Identity

‘ตันตระ’ ประตูแห่งการค้นพบอิสระภาพในด้านมืด และความเปราะบาง

เรื่องราวเหล่านี้มาจากมุมมองส่วนบุคคลเท่านั้น EQ ทำหน้าที่เพียงนำเสนอเรื่องราวส่วนบุคคล ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการ พิธีกรรม หรือสนับสนุนการกระทำที่เสี่ยงต่อการล่วงละเมิดทางเพศ

Photo credit: Jaran's Yoga-Wellness-Eatery

นอกจากความรักแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเซ็กซ์คือแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่อีกอย่างที่ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ เราอาจใช้มันเป็นหลักในการตัดสินใจ รวมทั้งเป็นที่มาของพฤติกรรมต่างๆ EQ จึงเชิญสองสาวที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับเซ็กซ์ในระดับจิตวิญาณ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์สมัยที่พวกเธอเป็นนักเรียนในโรงเรียนตันตระที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนโรงเรียนจะถูกปิดตัวลงชั่วคราวด้วยเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่ามีคดีฉาวโฉ่ไปทั่วโลก จากกรณีที่เจ้าของโรงเรียนซึ่งเป็นกูรูตันตระถูกกล่าวหาในคดีล่วงละเมิดทางเพศ โดยหญิงสาวจากหลายมุมโลกที่พากันเดินทางเพื่อมาเรียนที่นี่ และถือเป็นเรื่องราวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ชุมชนแห่งจิตสำนึก”

ก่อนที่โรงเรียนตันตระแห่งนี้จะปิดตัวลง ความยิ่งใหญ่ของมันนับว่าไม่ธรรมดา บริเวณด้านหน้าโรงเรียนมีรูปปั้นพระศิวะองค์ใหญ่สีฟ้ากำลังร่ายรำชวนสะดุดตา และป้ายที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘Choose Evolution’ วิวัฒนาการที่ทางโรงเรียนยกขึ้นมาชูเป็นมอตโต้นี้ เคยสร้างแรงสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นพลวัตมาแล้ว เมื่อหนุ่มสาวจากทั่วทุกมุมโลกต่างพากันเดินทางมาเพื่อเสาะแสวงหาหนทางดับทุกข์และกลับเข้าหาตัวตนอีกครั้ง ด้วยการใช้วิธีการปฏิบัติอย่างโยคะและการทำสมาธิ รวมทั้งการเรียนภาคทฤษฎี จากคำบอกเล่าของอดีตนักเรียนโรงเรียนนี้ที่ยังใช้ชีวิตบนเกาะพะงัน ย่านศรีธนูทั้งแถบจะมีคนใส่เสื้อยืดหรือสะพายย่ามที่มีตราสัญลักษณ์โรงเรียนเดินไปมาอยู่ราวๆ 200-300 คนต่อวัน ร้านอาหารวีแกนที่เปิดเรียงรายกันอยู่ทั่วไปก็สร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการของนักเรียนโยคะ จนทำให้ศรีธนู ซึ่งเคยเงียบสงบเพราะไม่ใช่แหล่งที่นักท่องเที่ยวตั้งใจมาเยือนเหมือนฝั่งหาดริ้น ก็ได้กลายเป็นแหล่งทำเงินให้คนท้องถิ่น รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่พากันมาเปิดโรงเรียนสอนโยคะและสถานบำบัด จนทำให้มันกลายเป็นย่านที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างชาติต่างภาษา อยู่อาศัยร่วมกันกับคนไทยเจ้าของบ้าน ที่ดูจะปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้มาอาศัยกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี

