Culture

Befor(e) the Tart: การเดินทางของความสุข, ความทรงจำ และภาพยนตร์ที่กินได้ จาก ‘befor.tart’

ถ้าพูดถึงการดูหนัง มันคงจะเป็นโลกแห่งจินตนาการที่ถูกพามาให้เราได้สัมผัสผ่านทางภาพ และเสียงเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่จะเป็นอย่างไรถ้าประสบการณ์จากภาพยนตร์เรื่องโปรดในความทรงจำถูกนำเสนอผ่านรสชาติ และกลิ่นแสนหอมหวานของ ‘ทาร์ต’ ขนมอบสุดคลาสสิกที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ‘befor.tart’ แบรนด์ทาร์ตที่พาความสุข และความทรงจำจากภาพยนตร์ออกมาโลดแล่นผ่านขนมหวานหน้าตาสวยงาม ผ่านฝีมือการรังสรรค์ของ ‘ซิก’ – สุรัตน์ ซิการี่ จนเกิดเป็นความทรงจำที่ทานได้

The Tart That ‘be for’ You

ในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ดูเร่งรีบ เรามีโอกาสได้คุยกับซิกในมุมสบายๆ ถึงเส้นทางสายขนมหวานของเขา ซิกเล่าให้เราฟังว่า ก่อนหน้านี้เขาเรียนสายศิลปศาสตร์ และทำงานเกี่ยวกับการวาดแผนที่มาก่อน จนเมื่อวันหนึ่งเขารู้สึกว่างานที่ทำอยู่ไม่ตอบโจทย์ความสุขของเขาอีกต่อไป นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเบนเข็มสู่เส้นทางขนมหวานของเขา

“ออกจากงานตอนนั้นมา แล้วก็ไปเรียนทำขนมที่โรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล แล้วก็ไปฝึกงานบ้าง เพื่อให้รู้สึกว่า มันใช่อย่างที่อยากทำแล้วจริงหรือเปล่า
แล้วก็เริ่มรู้สึกว่า เออ มันน่าจะสนุกมากกว่างานที่เคยทำอันก่อนแล้ว ก็เลยหางานทำขนม มาเรื่อยๆ เก็บประสบการณ์ไปสักพักหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่า น่าจะต้องมีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง หรือทำอะไรเองบ้าง เพื่อที่จะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมา ทำสิ่งที่เราอยากจะลองทำด้วยตัวเองจริงๆ ก็เลยลองทำ befor.tart ดู” ซิกเล่า

“มันคือ ‘ทาร์ตที่เกิดจากการรวมกันของสองความรัก’ คือ ความหลงใหลในการทำขนม แล้วก็ความหลงใหลในการดูหนัง น่าจะเป็นคำอธิบายของ befor.tart ได้ดีที่สุดแล้ว”

ด้วยความรักในการดูหนัง และพื้นฐานในการทำขนมที่มี ทำให้ทาร์ตของซิกถูกนำเสนอผ่านรสชาติ และความสร้างสรรค์ที่แมตช์ไปกับเนื้อเรื่อง, ข้อความ หรือบรรยากาศของหนังแต่ละเรื่องที่ถูกหยิบขึ้นมาทำเป็นคอลเลกชั่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ befor.tart แตกต่างออกไปจากขนมแบรนด์อื่นๆ

“จริงๆ ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจว่า จะให้มันสร้างความแตกต่าง มันแค่เป็นสิ่งที่เราอยากทำ แล้วเราชอบเฉยๆ เราก็เลยลองดูว่า มันจะเป็นอย่างไร จนมันทำออกมาเป็นคอลเลกชั่นได้เรื่อยๆ แล้วผลตอบรับก็โอเค”

