‘ตันตระ’ ประตูแห่งการค้นพบอิสระภาพในด้านมืด และความเปราะบาง

เรื่องราวเหล่านี้มาจากมุมมองส่วนบุคคลเท่านั้น EQ ทำหน้าที่เพียงนำเสนอเรื่องราวส่วนบุคคล ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการ พิธีกรรม หรือสนับสนุนการกระทำที่เสี่ยงต่อการล่วงละเมิดทางเพศ

นอกจากความรักแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเซ็กซ์คือแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่อีกอย่างที่ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ เราอาจใช้มันเป็นหลักในการตัดสินใจ รวมทั้งเป็นที่มาของพฤติกรรมต่างๆ EQ จึงเชิญสองสาวที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับเซ็กซ์ในระดับจิตวิญาณ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์สมัยที่พวกเธอเป็นนักเรียนในโรงเรียนตันตระที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนโรงเรียนจะถูกปิดตัวลงชั่วคราวด้วยเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่ามีคดีฉาวโฉ่ไปทั่วโลก จากกรณีที่เจ้าของโรงเรียนซึ่งเป็นกูรูตันตระถูกกล่าวหาในคดีล่วงละเมิดทางเพศ โดยหญิงสาวจากหลายมุมโลกที่พากันเดินทางเพื่อมาเรียนที่นี่ และถือเป็นเรื่องราวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ชุมชนแห่งจิตสำนึก”

ก่อนที่โรงเรียนตันตระแห่งนี้จะปิดตัวลง ความยิ่งใหญ่ของมันนับว่าไม่ธรรมดา บริเวณด้านหน้าโรงเรียนมีรูปปั้นพระศิวะองค์ใหญ่สีฟ้ากำลังร่ายรำชวนสะดุดตา และป้ายที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘Choose Evolution’ วิวัฒนาการที่ทางโรงเรียนยกขึ้นมาชูเป็นมอตโต้นี้ เคยสร้างแรงสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นพลวัตมาแล้ว เมื่อหนุ่มสาวจากทั่วทุกมุมโลกต่างพากันเดินทางมาเพื่อเสาะแสวงหาหนทางดับทุกข์และกลับเข้าหาตัวตนอีกครั้ง ด้วยการใช้วิธีการปฏิบัติอย่างโยคะและการทำสมาธิ รวมทั้งการเรียนภาคทฤษฎี จากคำบอกเล่าของอดีตนักเรียนโรงเรียนนี้ที่ยังใช้ชีวิตบนเกาะพะงัน ย่านศรีธนูทั้งแถบจะมีคนใส่เสื้อยืดหรือสะพายย่ามที่มีตราสัญลักษณ์โรงเรียนเดินไปมาอยู่ราวๆ 200-300 คนต่อวัน ร้านอาหารวีแกนที่เปิดเรียงรายกันอยู่ทั่วไปก็สร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการของนักเรียนโยคะ จนทำให้ศรีธนู ซึ่งเคยเงียบสงบเพราะไม่ใช่แหล่งที่นักท่องเที่ยวตั้งใจมาเยือนเหมือนฝั่งหาดริ้น ก็ได้กลายเป็นแหล่งทำเงินให้คนท้องถิ่น รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่พากันมาเปิดโรงเรียนสอนโยคะและสถานบำบัด จนทำให้มันกลายเป็นย่านที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างชาติต่างภาษา อยู่อาศัยร่วมกันกับคนไทยเจ้าของบ้าน ที่ดูจะปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้มาอาศัยกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี

‘ลิต้า เจน’ (Lita Jane) สาวสวยอดีตวิศวกรที่ต้องเผชิญกับความเศร้าโศกจากการสูญเสียความรัก จนเป็นเหตุให้เธอใคร่ครวญตั้งคำถามหลายๆ อย่างเกี่ยวกับชีวิต และอยากทบทวนความรู้สึกของตัวเองเงียบๆ คนเดียวที่ไหนสักแห่ง เธอถูกดึงดูดให้มาเยือนเกาะพะงันที่เลื่องชื่อไปด้วยภาพผู้คนร่ายรำภายใต้แสงจันทร์เดือนเต็ม แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เย้ายวนใจเธอ หากแต่เป็นเพราะชุมชนทางจิตวิญญาณที่แฝงตัวอยู่เงียบๆ ในอีกฟากฝั่งของเกาะต่างหาก

ลิต้าเล่าว่าเธอเคยใช้ชีวิตด้วยตรรกะมาโดยตลอด แต่ ณ ช่วงเวลาอันแสนเปราะบางนั้น เธอได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่พูดถึงการใช้ชีวิตโดยสัญชาตญาณ ซึ่งมันได้เปิดและเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตของเธอไปอย่างไม่มีวันกลับมา 

“หนังสือเล่มนี้ชื่อ ‘I See Your Soul Mate’ โดย ‘ซู เฟรเดอริค’ (Sue Frederick) พออ่านแล้วก็เกิดคำถามว่า มันจะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะลองใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณดู โดยไม่ต้องพยายามหาเหตุผลว่าอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง

ตลอดทางที่นั่งรถไฟไปสุราษฎร์ธานี ฉันก็อ่านหนังสือเรื่อยๆ จนถึงท่อนที่มันแนะนำให้ท่องมันตรา แล้วอธิษฐานก่อนนอนว่า “ขอให้จักรวาลนำทางสู่รักแท้ในความฝัน” คืนนั้นฉันฝันอีรุงตุงนังพอๆ กับจังหวะการวิ่งของขบวนรถไฟ ตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเลข 4 พอมาถึงท่าเรือก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน จำได้ว่าที่เดียวที่ต้องไปให้ถึงคือศรีธนู เพราะอ่านมาจากกลุ่มของนักเรียนและครูสอนโยคะในเฟซบุ๊ก ฉันก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ส่งสารมาสิ ฉันจะ say yes ให้หมดเลย!”