‘ลิต้า เจน’ (Lita Jane) สาวสวยอดีตวิศวกรที่ต้องเผชิญกับความเศร้าโศกจากการสูญเสียความรัก จนเป็นเหตุให้เธอใคร่ครวญตั้งคำถามหลายๆ อย่างเกี่ยวกับชีวิต และอยากทบทวนความรู้สึกของตัวเองเงียบๆ คนเดียวที่ไหนสักแห่ง เธอถูกดึงดูดให้มาเยือนเกาะพะงันที่เลื่องชื่อไปด้วยภาพผู้คนร่ายรำภายใต้แสงจันทร์เดือนเต็ม แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เย้ายวนใจเธอ หากแต่เป็นเพราะชุมชนทางจิตวิญญาณที่แฝงตัวอยู่เงียบๆ ในอีกฟากฝั่งของเกาะต่างหาก

ลิต้าเล่าว่าเธอเคยใช้ชีวิตด้วยตรรกะมาโดยตลอด แต่ ณ ช่วงเวลาอันแสนเปราะบางนั้น เธอได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่พูดถึงการใช้ชีวิตโดยสัญชาตญาณ ซึ่งมันได้เปิดและเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตของเธอไปอย่างไม่มีวันกลับมา

“หนังสือเล่มนี้ชื่อ ‘I See Your Soul Mate’ โดย ‘ซู เฟรเดอริค’ (Sue Frederick) พออ่านแล้วก็เกิดคำถามว่า มันจะเป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะลองใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณดู โดยไม่ต้องพยายามหาเหตุผลว่าอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง

ตลอดทางที่นั่งรถไฟไปสุราษฎร์ธานี ฉันก็อ่านหนังสือเรื่อยๆ จนถึงท่อนที่มันแนะนำให้ท่องมันตรา แล้วอธิษฐานก่อนนอนว่า “ขอให้จักรวาลนำทางสู่รักแท้ในความฝัน” คืนนั้นฉันฝันอีรุงตุงนังพอๆ กับจังหวะการวิ่งของขบวนรถไฟ ตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเลข 4 พอมาถึงท่าเรือก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน จำได้ว่าที่เดียวที่ต้องไปให้ถึงคือศรีธนู เพราะอ่านมาจากกลุ่มของนักเรียนและครูสอนโยคะในเฟซบุ๊ก ฉันก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ส่งสารมาสิ ฉันจะ say yes ให้หมดเลย!”

“สักพักก็มีผู้หญิงวัยกลางคนมาถามว่าจะไปที่ไหน ฉันก็ตอบไปว่าศรีธนู เธอจึงจะพาฉันไป ปกติฉันไม่เชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ แต่ฉันตัดสินใจไปแล้วว่าจะลองทำตามสัณชาตญาณดูสักครั้ง แล้วเธอก็พาฉันไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ นี่ถ้าไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะ say yes กับทุกสิ่ง รับประกันว่าคนอย่างฉันไม่ไปแน่นอน ระหว่างทางในหัวก็คิดว่าจะไปพักที่ไหนดี แล้วจู่ๆ คุณพี่คนขับก็ถามขึ้นมาว่าจะไปพักที่ไหน ฉันตอบไปว่ายังไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาก็เลยอาสาพาไปพักในบังกะโลที่รู้จัก ที่นั่นล่ะ ที่ความฝันหมายเลข 4 กลายเป็นจริง เพราะบังกะโลที่ว่างอยู่คือบังกะโลหมายเลข 4

ตอนนั้นฉันสัมผัสได้ทันทีว่านี่คือการนำทางของพระเจ้า น่าแปลกที่ฉันเองก็ไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงการมีอยู่ของพระเจ้าด้วยซ้ำ และใช้ชีวิตแบบพึ่งพาแต่ตัวเองมาโดยตลอด แต่ฉันเชื่อว่ามันคือความทรงจำของจิตวิญญาณถึงผู้สร้างและความรัก ฉันมิได้อยู่ลำพัง ความรักที่แท้จริงอันแสนยิ่งใหญ่นั้นอยู่กับฉันตลอดเวลา ในเวลานั้น คำอธิษฐานให้พบกับรักแท้ก็ได้เกิดขึ้น ฉันนึกขอบคุณแฟนเก่าที่ทิ้งฉันไป เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ได้พบกับพระเจ้า