ทำไมต้องเป็น befor.tart? เราถามซิกอย่างสงสัย

“befor.tart ชื่อมันคือ ‘be for’ แปลว่า ขนมกล่องนี้มันมีมาเพื่อคนหนึ่งคน ผมรู้สึกอย่างนั้นกับขนม เพราะผมรู้สึกว่า ขนมหวานมันช่วยคลายเครียดได้ เวลาที่เรามีเรื่องอะไร เรากินของหวานเข้าไปมันช่วยละลายเรื่องนั้นให้หายไปได้ บางคนเขาบอกว่า คำว่า ‘Desserts’ เขียนกลับด้านมันคือคำว่า ‘Stressed’ ครับ มันก็อาจจะสร้างมาเพื่อความรู้สึกแบบนั้น ให้มันผ่อนคลายขึ้น มันก็อาจจะลิงก์ไปกับความรู้สึก ความทรงจำที่ดี เพราะว่าขนมที่ลูกค้าสั่งส่วนมากเขาสั่งไปให้คนอื่นครับ” ซิกตอบ

Tailoring Memories

ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ขนมที่ทำขึ้นมา ‘เพื่อใครสักคนหนึ่ง’ ทำให้ befor.tart เดินทางเข้าสู่เส้นทางของการ Custom ขนมตามความทรงจำพิเศษของลูกค้า

“พอทำมาสักพัก มันก็จะไม่ได้เป็นเรื่องหนังอย่างเดียวแล้ว มีช่วงหนึ่งที่ผมเริ่มทำ Custom เพราะบางทีหนังที่เราเลือกมา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เราชอบ แต่ว่าลูกค้าอาจจะไม่เคยดู หรือไม่ได้อินกับมัน ก็เลยเริ่มทำ Custom จากการให้ลูกค้าเลือกหนังที่ตัวเองชอบมาก่อน แล้วก็ Custom ให้แต่ละคนไป จนมันเริ่มกลายเป็น Custom จากบุคคลขึ้นมา เขาอยากจะมีทาร์ตที่ Inspired มาจากคนสำคัญของเขา นักร้องที่เขาชอบ หรือคนที่เขาอยากจะเอาของขวัญนี้ไปมอบให้ มันก็เริ่มมีลายอื่นมากขึ้น

การเอาของไปให้คนหนึ่งคน มันสร้างความทรงจำทั้งกับคนที่ให้ และคนที่รับไปด้วยกัน ยิ่งถ้าเป็นการ Custom สำหรับบุคคล ผมอาจจะต้องใช้ข้อมูลของคนๆ นั้นจากคนที่มาสั่ง มันแปลว่า คนที่มาสั่งเขามีความทรงจำของเขา มีความคิดเห็น มีความรู้สึกแบบใดแบบหนึ่งกับคนที่เขาจะเอาของพิเศษชิ้นหนึ่งไปมอบให้ การที่เขามาย้อนเรื่องนี้ให้ผมฟัง มันก็ทำให้เขาได้กลับไปนึกถึงช่วงเวลานั้นๆ กับคน หรือเหตุการณ์ที่เขาเคยมีประสบการณ์ดีๆ มันก็สร้างเป็นความทรงจำดีๆ ที่มากขึ้นไปอีก”

มาถึงจุดนี้เราเลยให้ซิกเล่า 1 โปรเจกต์ Custom ที่เขาประทับให้เราฟัง ซึ่งเขาได้หยิบเรื่องราวจากลูกค้าคนหนึ่งที่ต้องการทาร์ต 1 เซ็ต ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ละครเวทีแบบ Imersive (ละครที่คนดูสามารถเลือกเดินชมได้เอง และมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครได้) ที่ได้ไปดูมาในต่างประเทศ

