn’t have given in so easily. I ended up enrolling in the Bachelor of Arts Program in Journalism at Thammasat University. It wasn’t until my second year that I started making my own music. I knew that I was way behind other people so I made it my priority. For the next few years, I would go to uni and come straight back home to work on my music. I didn’t even think about hanging out with my friends. Even with my close friends, I probably only hung out with them a few times.”

Where did the inspiration for your songs come from?
“I’d have to give credit to my ex. Almost every song on the ‘LAVNDE’ EP was inspired by our love stories. It wasn’t my first relationship, but it was the most serious one. We lived together and spent pretty much 24 hours together. When you love hard, you get hurt hard.”

Can you tell us more about the song “Lavender”? 

The song talks about my relationship with my ex. I’d never spent so much time with anyone else. We shared everything and it felt almost like we were the same person. Maybe because I was young. She was the first person who really got me.”

But before you go, I want to ask of you,
And if you feel like you really have to go…

……

Let me hold you like we’re still in love before I lose you

“The chorus is basically what I said to her when we broke up. Whenever the topic comes up, I’m like ‘Here we go again.’ We still talk occasionally and I think she knows that I wrote this song for her.”

 

The missing e’s in LAVNDR

“There’s not much to it really. I just wanted it to look cool so I removed the e’s so that the remaining letters are in equal pairs.”


How important is it for today’s artists to be able to do more than just sing?

“If artists get the support they need, there’s no need for them to write their own songs. However, I believe that songs will have more of an impact when they come from the artists’ own experience.”

“It really depends. Personally, I don’t want to sing about something that has nothing to do with me. With the songs that I wrote myself, I know who they are meant for and the kind of stories that I want to tell.”

“Every track on the EP has its own backstory, but they’re not interconnected. It’s more like stories being told chapter by chapter. The overall theme here is the cycle of lavender flowers which reflects the story of my relationship.”

“It’s like I’m living in a dream. I mean, I’m not one of those rock stars with loads of money, but I get paid to do what I love to do everyday. There’s nothing else I could ask for. It really is the ultimate dream for a lot of artists.” 

“It’s always been my goal to make music that inspires people. I never wanted to be an idol and my label is well aware of that. I want to reach the point where people can only think of me when they hear my music.”

Still want more? Follow Patrick now on Instagram and YouTube