การค้นพบพระเจ้าบนเกาะพะงันทำให้ฉันปักใจเชื่อเหลือเกินว่าเกาะแห่งนี้ต้องมีคำตอบต่อคำถามที่ฉันตามหา แต่ที่ไม่เคยคาดคิดก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนตันตระ ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตันตระคืออะไร แต่ถ้ารู้มาก่อน ฉันคงจะหนีกระเจิงกลับบ้านไปตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ

วันหนึ่งฉันเดินไปเรื่อยอย่างไร้ทิศทาง เพราะฉันไม่มีมือถือ แล้วอยู่ๆ ก็เกิดหิวน้ำขึ้นมา ก็เลยเดินมันไปทั่วเพื่อหาร้านซื้อน้ำกิน ไม่รู้ตาว่าลายหรือยังไง ฉันเดินผ่านร้านสะดวกซื้อไปซะอย่างนั้น จนไปเจอโรงเรียนโยคะแห่งหนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์โดดเด่นเป็นรูปปั้นองค์พระศิวะสีฟ้าใหญ่โต

ด้วยความสงสัยเราก็เดินเข้าไปดู พอเจอพนักงานต้อนรับก็เลยถามว่าโรงเรียนนี้สอนอะไรบ้าง เขาบอกว่าที่นี่มีสอนโยคะให้คนไทยได้เรียนฟรี ฉันก็คิดว่าคงให้คลาสฟรีไม่กี่ชั่วโมงหรอก แต่พนักงานก็บอกอีกว่าคนไทยเรียนฟรีตั้งแต่ระดับ 1-13 เลย ซึ่งระดับนึงใช้เวลาเรียน 1 เดือน! เราช็อกมาก ระดับ 1 ก็เรียนกัน 6 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งเช้า กลางวัน เย็น ฟรีหมดเลย ตอนนั้นฉันมั่นใจแล้วว่านี่คือการชี้ทางเต็มๆ จากพระเจ้า ฉันตัดสินใจทันทีว่าต้องเรียนที่นี่ ทิ้งทุกสิ่งในเมืองหลวง แพ็กเฉพาะสิ่งที่จำเป็น แล้วมาเป็นชาวเกาะ”

“ตลอด 1 เดือนที่เรียนโยคะที่นั่น ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามันคือโรงเรียนตันตระ ฉันได้เยียวยาตัวเองจากการอกหัก รวมทั้งค้นพบความสุขภายในที่แท้จริง กระทั่งผ่านพ้นไปจนใกล้จบระดับแรก

ตอนนั้นก็ได้รู้จักกับเพื่อนชายชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาชวนฉันไปว่ายน้ำที่เซนบีช ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องชาวต่างชาติมาว่ายน้ำแก้ผ้ากัน ฉันก็คิดว่าถึงจะแปลกก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่การแก้ผ้าในที่สาธารณะยังคงเป็นไปไม่ได้ ก็เลยตกลงไปว่ายน้ำพร้อมเพื่อนผู้หญิงอีกคน ซึ่งทั้งคู่พากันนู้ด แต่ฉันใส่ชุดบิกินี่

พอว่ายไปสักพัก เพื่อนๆ ก็ชวนเราทำวารีบำบัดกัน โดยเพื่อนผู้ชายประคองศีรษะฉันไว้ ในขณะที่เพื่อนผู้หญิงอีกคนประคองปลายเท้าและเคลื่อนไหวไปมา ให้น้ำได้ไหลผ่านร่างกาย ตอนที่จบเซสชั่นแล้วก็ฉันรู้สึกดี ผ่อนคลายมากๆ