“คนแต่ละคนที่เข้าไป เขาก็จะไปตามตัวละครที่ต่างกัน รับรู้ข้อมูลในเรื่องที่ต่างกันไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า เขาไปดู หรือไปเจออะไรมาบ้าง เข้าไปเจอตัวละครไหน ก็เลยต้องทำให้มันครอบคลุมที่สุด ต้องหาข้อมูลเยอะ ยิ่งมันเป็นละครที่ไม่ได้มีเส้นเรื่อง A - Z เป็นเส้นตรง ข้อมูลมันก็จะน้อยมาก เพราะแต่ละคนก็จะมาแค่รีวิวประสบการณ์ หรือความรู้สึกเฉยๆ ผมก็ต้องไปหาข้อมูลอื่นๆ มาทำ ตอนแรกก็คิดว่า ยากมาก เราจะทำอย่างไร แต่พอทำไปเรื่อยๆ แล้ว รู้สึกว่า มันสนุกมากๆ เลย ยิ่งเขาไม่รู้เลยว่า จะเจออะไร หรือเราเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร ยิ่งไปหาองค์ประกอบของ ละครมา มันยิ่งสนุก”

สุดท้ายทาร์ตเซ็ตนั้นจึงถูกทำออกมาเป็นทาร์ตชิ้นเล็กๆ หลายๆ ชิ้น ที่ดีไซน์ออกมาให้สามารถทานจากฝั่งซ้ายไปขวา ก็จะได้อารมณ์หนึ่ง ทางจากชิ้นบนลงมาชิ้นล่าง ก็จะได้อีกความรู้สึกหนึ่ง เหมือนกับการที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวละครในละครเวทีเรื่องนั้น จะพาเราไปเจอกับอะไร

(T)artistry At Its Finest

ถ้าได้อ่านมาจนถึงจุดนี้ หลายๆ คนก็น่าจะเห็นได้ถึงไอเดียของซิกที่อยู่ในแบรนด์ befor.tart แต่จริงๆ แล้ว อะไรคือไอเดียหลักที่เขาซ่อนไว้

“จริงๆ ผมเริ่มจากการใช้ทาร์ตที่มันมีสัดส่วนคล้ายๆ กับจอหนัง แต่ละชิ้นจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสัดส่วนที่เป็น Landscape หน่อย อยากให้ความรู้สึกว่า มันคือการได้ดูหนังหนึ่งเรื่องเหมือนกัน โดยที่เราสรุปมาให้แล้ว แทนที่จะได้รับรู้เป็นภาพ ก็จะเป็นรสชาติที่เขาได้แทน

เมื่อก่อนผมจะชอบสะสม Handbill เวลาไปดูหนัง ก็เลยคิดว่า มันก็เป็นการแคปเจอร์ความรู้สึกอย่างหนึ่งเหมือนกัน เราก็เลยมีการ์ดแนบไปเพื่อให้เขาได้เก็บความรู้สึกนั้นไว้ เหมือนเราไปดูหนัง แล้วเราได้ของที่ระลึกกลับมา แต่ว่าหนังของเราสามารถทานมันได้ด้วย”

“มันเหมือนกับการมาดูหนังเรื่องหนึ่ง ในโรงหนังที่มันชื่อ ‘be for’ ครับ”

การเป็นขนมหวาน นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงามแล้ว รสชาติที่อร่อยก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งซิกก็ได้ซ่อนไอเดียเอาไว้ในรสชาติของขนมจาก befor.tart ด้วยเช่นกัน

“มันอาจจะไม่ใช่แค่รสชาตินี้แมตช์กับหนังเท่านั้น อย่างน้อยๆ มันก็ต้องอร่อยด้วย มันก็เป็นการผสมผสานรสชาติที่ทานไปแล้วต้องไม่แย่ ต้องเป็นอะไรที่คนทานเขาสามารถทานได้เรื่อยๆ เรียงลำดับรสชาติไปในแต่ละชิ้น จากชิ้นที่ 1 ไปจนถึงชิ้นที่ 4 รสชาติจะต้องต่อเนื่องกัน หรือส่งเสริมกัน เพื่อให้เวลาที่ทานหมดแล้วรู้สึกสบาย หรืออาจจะไม่สบายก็ได้ ถ้าเรื่องนั้นมันเป็นโศกนาฏกรรม หรือทานจบแล้วเขาควรจะต้องรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เขาได้ดูหนังเรื่องนั้น ในแบบที่เราสรุปมาให้แล้ว