“สักพักก็มีผู้หญิงวัยกลางคนมาถามว่าจะไปที่ไหน ฉันก็ตอบไปว่าศรีธนู เธอจึงจะพาฉันไป ปกติฉันไม่เชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ แต่ฉันตัดสินใจไปแล้วว่าจะลองทำตามสัณชาตญาณดูสักครั้ง แล้วเธอก็พาฉันไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ นี่ถ้าไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะ say yes กับทุกสิ่ง รับประกันว่าคนอย่างฉันไม่ไปแน่นอน ระหว่างทางในหัวก็คิดว่าจะไปพักที่ไหนดี แล้วจู่ๆ คุณพี่คนขับก็ถามขึ้นมาว่าจะไปพักที่ไหน ฉันตอบไปว่ายังไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาก็เลยอาสาพาไปพักในบังกะโลที่รู้จัก ที่นั่นล่ะ ที่ความฝันหมายเลข 4 กลายเป็นจริง เพราะบังกะโลที่ว่างอยู่คือบังกะโลหมายเลข 4

ตอนนั้นฉันสัมผัสได้ทันทีว่านี่คือการนำทางของพระเจ้า น่าแปลกที่ฉันเองก็ไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงการมีอยู่ของพระเจ้าด้วยซ้ำ และใช้ชีวิตแบบพึ่งพาแต่ตัวเองมาโดยตลอด แต่ฉันเชื่อว่ามันคือความทรงจำของจิตวิญญาณถึงผู้สร้างและความรัก ฉันมิได้อยู่ลำพัง ความรักที่แท้จริงอันแสนยิ่งใหญ่นั้นอยู่กับฉันตลอดเวลา ในเวลานั้น คำอธิษฐานให้พบกับรักแท้ก็ได้เกิดขึ้น ฉันนึกขอบคุณแฟนเก่าที่ทิ้งฉันไป เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ได้พบกับพระเจ้า

การค้นพบพระเจ้าบนเกาะพะงันทำให้ฉันปักใจเชื่อเหลือเกินว่าเกาะแห่งนี้ต้องมีคำตอบต่อคำถามที่ฉันตามหา แต่ที่ไม่เคยคาดคิดก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนตันตระ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตันตระคืออะไร แต่ถ้ารู้มาก่อน ฉันคงจะหนีกระเจิงกลับบ้านไปตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ

วันหนึ่งฉันเดินไปเรื่อยอย่างไร้ทิศทาง เพราะฉันไม่มีมือถือ แล้วอยู่ๆ ก็เกิดหิวน้ำขึ้นมา ก็เลยเดินมันไปทั่วเพื่อหาร้านซื้อน้ำกิน ไม่รู้ตาว่าลายหรือยังไง ฉันเดินผ่านร้านสะดวกซื้อไปซะอย่างนั้น จนไปเจอโรงเรียนโยคะแห่งหนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์โดดเด่นเป็นรูปปั้นองค์พระศิวะสีฟ้าใหญ่โต 

ด้วยความสงสัยเราก็เดินเข้าไปดู พอเจอพนักงานต้อนรับก็เลยถามว่าโรงเรียนนี้สอนอะไรบ้าง เขาบอกว่าที่นี่มีสอนโยคะให้คนไทยได้เรียนฟรี ฉันก็คิดว่าคงให้คลาสฟรีไม่กี่ชั่วโมงหรอก แต่พนักงานก็บอกอีกว่าคนไทยเรียนฟรีตั้งแต่ระดับ 1-13 เลย ซึ่งระดับนึงใช้เวลาเรียน 1 เดือน! เราช็อกมาก ระดับ 1 ก็เรียนกัน 6 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งเช้า กลางวัน เย็น ฟรีหมดเลย ตอนนั้นฉันมั่นใจแล้วว่านี่คือการชี้ทางเต็มๆ จากพระเจ้า ฉันตัดสินใจทันทีว่าต้องเรียนที่นี่ ทิ้งทุกสิ่งในเมืองหลวง แพ็กเฉพาะสิ่งที่จำเป็น แล้วมาเป็นชาวเกาะ”

“ตลอด 1 เดือนที่เรียนโยคะที่นั่น ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันคือโรงเรียนตันตระ ฉันได้เยียวยาตัวเองจากการอกหัก รวมทั้งค้นพบความสุขภายในที่แท้จริง กระทั่งผ่านพ้นไปจนใกล้จบระดับแรก 

ตอนนั้นก็ได้รู้จักกับเพื่อนชายชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาชวนฉันไปว่ายน้ำที่เซนบีช ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องชาวต่างชาติมาว่ายน้ำแก้ผ้ากัน ฉันก็คิดว่าถึงจะแปลกก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่การแก้ผ้าในที่สาธารณะยังคงเป็นไปไม่ได้ ก็เลยตกลงไปว่ายน้ำพร้อมเพื่อนผู้หญิงอีกคน ซึ่งทั้งคู่พากันนู้ด แต่ฉันใส่ชุดบิกินี่

พอว่ายไปสักพัก เพื่อนๆ ก็ชวนเราทำวารีบำบัดกัน โดยเพื่อนผู้ชายประคองศีรษะฉันไว้ ในขณะที่เพื่อนผู้หญิงอีกคนประคองปลายเท้าและเคลื่อนไหวไปมา ให้น้ำได้ไหลผ่านร่างกาย ตอนที่จบเซสชั่นแล้วก็ฉันรู้สึกดี ผ่อนคลายมากๆ  

แต่แล้ว จู่ๆ เขาทั้งคู่ก็เคลื่อนเข้าหากันและโอบกอดฉันไว้ตรงกลาง ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่มีคนแก้ผ้าประกบทั้งหน้าและหลัง แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ จนพวกเขาเริ่มเคล้าเคลียกัน แลกจูบอันดูดดื่มโดยมีฉันอยู่ตรงกลาง! ตอนนั้นรู้สึกตกใจมาก ปนกับความสับสนที่ตัวเองกลับรู้สึกดี และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน

เมื่อความร้อนระอุคลายตัวลงสักพัก ทุกคนผละออกจากกัน แล้วเพื่อนชายก็ได้พูดกับฉันว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่ตันตระ’ 

วันนั้นฉันกลับบ้านไปด้วยความสับสน และเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองได้มาอยู่ในชุมชนแห่งจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดาเข้าแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าสังคมตันตระเอาเรื่องเพศมาเป็นวิธีฝึกฝนทางจิตวิญญาณ ฉันก็รู้สึกโกรธมาก โกรธทุกคน โกรธพระเจ้าที่พาให้มาเจอเรื่องราวแบบนี้ แต่ฉันไม่รู้เลยว่า ความโกรธนั้นเกิดจากปมด้านลบที่สั่งสมมาจากกรอบทางสังคม และประสบการณ์ทางเพศที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ยังโชคดีที่ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมคนที่ฝึกฝนตันตระดูมีความสุขสงบ ทำไมถึงดูมีแต่ความรัก ในขณะที่ฉันมีแต่ความโกรธและเคียดแค้น จนในที่สุดก็ตั้งใจจะค้นหาคำตอบว่าตันตระนั้นคืออะไรกันแน่ และทำไมพระเจ้าถึงนำทางฉันมาที่เกาะแห่งนี้ หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเรียนรู้ โดยมีข้อแม้กับพระเจ้าว่า พอจบตันตระระดับ 1 แล้วจะออกจากเกาะนี้ให้ได้!” แต่สุดท้ายลิต้าก็ได้เรียนถึง 2 ระดับ และยังอยู่บนเกาะอีกร่วมปี

Photo credit: Ron Avnery

“แค่เรียนได้ 1 ระดับเราก็เข้าใจว่า เรื่องเซ็กซ์ที่เคยมองว่าสกปรก แท้จริงแล้วคือพลังงานที่สวยงาม เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์และทำลายล้าง จนมันต้องถูกควบคุมด้วยกฎเกณฑ์ทางสังคม ลองคิดดูสิว่า พลังงานนี้เองที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเกิดมา ในขณะที่ศาสนาแบ่งแยกเรื่องเพศออกไปจากคำสอน ตันตระกลับไม่ทำอย่างนั้น ทุกอย่างสามารถนำมาเรียนรู้ในทางจิตวิญญาณได้ จึงทำให้หลายๆ คนที่รู้จักตันตระเพียงผิวเผินตัดสินไปว่ามันคือเซ็กซ์ ทั้งที่เซ็กซ์เป็นเพียงหัวข้อเล็กๆ ของตันตระเท่านั้น

ตันตระคือการเรียนรู้ให้ใช้ทุกขณะจิตกับภาวะทางจิตวิญญาณ ฉะนั้น มันจึงไม่มีขอบเขต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนได้ทั้งหมด 

เมื่อฉันมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับเรื่องเพศของตัวเอง ฉันก็สามารถรักตัวเองได้มากขึ้น ความรู้สึกกดทับเรื่องเพศได้ถูกปลดปล่อย สามารถยกโทษให้กับตัวเองในอดีต และสิ่งที่สวยงามก็คือ สามารถยอมรับความปรารถนาเบื้องลึกของตัวเอง จากที่เคยถูกสอนว่าแรงปรารถนาเป็นสิ่งไม่ดี เป็นกิเลส ทำให้เรารู้สึกผิดเวลาเกิดความต้องการบางอย่าง ว่าตัวเองละโมบโลภมาก

แต่ชุมชนนี้ได้สอนให้ฉันยอมรับในสิ่งที่ต้องการ แล้วให้ใช้สิ่งนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่ความเข้าใจในชีวิต และรู้จักตัวเอง รู้จักโลก หรือแปรสภาพความต้องการให้เข้าสู่ภาวะการตระหนักรู้ถึงสัจธรรมที่สูงส่งยิ่งขึ้น”

เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว เราจึงขอให้เธอเล่าประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับตันตระให้ฟังว่า มันช่วยให้เธอเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร

Photo credit: Ron Avnery

“ฉันได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งในชุมชนตันตระที่ฝึกฝนการทำสมาธิมาเป็นอย่างดี สามารถนั่งสมาธิเป็นวันๆ ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงยันพระจันทร์ชิงเฉิดฉาย เวลาอยู่ใกล้ๆ แล้วฉันรู้สึกสงบ เสมือนกับได้เข้าสมาธิไปกับเขาเลยทีเดียว ขอให้ชื่อสมมติกับเขาว่า ‘เฮอร์มิต’ (Hermit) ซึ่งหมายความว่า ‘ผู้ปฏิบัติ’ เรามีความสัมพันธ์แบบ open relationship หรือความสัมพันธ์แบบเปิดร่วมกัน มันคือการที่คนทั้งคู่ตกลงว่าสามารถมีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตกลงของทุกคนที่เกี่ยวข้อง 

และในตอนนั้น ฉันก็ได้รู้จักกับคู่รักอีกคู่ที่มาเรียนตันตระด้วยกัน โดยผู้ชายเป็นครูสอนตันตระและมีโรงเรียนเป็นของตัวเองในประเทศอื่น ในขณะที่ผู้หญิงเพิ่งจะเริ่มต้นเส้นทางการเรียนรู้ของเธอ พวกเขารักกันมากๆ แม้ว่าผู้ชายจะเป็นครูสอนตันตระและมีความสัมพันธ์แบบเปิดมาโดยตลอด เมื่อพบผู้หญิงคนนี้ เขากลับต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงภายในจิตใจของตัวเอง นั่นคือความกลัวว่าจะต้องสูญเสียเธอไป แต่พวกเขาต้องการพัฒนาความรักให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ด้วยการทำลายความกลัวนี้ และยินยอมให้คนรักของตัวเองไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น 