แต่แล้ว จู่ๆ เขาทั้งคู่ก็เคลื่อนเข้าหากันและโอบกอดฉันไว้ตรงกลาง ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่มีคนแก้ผ้าประกบทั้งหน้าและหลัง แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ จนพวกเขาเริ่มเคล้าเคลียกัน แลกจูบอันดูดดื่มโดยมีฉันอยู่ตรงกลาง! ตอนนั้นรู้สึกตกใจมาก ปนกับความสับสนที่ตัวเองกลับรู้สึกดี และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน

เมื่อความร้อนระอุคลายตัวลงสักพัก ทุกคนผละออกจากกัน แล้วเพื่อนชายก็ได้พูดกับฉันว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่ตันตระ’

วันนั้นฉันกลับบ้านไปด้วยความสับสน และเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองได้มาอยู่ในชุมชนแห่งจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดาเข้าแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าสังคมตันตระเอาเรื่องเพศมาเป็นวิธีฝึกฝนทางจิตวิญญาณ ฉันก็รู้สึกโกรธมาก โกรธทุกคน โกรธพระเจ้าที่พาให้มาเจอเรื่องราวแบบนี้ แต่ฉันไม่รู้เลยว่า ความโกรธนั้นเกิดจากปมด้านลบที่สั่งสมมาจากกรอบทางสังคม และประสบการณ์ทางเพศที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ยังโชคดีที่ฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมคนที่ฝึกฝนตันตระดูมีความสุขสงบ ทำไมถึงดูมีแต่ความรัก ในขณะที่ฉันมีแต่ความโกรธและเคียดแค้น จนในที่สุดก็ตั้งใจจะค้นหาคำตอบว่าตันตระนั้นคืออะไรกันแน่ และทำไมพระเจ้าถึงนำทางฉันมาที่เกาะแห่งนี้ หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเรียนรู้ โดยมีข้อแม้กับพระเจ้าว่า พอจบตันตระระดับ 1 แล้วจะออกจากเกาะนี้ให้ได้!” แต่สุดท้ายลิต้าก็ได้เรียนถึง 2 ระดับ และยังอยู่บนเกาะอีกร่วมปี

Photo credit: Ron Avnery

“แค่เรียนได้ 1 ระดับเราก็เข้าใจว่า เรื่องเซ็กซ์ที่เคยมองว่าสกปรก แท้จริงแล้วคือพลังงานที่สวยงาม เต็มไปด้วยการสร้างสรรค์และทำลายล้าง จนมันต้องถูกควบคุมด้วยกฎเกณฑ์ทางสังคม ลองคิดดูสิว่า พลังงานนี้เองที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเกิดมา ในขณะที่ศาสนาแบ่งแยกเรื่องเพศออกไปจากคำสอน ตันตระกลับไม่ทำอย่างนั้น ทุกอย่างสามารถนำมาเรียนรู้ในทางจิตวิญญาณได้ จึงทำให้หลายๆ คนที่รู้จักตันตระเพียงผิวเผินตัดสินไปว่ามันคือเซ็กซ์ ทั้งที่เซ็กซ์เป็นเพียงหัวข้อเล็กๆ ของตันตระเท่านั้น

ตันตระคือการเรียนรู้ให้ใช้ทุกขณะจิตกับภาวะทางจิตวิญญาณ ฉะนั้น มันจึงไม่มีขอบเขต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนได้ทั้งหมด

เมื่อฉันมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับเรื่องเพศของตัวเอง ฉันก็สามารถรักตัวเองได้มากขึ้น ความรู้สึกกดทับเรื่องเพศได้ถูกปลดปล่อย สามารถยกโทษให้กับตัวเองในอดีต และสิ่งที่สวยงามก็คือ สามารถยอมรับความปรารถนาเบื้องลึกของตัวเอง จากที่เคยถูกสอนว่าแรงปรารถนาเป็นสิ่งไม่ดี เป็นกิเลส ทำให้เรารู้สึกผิดเวลาเกิดความต้องการบางอย่าง ว่าตัวเองละโมบโลภมาก