แต่เราต้องอธิบายได้ว่า ทำไมรสชาติมันถึงเป็นแบบนี้ มันต้องอธิบายความรู้สึกของเราได้ด้วย ยิ่งมันไม่ได้เห็นภาพ ไม่ได้ยินเสียง มันยิ่งนึกออกยาก เราก็ต้องมีข้อมูลไปสนับสนุนวัตถุดิบที่เราเลือกใช้ว่า ทำไมเราต้องใช้อันนี้ เพื่อให้เขาอร่อย พร้อมกับรับรู้ข้อมูลไปประมาณหนึ่ง เขาก็จะได้มีข้อมูลเบื้องต้นไปบ้าง”

The Sweetest Passion

กว่า 6 ปีที่ผ่านมา befor.tart มอบความสุข และความประทับใจเอาไว้ในความทรงจำของใครหลายคน แต่ทาร์ตเซ็ตไหนที่ประทับใจเจ้าของแบรนด์นี้?

“จริงๆ ผมถ้าชอบที่สุด ผมชอบเซ็ตแรกที่ทำ ‘Before Trilogy’ มันคือการรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่จะทำ มันไม่ใช่แค่ทำขนม แต่มันคือ ขนมที่มีคอนเซ็ปต์มากๆ อันหนึ่ง ยิ่งเราเลือกหนัง Niche มันยิ่งกลายเป็นขนมที่มี High Concept เข้าไปอีก ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่า ฟีดแบ็กจะเป็นอย่างไร เขาจะโอเคกับมันไหม หรือเขาจะเข้าใจกันหรือเปล่า ก็ลองผิดลองถูกกันไปเรื่อยๆ เยอะมาก ช่วงแรกๆ ทุกครั้งที่เอาขนมไปส่งก็ต้องแบบ ‘ผมขอเวลา 5 นาทีนะครับ ผมอธิบายให้ฟังก่อน’ อะไรอย่างนี้

มันเป็นอะไรที่ทำงานเยอะที่สุด ขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัวมากที่สุดว่าเราจะทำอย่างไร ให้พรีเซนต์มันออกมาได้ดีที่สุด น่าจะเป็นเพราะใช้เวลากับมันเยอะ แล้วก็เลยรู้สึกกับมันมากที่สุด”

ซึ่งทาร์ตในคอลเลกชั่นนี้ ประกอบไปด้วย ทาร์ต 4 ชิ้น ที่เล่าเรื่องราวจากภาพยนตร์ไตรภาค Before Sunrise, Before Sunset และ Before Midnight ซึ่งทาร์ตแต่ละชิ้นจะบอกเล่าเรื่องราวการเจอกันของ 2 ตัวเอกที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เพิ่มความเข้มข้นของรสชาติขึ้นไปเรื่อยๆ ตามเส้นเรื่องของหนัง และความสัมพันธ์ของตัวละคร

Celine – ทาร์ตที่มีส่วนประกอบของแยมเบอร์รี่ผสมกับไวน์ และไวท์ช็อกโกแลต

Jesse – ทาร์ตเลมอนเคิร์ดสไตล์อเมริกัน และไวท์ช็อกโกแลต

Before Sunset – ทาร์ตที่มีส่วนผสมของเสาวรส และช็อกโกแลตนม

Before Midnight – ทาร์ตดาร์กช็อกโกแลต ผสมแมคาเดเมีย

From Anime Adventures to Political Reminders

เมื่อพูดถึงทาร์ตเซ็ตที่ประทับใจไปแล้ว จะไม่ชวนให้ซิกอัพเดตทาร์ตคอลเลกชั่นใหม่ๆ จากแบรนด์ befor.tart ก็กระไรอยู่ ซิกจึงแนะนำ ‘Skip & Loafer’ และ ‘New Democrazy’ ทาร์ต 2 เซ็ตใหม่ให้เรารู้จัก