เพื่อนผู้หญิงคนนี้ได้เอ่ยชวนให้ฉันมีความสัมพันธ์ทางเพศกับพวกเขา 

ถึงแม้ฉันจะมีความรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ออกจะประหลาด ผิดศีลธรรม แต่เพราะความจริงใจที่พวกเขาแสดงออก ทำให้ฉันเองก็อยากจะค้นพบและเรียนรู้เรื่องของความรักที่อยู่เหนือกรอบสังคมนี้ ฉันจึงตกลงปลงใจ และได้บอกเล่าทุกอย่างกับเฮอร์มิต”

Photo credit: Ron Avnery

“และวันนั้นก็มาถึง วันที่ฉันมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักคู่นี้ หรือที่เรียกว่า threesome นั่นล่ะ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ กับการได้เห็นคู่ที่มีความรักให้กัน ซึ่งอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางสังคม หลังจากนั้นฉันก็นัดพบกับเฮอร์มิต เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง วันนั้นเฮอร์มิตมีสายตาตื่นเต้นเป็นประกายพร้อมกับใบหน้าอิ่มเอิบผ่องใส ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้แล้ว เพราะสัมผัสได้ถึงพลังงานความสุขที่เคลื่อนผ่านสายใยความสัมพันธ์ที่เชื่อมฉันกับเขาไว้ด้วยกัน แล้วมันก็ค่อยๆ ถาโถมเป็นคลื่นความสุขที่หลั่งไหลไปทั่วทุกประสาทการรับรู้ของเขา ก่อนจะพุ่งไปถึงจุดสุดยอด ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ปริ่มเปรมมาก จนเขาจับมือฉันขึ้นมาจูบและขอบคุณที่แบ่งปันความสุขให้กับเขา

ฉันเคยได้ยินถึงความรักที่ปราศจากเงื่อนไข แต่นี่คือครั้งแรกที่สัมผัสได้ด้วยประสบการณ์จริง ความรักที่เฮอร์มิตมีให้ฉันปราศจากซึ่งความต้องการครอบครอง แต่เปี่ยมไปด้วยความรักและยินดี ความรู้สึกเป็นสุขอย่างแท้จริง เมื่อคนที่เรารักมีความสุข ถ้าไม่ใช่เฮอร์มิตที่มีความสามารถในการเข้าสมาธิขั้นสูง ฉันเองก็คงไม่สามารถรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ในโลกของพลังงาน

การที่ฉันมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนอื่น นอกจากเฮอร์มิตจะไม่หึงหวงแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกด้อยค่า เพราะฉันไม่ใช่ตัววัดคุณค่าของเขา และเขากลับรู้สึกตื่นเต้นไปกับฉัน ฉันมองดูใบหน้าผ่องใสที่ลื่นเป็นมันเหมือนคนอิ่มพลังงานนั้นแล้วรู้ซึ้งเลยว่า ผู้ชายคนนี้ทำให้เราได้เข้าใจจริงๆ ว่าความรักที่ไร้เงื่อนไขเป็นอย่างไร และนี่คือคุณค่าที่ฉันได้เรียนรู้จากการคลุกคลีกับผู้ที่ฝึกฝนตันตระมาเป็นอย่างดี และนี่คือเหตุผลที่พระเจ้าชี้นำฉันมาที่นี่”

Photo credit: Ron Avnery

ลิต้ากล่าวต่อไปว่า “สังคมของเราคุ้นเคยกับคำว่าได้เสีย มันมีฝ่ายหนึ่งได้และอีกฝ่ายเสียเสมอ ขณะที่โลกของตันตระมองว่าเพศสัมพันธ์อันเกิดจากการยินยอมซึ่งกันและกัน คือการแลกเปลี่ยนพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ การมองผ่านกายเนื้อ การเห็นเนื้อแท้ของเพศหญิงนั้นคือ ‘ศักติ’ (Shakti) และเพศชายคือ ‘ศิวะ’ (Shiva) เสมือนบทแสดงและการร่ายรำของพลังงานอันศักดิ์สิทธ์ที่นำเสนอผ่านตัวเรา 

เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว การแลกเปลี่ยนก็สิ้นสุดที่ตรงนั้น การแยกแยะนี้ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ และมักจะทำให้เกิดความบาดหมางตามมา เมื่อความคาดหวังเกิดขึ้นหลังจากการแลกเปลี่ยนทางเพศ แม้แต่คนที่อ้างตนว่าเป็นครูบางคนก็ใช่ว่าจะแยกแยะเรื่องนี้ได้ 

บางคนก็ฉวยโอกาสเกลี้ยกล่อมว่าเซ็กซ์มันดีื เพื่อจะได้หลับนอนกับสาวๆ ซึ่งการเอาเซ็กซ์มาล่อว่าทำเพื่อให้เขาเข้าถึงความรักก็ทำให้ผู้หญิงบางคนอยากทดลอง จนเป็นเหตุให้ต้องได้รับความทุกข์จากบาดแผลทางใจและสูญเสียคุณค่าในตัวเอง เพราะไม่ได้ก้าวเข้าสู่โลกของตันตระอย่างแท้จริง ดังนั้น ฉันอยากให้ทุกคนมองเห็นเหรียญทั้งสองด้านนี้ และตัดสินใจอย่างมีสติ

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ คือการรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเองทุกอย่าง 100% เฉกเช่นเดียวกับร่างกายที่เป็นของฉัน ไม่มีใครมีสิทธิ์เหนือไปนอกจากตัวฉันเอง แม้แต่สามี ชุมชนแห่งนี้ได้สอนให้ฉันเลือกทำในสิ่งที่เป็นความต้องการของฉันเท่านั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขภายนอก ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้พาไปเลี้ยงข้าว ฉันควรจะมีเซ็กซ์กับเขา หรือถ้าอยากได้ความรักก็ต้องเอาเซ็กซ์ไปแลกมา และถ้าฉันตัดสินใจจากความต้องการของตัวเองแล้วก็จะไม่กล่าวโทษใคร หากรู้สึกเจ็บปวด อย่างน้อยมันก็เกิดจากสิ่งที่ฉันเลือกเอง และจะได้เรียนรู้จากมัน”