แต่ชุมชนนี้ได้สอนให้ฉันยอมรับในสิ่งที่ต้องการ แล้วให้ใช้สิ่งนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่ความเข้าใจในชีวิต และรู้จักตัวเอง รู้จักโลก หรือแปรสภาพความต้องการให้เข้าสู่ภาวะการตระหนักรู้ถึงสัจธรรมที่สูงส่งยิ่งขึ้น”

เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว เราจึงขอให้เธอเล่าประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับตันตระให้ฟังว่า มันช่วยให้เธอเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร

Photo credit: Ron Avnery

“ฉันได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งในชุมชนตันตระที่ฝึกฝนการทำสมาธิมาเป็นอย่างดี สามารถนั่งสมาธิเป็นวันๆ ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงยันพระจันทร์ชิงเฉิดฉาย เวลาอยู่ใกล้ๆ แล้วฉันรู้สึกสงบ เสมือนกับได้เข้าสมาธิไปกับเขาเลยทีเดียว ขอให้ชื่อสมมติกับเขาว่า ‘เฮอร์มิต’ (Hermit) ซึ่งหมายความว่า ‘ผู้ปฏิบัติ’ เรามีความสัมพันธ์แบบ open relationship หรือความสัมพันธ์แบบเปิดร่วมกัน มันคือการที่คนทั้งคู่ตกลงว่าสามารถมีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตกลงของทุกคนที่เกี่ยวข้อง

และในตอนนั้น ฉันก็ได้รู้จักกับคู่รักอีกคู่ที่มาเรียนตันตระด้วยกัน โดยผู้ชายเป็นครูสอนตันตระและมีโรงเรียนเป็นของตัวเองในประเทศอื่น ในขณะที่ผู้หญิงเพิ่งจะเริ่มต้นเส้นทางการเรียนรู้ของเธอ พวกเขารักกันมากๆ แม้ว่าผู้ชายจะเป็นครูสอนตันตระและมีความสัมพันธ์แบบเปิดมาโดยตลอด เมื่อพบผู้หญิงคนนี้ เขากลับต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงภายในจิตใจของตัวเอง นั่นคือความกลัวว่าจะต้องสูญเสียเธอไป แต่พวกเขาต้องการพัฒนาความรักให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ด้วยการทำลายความกลัวนี้ และยินยอมให้คนรักของตัวเองไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น

เพื่อนผู้หญิงคนนี้ได้เอ่ยชวนให้ฉันมีความสัมพันธ์ทางเพศกับพวกเขา

ถึงแม้ฉันจะมีความรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ออกจะประหลาด ผิดศีลธรรม แต่เพราะความจริงใจที่พวกเขาแสดงออก ทำให้ฉันเองก็อยากจะค้นพบและเรียนรู้เรื่องของความรักที่อยู่เหนือกรอบสังคมนี้ ฉันจึงตกลงปลงใจ และได้บอกเล่าทุกอย่างกับเฮอร์มิต”

Photo credit: Ron Avnery

“และวันนั้นก็มาถึง วันที่ฉันมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักคู่นี้ หรือที่เรียกว่า threesome นั่นล่ะ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ กับการได้เห็นคู่ที่มีความรักให้กัน ซึ่งอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางสังคม หลังจากนั้นฉันก็นัดพบกับเฮอร์มิต เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง วันนั้นเฮอร์มิตมีสายตาตื่นเต้นเป็นประกายพร้อมกับใบหน้าอิ่มเอิบผ่องใส ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้แล้ว เพราะสัมผัสได้ถึงพลังงานความสุขที่เคลื่อนผ่านสายใยความสัมพันธ์ที่เชื่อมฉันกับเขาไว้ด้วยกัน แล้วมันก็ค่อยๆ ถาโถมเป็นคลื่นความสุขที่หลั่งไหลไปทั่วทุกประสาทการรับรู้ของเขา ก่อนจะพุ่งไปถึงจุดสุดยอด ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ปริ่มเปรมมาก จนเขาจับมือฉันขึ้นมาจูบและขอบคุณที่แ