Skip & Loafer เป็นแอนิเมชั่นญี่ปุ่น ที่เพิ่งจะจบซีซั่นแรกไป ผมดูแล้วก็ชอบมากๆ ก็เลยอยากทำขึ้นมา มันเป็นเรื่องของแบบเด็กมัธยม 2 คน ที่เกิดและเติบโตมาต่างกันมากๆ ด้วยความต่างของ 2 คนนี้ มันเหมือนจะขัดแย้งกัน แต่ว่าจริงๆ มาช่วยเสริมกันไป”

ทาร์ตในเซ็ตนี้ของซิกจึงเป็นการผสมผสานเรื่องราวของตัวละครหลัก และความรู้สึกที่ดำเนินไปในเรื่อง ภายใต้หน้าตาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากพระอาทิตย์ตกตอนท้ายเรื่อง

ชิ้นที่ 1 – ทาร์ตที่มีส่วนประกอบของชีสเค้กเนย และถั่วแดงบดหยาบ บอกเล่าวิถีการเติบโตที่ต่างกันของตัวละคร
ชิ้นที่ 2 – ทาร์ตที่มีส่วนผสมของคัสตาร์ดวานิลลา และเมเปิ้ล พร้อมด้วยชิ้นช็อกโกแลต บอกเล่าความรู้สึกอบอุ่นที่ก่อตัวอยู่ในเรื่อง
ชิ้นที่ 3 – ทาร์ตที่มีส่วนผสมของเคิร์ดเยลลี่ส้ม และเจลเครื่องดื่มชูกำลัง เพื่อเป็นตัวแทนของเครื่องดื่มที่ 2 ตัวละครหลักชอบดื่มเพื่อเพิ่มพลัง และความสดชื่น
ชิ้นที่ 4 – ทาร์ตที่มีองค์ประกอบเป็นโมจิหยดน้ำผสมดอกซากุระ คู่กับมูสผงถั่วและน้ำเชื่อม เพื่อเป็นตัวแทนของกำลังใจ และความทรงจำที่สวยงาม

“อีกคอลเลกชั่นที่ทำตอนนี้ มันไม่ใช่เป็นคอลเลกชั่นจากหนังแล้ว มันเป็นการแคปเจอร์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันชื่อ ‘New Democrazy’ พัฒนาต่อมาจากก่อนหน้านี้คือ ‘Democrazy’ มันคือการดัดแปลงมาจากเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมของร้านคาเฟ่ของแต่ละพรรคเอามาอยู่ด้วยกัน แล้วก็ให้มันผ่าน และไปด้วยกันได้ดี แต่พอสถานการณ์มันเปลี่ยนไป ทาร์ตเซตใหม่เลยเกิดขึ้นมา ผมทำทุกอย่างเพื่อเป็นการเก็บเหตุการณ์นี้ไว้กับตัวด้วยครับ แล้วก็เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกของคนที่มีประสบการณ์ร่วมกันในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ต่างกันไปบ้างตามรายละเอียดของคน บางคนอาจจะมีความหวังอยู่ หรือบางคนหมดความหวังไปแล้ว ผมว่าทาร์ตมันทำมาเพื่อบอกว่า การที่เราได้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงไป จริงๆ แล้วไม่สูญเปล่าไปเลยนะ ถึงแม้ว่าผลมันจะบิดเบี้ยวไปบ้าง แต่อย่างน้อยการกระทำที่เราได้ใช้สิทธิ์ ได้ทำลงไปมันก็สร้างอุปสรรคบางอย่างให้กับอีกฝั่งการตัดสินใจหนึ่งเหมือนกัน

รายละเอียดรสชาติมันก็จะต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังให้ความรู้สึกเดิมๆ อยู่ ผมเพิ่มความรู้สึกให้มันมีความสดชื่นมีความชุ่มชื่นมากขึ้น จากความเครียดทั้งหลายที่มีอยู่ เพื่อให้รู้สึกว่า มันยังมีความหวังอยู่ในวันหนึ่ง”