Photo credit: Ron Avnery

เราขอให้เธอเปิดใจเล่าเพิ่มเติมถึงความสัมพันธ์กับสามี ซึ่งปัจจุบัน ลิต้าอาศัยอยู่ในประเทศอันดอร์รา สถานที่เล็กๆ สุดโรแมนติกในยุโรปที่เต็มไปด้วยความสวยงาม เมื่อถูกถามว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นรูปแบบใด ลิต้าตอบว่า

“เป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว เพราะสามีไม่ใช่คนในสังคมตันตระ แต่ฉันได้บอกเขาเสมอว่าอยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นความสัมพันธ์ที่ปลอดภัย คำว่าปลอดภัยในที่นี้คือ เขาสามารถพูดทุกสิ่งที่รู้สึก และบอกความต้องการกับฉันได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องกลัวการตัดสิน อยากให้เขาได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด เพราะฉันเองก็เคยถูกรักแบบนี้มาแล้ว จึงอยากจะถ่ายทอดมันให้กับเขา 

ฉันเคยบอกเขาไปว่า ถ้าวันหนึ่งอยากจะมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ขอให้เขาไม่ต้องรู้สึกผิดกับความต้องการของตัวเอง ฉันอยากให้ความรักคือพื้นที่ที่มอบอิสรภาพให้แก่กัน ไม่ใช่พื้นที่จองจำความคิด ความรู้สึก หรือการกระทำของกันและกัน”

“ถ้าถามว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันได้เรียนรู้จากชุมชนตันตระคืออะไร มันก็คงจะเป็นความรักที่ไร้รูปแบบและอิสรภาพในกรอบความคิด”

เราขอความเห็นจากเธอในเรื่องที่เจ้าของโรงเรียนสอนตันตระถูกจับด้วยข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ

“ตอนที่มีข่าวว่าใครกล่าวหาใคร ฉันไม่ได้รู้จักทุกคนเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตน และฉันเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เชื่อว่าทุกคนพูดความจริง เพียงแต่เป็นความจริงที่ออกมาจากมุมมองของแต่ละคนเอง 

ก่อนที่จะเป็นข่าวอื้อฉาวตามโลกอินเทอร์เน็ต ทางชุมชนก็ได้มีการประชุมกันบ่อยๆ บรรยากาศชวนอึดอัดเอามากๆ ในตอนนั้นนักเรียนแลกเปลี่ยนความเห็นกัน และแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่เห็นใจผู้หญิงและฝ่ายที่เข้าใจผู้ชาย

วันนั้นฉันมีความรู้สึกเหมือนพระเจ้าต้องการจะให้ฉันพูดอะไรบางอย่าง ทั้งที่ใจจริงก็ไม่อยากจะออกความเห็นอะไรเลย อยากจะนั่งเงียบๆ แต่พลังงานในร่างกายมันปั่นป่วนไปหมด การประชุมดำเนินไปจนใกล้จบ ฉันพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ แต่มันเหมือนยิ่งพยายามก็ยิ่งร้อนรน ฉันเลยตั้งจิตอธิษฐานไปว่า ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าจริงๆ ก็ขอให้ส่งสัญญาณที่ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้

ไม่ทันขาดคำ ผู้นำการสนทนาก็กล่าวขึ้นว่า “หากผู้ใดในที่นี้มีสิ่งที่ต้องกล่าวแต่ยังไม่ได้กล่าว นี่คือโอกาสของท่าน” ตอนนั้นฉันจึงปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ฉันยกมือขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร  แล้วเรื่องราวตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ผุดขึ้นมาในหัว

ยอห์น 8:1-11

1 แต่พระเยซูเสด็จไปที่ภูเขามะกอกเทศ 

2 และในตอนเช้าตรู่ พระองค์ทรงปรากฏที่บริเวณพระวิหารอีก คนทั้งหลายก็พากันมาหาพระองค์ พระองค์ประทับและทรงเริ่มสั่งสอนเขา

3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหา หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และพวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน 

4 เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่ 

5 ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร?” 

6 เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์โดยหวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูน้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดิน 

7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” 

8 แล้วพระองค์น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดินอีก 

9 แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 

10 พระเยซูยืดพระกายขึ้นตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?”

11 นางทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย” แล้วพระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิด และจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”

เราทุกคนต่างก็เคยทำผิดมาแล้วทั้งสิ้น แล้วเหตุใด เราจึงคิดว่าเรามีสิทธิ์ติดสินผู้อื่นกันเล่า ฉันเชื่อว่าทุกคนไม่ว่าจะทำผิดร้ายแรงซักแค่ไหน ก็ควรที่จะได้รับการให้อภัยด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนผู้หญิงที่อ้างว่าได้ถูกกระทำการลงโทษเอาความผู้ถูกกล่าวหาก็คงไม่สามารถเยียวยาจิตใจพวกเธอได้ มีแต่ความรักเท่านั้นที่จะเยียวยาบาดแผล 

และหลังจากนั้นไม่นาน เรื่องราวก็อื้อฉาวจนเป็นที่รู้กันในโลกออนไลน์ 

ใครที่สนใจติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจของลิต้า สามารถเข้าไปอ่านงานเขียนของเธอได้ที่นี่ Lita Jane

ทะเลพะงันจะเดือดแค่ไหนเมื่อเราไม่ได้มีแต่สาวลิต้า สาวสวยผู้มุ่งหน้ามาจากเมืองหลวงเพื่อร่ำเรียนวิชาตันตระท่ามกลางผู้คนต่างชาติต่างภาษา ณ ดินแดนที่เป็นบ้านเกิด แต่ก็แทบไม่เหมือนอยู่เมืองไทยเลยแห่งนี้ มาแชร์ประสบการณ์อันสุดแซ่บในโลกของตันตระให้เราฟัง เรายังมี ‘ชิก้า – นิภาพร เรือนแก้ว’ หรือที่ชาวชุมชนศรีธนูพากันขนานนามให้เธอว่า ‘Chika’ อีกหนึ่งตัวแทนจากเกาะพะงัน ผู้มาพร้อมกับฝีมือการปรุงอาหารที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วย่านศรีธนู สมชื่อร้านอาหาร ‘Chikalicious’ ของเธอ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสล่วงรู้ว่า ประสบการณ์ทางเพศของเธอนั้นก็แซ่บไม่แพ้กับรสมือในการทำอาหารเลยล่ะ

“เรามาอยู่ที่นี่เพราะอกหักเหมือนกัน ตอนแรกเรามีแฟนที่รักกันมากๆ และพร้อมจะแต่งงานด้วย โดยเราคิดว่าจะไปเป็นแม่บ้านให้เขา แต่ด้วยความที่เราอายุห่างกันมาก เพราะเขากลับไปบ้านที่แคนาดา ญาติของเขาก็คัดค้านอย่างหนักไม่ให้แต่งงานกับเรา จนเขายอมบอกเลิกเราทางโทรศัพท์ ซึ่งมันทำให้เราอกหักรุนแรงมาก ด้วยความที่เราวางแผนอนาคตทุกอย่างไว้ร่วมกันหมดแล้ว ว่าจะเปิดรีสอร์ตและทำร้านอาหารกันที่นี่หลังจากแต่งงาน แล้วผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนที่สนใจด้านจิตวิญญาณ เขาพูดเรื่องอายาฮวาสก้า (Ayahuasca) ให้เราฟัง และให้เราลอง DMT (สารจากเถาวัลย์ชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์เป็นไซคีเดลิค) ด้วย ก็เลยคิดว่าเขานี่ล่ะที่จะเป็นไกด์ให้เราได้ แต่สุดท้าย นอกจากเขาจะเป็นให้เราไม่ได้แล้ว เรายังเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า เราไม่ดียังไง

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ให้เราก่อนจากไป คือการบอกเราให้ไปเรียนโยคะที่โรงเรียนนี้ เพราะเขาให้คนไทยเรียนฟรี เมื่อไปแล้วเธอจะได้เข้าใจโลกมากขึ้น และไม่เป็นดราม่าควีนเวลาเจอเหตุการณ์กระทบใจแรงๆ ตอนแรกที่เรายังโมโหอยู่ ก็เลยสบถในใจว่าไม่ไปหรอก ขออยู่โง่ๆ ตรงนี้ล่ะ แต่สุดท้ายก็ลองไปดู เผื่อว่าจะมีอะไรดีขึ้น พอไปถึงวันแรกเขาก็พูดถึงพลังงานจากพระอาทิตย์ พลังงานจากพระจันทร์ ซึ่งทำเอาเรานั่งกลอกตาไปมาแล้วถามตัวเองว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ พวกคุณพูดเรื่องอะไรกัน ชั้นไม่เก็ท และไม่อินด้วย! จนกระทั่งประมาณวันที่ 2-3 เขาก็เริ่มพูดถึงพลังงานจากจักระทั้ง 7 พอไล่มาถึงจักระที่ 4 ซึ่งคือตำแหน่งของ Anahata หรือจักระหัวใจ เราก็สะดุดเลย เมื่อได้เรียนรู้ว่าสามารถเติมพลังในใจแล้วส่งผ่านไปให้คนอื่นได้ ตั้งแต่วันนั้นที่ Agama เราก็ได้ค้นพบว่าวิธีส่งผ่านพลังงานของเรามันมาจากไหน การพูด การทำอาหาร การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรามาโฟกัสที่อนหัตถะก่อนตลอด ตอนนั้นคลาสมี 60 คน ไปไหนไปด้วยกันเป็นกลุ่มไม่ต่ำกว่า 20 คน สนุกมากๆ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยน เรียนรู้ด้วยกัน จนเราไปปิ๊งกับหนุ่มคนหนึ่งเข้า”

“เราซึ่งยังชินกับการใช้รูปแบบเดิมๆ ในการจีบหนุ่มก็จะแสดงออกให้เขารู้ว่าชอบ ถึงขั้นบอกตรงๆ ให้เขารู้ว่าฉันชอบเธอนะ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับมาคือ “ผมไม่ชอบผู้หญิงอวบครับ!” เราร้องไห้เลย จากที่มาแบบกล้าหาญชาญชัยสุดๆ แล้วก็หวังสุดๆ คืออึ้งว่าไม่แม้แต่จะวันไนท์สแตนด์กันเลยเหรอ ไม่คิดจะสงเคราะห์กันหน่อยเหรอ ตอนนั้นรู้สึกสมเพชตัวเองสุดๆ จนบ่ายวันรุ่งขึ้น ขณะนั่งกินข้าวกับเพื่อนกลุ่มนี้อยู่ จู่ๆ เจ้าของโรงเรียนก็ส่งข้อความมาในโทรศัพท์บอกว่าให้ไปหา แล้วหนุ่มคนที่เพิ่งปฏิเสธเราก็เห็น เขาก็ท้วงขึ้นมาว่า “อย่าไปเลย เขาหลอกจะมีอะไรกับเธอ ฉันได้ยินมาหลายหนแล้วว่าเขาหลอกทำแบบนี้กับผู้หญิง ตัวเราในตอนนั้นรู้สึกสะใจมาก ก็ตอบไปว่า “เขาอาจจะชวนคุยเรื่องงานหรือเรื่องทั่วไปก็ได้” เพื่อนๆ ในกลุ่มก็พากันห้ามไม่ให้ไป แล้วก็พากันสงสัยว่าเขาจะมาคุยอะไรกับเรา แต่เราก็ไปอยู่ดี