Sunshine – ทาร์ตกาแฟส้ม ที่มีส่วนประกอบของเคิร์ดส้มซันคิสต์ เยลลี่เอสเพรสโซ่ และฟิน็องซิเยกาแฟ

Sunrise – ทาร์ตที่มีองค์ประกอบของยูซุครีม และสตรอว์เบอร์รี่ครีม

Sunset – ทาร์ตที่มีส่วนผสมของดาร์กช็อกโกแลตกานาช และมูสนมเย็นว่านหางจระเข้

Repeat – ทาร์ตที่ประกอบไปด้วยเค้กชาไทย ชาไทยช็อกโกแลตชิป และแยมพีช

From Tart to Heart

“ตอนนี้ผมทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ผมผูกพันกับมันมากๆ ก็อยากเห็นมันโตขึ้นเรื่อยๆ หรือมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกอย่าง ทั้งดีไซน์ รสชาติ การเก็บรักษา หรือวิธีการขนส่ง อยากให้ทุกอย่างมันค่อยๆ โตขึ้น และพัฒนาให้มันไปจนถึงจุดที่มันดีที่สุดให้ได้”

ซิกอธิบายความรู้สึกผูกพันของเขา และ befor.tart กับเส้นทางตลอดระยะเวลา 6 ปีให้เราฟัง ก่อนจะอธิบายถึงความสุขของคนทำขนม

“ความสุขคือ เรื่องที่เกิดขึ้นทีหลัง พอคนเขาได้เอาขนมไปให้คนอื่น แล้วเขาแฮปปี้มากๆ คนที่ได้รับเขาอาจจะไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของแบรนด์นี้เลย ไม่รู้มาก่อนว่ามีการทำขนมด้วยวิธีการแบบนี้ พอได้รับแล้วเขาชอบมันมากๆ ผมจะแฮปปี้มากเลย”

“มันคือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่บอกว่า เรามีคุณค่าในอุตสาหกรรมแบบนี้ มีคุณค่ากับคนที่เขาอยากจะได้มันจริงๆ แล้วเขาได้รับมันจริงๆ แล้ว”

ก่อนจากกันเราให้ซิกลองเล่าความฝันของ befor.tart และสิ่งที่เขาอยากทำต่อไปในอนาคต

“ผมไม่กล้าสัญญาอะไร แต่ผมหวังว่าวันหนึ่งมันจะมีตึกสักแห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วก็มี befor.tart อยู่ แล้วผมสามารถทำคอลเลกชั่นหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับการฉายหนังเรื่องนั้น ให้คนอยู่ในบรรยากาศเดียวกันหมด หรืออยู่ด้วยกันแล้วแฮปปี้ที่สุด ผมว่ามันก็น่าจะสนุก อาจจะเป็นอีเวนต์ป็อปอัพเล็กๆ ดูหนังกัน แล้วกินขนมจากหนังเรื่องนั้น พูดคุยกันว่า คิดเห็นกับขนม และหนังอย่างไรบ้าง อาจจะได้รับฟีดแบ็กที่รู้สึกว่า ‘จริงๆ แล้วมันน่าจะเป็นรสนี้มากกว่า’ หรืออะไรอย่างนี้ ก็น่าสนุกดี ยิ่งตอนนี้ผมดูหนังแล้วมันคิดเป็นเรื่องขนมไปหมดแล้ว (หัวเราะ) การที่ได้เห็นคนที่สนใจสิ่งเดียวกันอยู่รวมตัวกันเยอะๆ มันก็น่าจะพัฒนาทั้งเขาและเราไปด้วยกัน”

ติดตามทาร์ตคอลเลกชั่นใหม่ๆ จาก ‘be for’ ได้ที่

Instagram: befor.tart

Facebook: befor.tart