พอไปถึง เขาก็แสดงความยินดีที่ได้ต้อนรับเรา เพราะเราเป็นคนไทยคนแรกที่มาเรียนที่นี่ และเขาก็อยากรู้ว่าเราเข้าใจที่เรียนมาดีไหม สัมผัสถึงจักระทั้ง 7 ได้ไหม เราตอบไปว่ามีจักระไหนบ้างที่พอจะสัมผัสได้ เขาก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะไล่ให้ทีละจักระ แล้วก็เปิดดนตรีของแต่ละจักระ ก่อนจะเอามือมาไว้เกือบจะแนบกับร่างกายเรา เพื่อไล่ตั้งแต่จักระที่ 1 แล้วเรารู้สึกทุกจักระเลย แต่เริ่มสัมผัสถึงพลังงานที่เริ่มจะรุนแรงมากขึ้น เมื่อไล่มาถึงมณีปุระหรือจักระที่ 3 แล้วสุดๆ คือจักระที่ 4 ตำแหน่งหัวใจ ความรู้สึกคือเหมือนเขาเอามือเข้ามาสัมผัสข้างใน แล้วเวลามันหยุดเดิน ทุกอย่างหายไปหมดจนเหลือแต่เรากับเขา พอมาถึงตำแหน่งที่ 5 เรารู้สึกอยากมีเซ็กซ์อย่างรุนแรง และพอไปถึงจักระที่ 7 เราก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของโลกที่เป็นวัตถุได้อีกเลย เขาก็ถามว่าเราต้องการให้ช่วยไหม? แล้วเขาก็พาเราเข้าไปในห้อง”

(นาร์ซิส ทาร์เคา (Narcis Tarcau) เจ้าของโรงเรียนสอนตันตระ Agama)

Photo credit: THE MOMENTUM

“เราไม่รู้ว่าเราไปนั่งอยู่บนตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ความรู้สึกตอนนั้นคือทุกอย่างมันเปิดโล่งไปหมด โดยเฉพาะตำแหน่งจักระที่ 7 และไม่ว่าเราจะมีอะไรกันนานแค่ไหน เขาก็ไม่เคยหลั่งเลย เพราะเขารู้วิธีกักเก็บพลังงานไว้ เหมือนที่เขาเคยโฆษณาไว้ว่า เขารู้วิธีที่จะทำให้ผู้หญิงทุกคน เบ่งบานเหมือนกับดอกไม้ ซึ่งเราได้รู้แล้วว่า เขาไม่ได้โกหก

ตั้งแต่นั้นเราก็ติดใจ และไม่ว่าคนจะมองว่าตันตระคืออะไร สำหรับเรามันคือการเปิด ยอมรับ และยอมศิโรราบ การเปิดคือการไม่ยอมให้ข้อจำกัดต่างๆ ของความเชื่อเก่าๆ มาปิดกั้นเราจากความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง การไม่ยอมรับในความต้องการของตัวเองทำให้เราไม่รู้จักการศิโรราบ ตันตระคือ pure vibration of openness and surrender หรือแรงสั่นสะเทือนของการเปิดกว้างและศิโรราบอย่างไม่มีอะไรมาเจือปน ตันตระนำมาใช้ได้กับทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์อย่างเดียว จะทำงานอะไรก็ตามแต่ ถ้าเราเปิดโดยไม่มีข้อจำกัดให้แก่ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง และยอมศิโรราบให้แก่มันอย่างแท้จริง อิสระภาพก็จะตามมา และความสวยงามก็จะบังเกิด มันอาจจะฟังดูน่ากลัวสำหรับบางคน แต่หากคุณดำเนินชีวิตด้วยหลักการนี้แล้ว คุณก็สามารถเข้าถึงสภาวะที่ตันตระเรียกว่า ‘bliss’ หรือสภาวะเปี่ยมสุขได้

ตันตระเรียนได้เฉพาะภาคทฤษฎี แต่สำหรับภาคปฏิบัติ เขาจะสอนเราเหมือนไปส่งให้ที่ป้ายรถเมล์ แล้วคุณก็เลือกเองว่าจะไปสายไหน และไปถึงไหน เขาไม่ได้จูงมือพาไปถึงจุดหมายปลายทาง เพราะคุณต้องออกแบบเองว่าจะให้มันเป็นแบบไหน ต้องไปถึงด้วยประสบการณ์ของตัวเอง พูดง่ายๆ ว่าคุณต้องทำข้อสอบที่คุณออกแบบเองนั่นล่ะ”

ชิก้าเปิดใจให้เราฟังถึงประสบการณ์ ‘Play Party’ ที่เธอเคยไปมา

“งาน Play Party เป็นงานที่จัดขึ้นด้วยจุดประสงค์ที่ให้ทุกคนมาเพื่อมอบความรัก แชร์พลังงานแก่กันและกัน เปรียบไปก็เหมือนเป็นโบสถ์ของตันตระนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงคือเมื่อเราไปถึง ด้วยความที่ทุกคนรู้จักเรา ก็จะมีแต่คนเข้ามาชมว่าเราเป็นคนใจดี ทำอาหารเก่ง แต่ไม่มีใครอยากจะมาเล่นกับเรา เพราะเราเป็นสาวร่างอวบ แต่เราไปเพราะรู้สึกอยากเป็นที่ต้องการ อยากสนุกกับคนอื่นๆ เราถึงกับออกมาร้องไห้เลย และครึ่งต่อครึ่งของคนที่เป็นสาวร่างใหญ่ก็เจอแบบนี้เหมือนกัน ไม่มีใครแม้แต่จะเดินมาจับมือพวกเธอเลย ทุกคนต่างพุ่งไปที่บรรดาสาวสวยหุ่นเพรียวบาง ทั้งที่เราเองก็อยากได้รับความรักและการยอมรับเหมือนกัน ความรู้สึกตอนนั้นคือเกลียดชังทุกคน ไหนพวกคุณบอกว่ามาเรียนตันตระเพราะต้องการจะเปิดกว้าง แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะอยู่ในโลกแคบๆ กันเอง เราออกมาตั้งคำถามคนเดียวไปเรื่อยๆ ตอนนั่งสงบสติอารมณ์ที่ริมสระ จนได้คำตอบว่า เฮ้ย ชิก้า เธอยิ่งใหญ่กว่านั้น อยู่คนเดียวก็มีความสุขได้ เราเลยลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปตรงกลางห้อง แล้วก็จัดการกับตัวเองมันตรงนั้นเลย เริ่มจากการลูบไล้ตัวเอง แล้วก็ทำตามที่เรียนมาในห้อง คือสัมผัสกับตัวเองในทุกๆ จักระ ณ ตอนนั้นเราลืมการถูก body shaming ไปหมด ไม่สนแล้วว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบเรา เพราะเราโคตรชอบตัวเองเลย เอาล่ะ วันนี้เราจะสนุกกับตัวเองให้สาแก่ใจไปเลย

สักพักก็เริ่มมีมือมาลูบขาเรา จนสุดท้ายมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราลืมว่าเราเป็นใคร เราก็ถูก body shaming ได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราจดจำตัวเองได้ เราจะไม่ตกอยู่ใต้มัน ตันตระทำให้เราได้รู้ว่า มันไม่เกี่ยวว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเราจะเป็นยังไง แค่เรารู้จัก connect กับตัวเอง ทุกคนก็อยากได้เรากันทั้งนั้น เพียงเรารักและเชื่อในตัวเอง ซึ่งตันตระช่วยได้เยอะ เพราะมันทำให้เรากลับมาที่ตัวเอง ทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น ตันตระทำให้เรารู้ว่า ร่างกายนี้สามารถทำให้เราเข้าสู่ภาวะเปี่ยมสุขได้ ดังนั้นมันจึงเป็นการชำระล้างไปในตัว ทุกครั้งที่เราตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่จะถูก body shaming ได้ ก็เลือกที่จะพลิกกลับและไม่ยอมตกอยู่ภายใต้สถานการณ์นั้นได้เช่นกัน”

Photo credit: SheThePeople

นอกจากนี้ เราก็ขอให้ชิก้าเล่าเรื่องราวที่ดาร์กกว่านั้นให้ฟังอีกสักหน่อย

“ลองไปเสิร์ชหาคำว่า ‘ISTA’ ดู ตรงนี้เราจะไม่ขอแชร์รายละเอียดมากนอกจากบอกว่าเขาจะให้เราเผชิญกับด้านมืดและดิบของความใคร่ แล้วเล่นกับมันไปเลย เช่น ถ้าอยากมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครก็บอกเขาไปตรงๆ เราได้เข้าเรียนฟรีทั้ง 2 รอบจนจบระดับ 2 แต่จริงๆ ราคามันอยู่ที่หลักแสน ถ้าเข้าไปดูจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเปราะบาง ถ้าเราเปิดใจให้กับมัน เล่นกับมันได้ มันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก ซึ่งมันก็น่ากลัวนั่นล่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าไม่เกินความสามารถของเราที่จะก้าวข้ามมันไปได้”

ฝากวิธีการที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถนำตันตระไปปฏิบัติแบบง่ายๆ ให้หน่อยได้ไหม

“สุดท้ายแล้วตันตระก็เหมือนกับเวลาที่เรากินอะไรสักอย่าง เช่น ช็อกโกแลต แล้วเราไม่สนใจสภาวะแวดล้อมใดๆ เลย เราเอาช็อกโกแลตเข้าปากแล้วตัดเอาสภาวะการรับรู้อื่นๆ ออก คงเหลือไว้แต่รสสัมผัสที่ได้จากช็อกโกแลต ณ ช่วงเวลานั้น แล้วเริ่มขยายขอบเขตของความสุขที่ได้จากการลิ้มรสให้มากขึ้นทีละนิด และนี่คือวิธีการสร้างความรื่นรมย์ในแบบตันตระ สำหรับตันตระแล้ว สภาวะเปี่ยมสุขจะเกิดจากอะไรก็ได้ เมื่อตัดการรับรู้อื่นออกทั้งหมด เหลือแค่สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราเป็น และความสุขที่ได้รับจากรสสัมผัสของมัน”

Photo credit: VladOrlov

ใครสนใจจะไปสัมผัสตัวจริงและละลิ้มชิมอาหารจากรสมือแม่ครัวตันตระ ไปหาชิก้าที่ร้าน Chikalicious ในโรงเรียน Pyramid Yoga ได้เลยค่ะ

เนื่องจากประสบการณ์ที่ชิก้ามีต่อกูรูคนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงบวก เราจึงไม่ได้สอบถามถึงเรื่องราวที่เป็นข่าวดัง แต่ทาง EQ ก็อยากจะขอเตือนผู้อ่านว่า หากมีความประสงค์อยากจะศึกษาศาสตร์ตันตระแบบลงลึก ก็ขอให้ทำการศึกษาวิจัยให้ดีก่อนจะตัดสินใจเรียน เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่กระทบกับด้านที่เปราะบางที่สุดด้านหนึ่งของมนุษย์ และคุณอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนลิต้าหรือชิก้า ที่ไม่เจอใครเอาเปรียบด้วยการใช้มันเพื่อหาผลประโยชน์จากพวกเธอ แต่ถ้าหากเชื่อมั่นว่านี่เป็นเส้นทางที่คุณเลือกแล้ว เราขออวยพรให้คุณประสบแต่ครูและสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี เอื้อให้การเติบโตภายในซึ่งเกิดขึ้นด้วยความปลอดภัยมากที่สุดก็แล้วกัน