เมื่อผู้หญิงที่โดดเด่นกลายเป็น “แม่มด” ที่ต้องถูกกำจัดไป

แม่มดคืออะไรและเกิดขึ้นได้อย่างไร? เราต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยโบราณ ที่สิ่งเหนือธรรมชาติหรือเวทมนต์เป็นสิ่งที่ผู้คนนับถือ คนที่ถูกเรียกว่า “แม่มด” ใช้อำนาจเหนือธรรมชาติในการช่วยเหลือสังคม แต่เมื่อศาสนาแบบใหม่ถือกำเนิดขึ้นที่ต้องการให้จงรักภัคดีต่อผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด ผู้หญิงเป็นแม่มดจึงถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนา ทำให้ผู้คนบิดเบี้ยวไปจากหลักคำสอนของศาสนา

แม่มดเป็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฎในคัมภีร์ไบเบิลของคริสตศาสนา  จุดเริ่มต้นมาจากการล่อลวงของปีศาจทำให้อดัมกับอีฟกินผลไม้ต้องห้าม จึงถูกไล่ออกจากสวนอีเดน มนุษย์จึงไร้ความบริสุทธิ์ ไม่เป็นอมตะอีกต่อไปต้องอาศัยการร่วมเพศเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ การร่วมเพศจึงถือเป็นการขบถและไม่เชื่อฟังต่อพระผู้เป็นเจ้า การร่วมเพศจึงสัมพันธ์กับกับปีศาจในกรอบความคิดของคริสตศาสนา และแม่มดในไบเบิลเป็นสาวกของปีศาจหรือซาตาน พลังอำนาจของแม่มดเป็นสิ่งที่ได้มาจากปีศาจ ความหวาดกลัวของแม่มดจึงถือกำเนิดขึ้น ฝ่ายล่าแม่มดเห็นว่าแม่มดนั้นเป็นพวกต่อต้านและไม่ศรัทธาต่อศาสนา

Image Credit: bibleresources

ยุคกลางหรือยุคที่ใครหลายคนเรียกว่า ยุคมืด (Dark Age) เป็นยุคที่หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายงตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 - 15 ความเจริญหยุดชะงักลง ผู้คนนับถือและให้ความสำคัญต่อศาสนจักรคริสต์โรมันคาธอลิคเป็นอย่างมาก การกระทำทุกอย่างถูกครอบงำโดยศาสนา ใครที่กระทำนอกเหนือจากศาสนาจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีความโดดเด่น และเก่งเกินกว่าผู้ชายในยุคสมัยนั้นมักถูกกล่าวหาว่าเป็น “แม่มด” และถูกเผาทั้งเป็น

Image Credit: History

โจนออฟอาร์ค (Joan of Arc) วีรสตรีที่ช่วยมงกุฎราชกุมารฝรั่งเศษนำทัพฝรั่งเศษปลดแอกและต่อสู้กับกองทัพอังกฤษที่พยายามยึดครองฝรั่งเศษเมื่อศตวรรษที่ 15 โจนออฟอาร์คชนะกองทัพอังกฤษและสถาปนามงกุฎราชกุมารขึ้นเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 แต่กลับถูกขุนนางผู้ชายกล่าวหาว่าเป้นแม่มดเพราะริษยาวีรกรรมของเธอ โจนออฟอาร์คจึงถูกศาสนจักรซึ่งรับใช้อังกฤษตัดสินว่าเป็นแม่มดและกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต เธอจึงถูกเผาทั้งเป็นกลางเมืองรออง (Rouen) เมื่อปี วันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1431 ขณะอายุเพียง 19 ปี และในปีค.ศ. 1920 พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ได้ประกาศให้โจนเป็นนักบุญแห่งคริสตจักรคาทอลิก เป็นเวลากว่า 500 ปีที่วีรสตรีคนนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด

Image Credit: Prisma Archivo

โจนออฟอาร์คสะท้อนถึงความเชื่อดั้งเดิมที่แสดงให้เห็นว่าผู้ชายเป็นชนชั้นปกครองเป็นผู้กำหนดพื้นที่และความเป็นอิระที่มีมากกว่าผู้หญิง สงครามในสมัยนั้นเป็นเรื่องของผู้ชายที่รบกัน ผู้หญิงไม่ควรไปอยู่ในพื้นที่แห่งนั้น เมื่อโจนออฟอาร์คไปอยู่ในพื้นที่ของผู้ชาย จึงทำให้เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตและแม่มดจนถูกเผาทั้งเป็นในที่สุด และเมื่อมองไปถึงเรื่องเล่าของคริสตศาสนา  บทบาทของแม่มดมักจะมีความเกี่ยวข้องกับกิเลสตัณหาของมนุษย์ เหตุใดจึงต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น?  และในประวัติศาสตร์ของยุโรประบุว่ามีผู้หญิงกว่าแสนคนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกเผาทั้งเป็น

Image Credit: Hermann Stilke

ปัจจุบันผู้หญิงมีบทบาทในพื้นที่ทางสังคมเพิ่มมากขึ้น สังคมที่เรียกร้องความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น แต่แม่มดก็ไม่ได้หมดไปโดยเฉพาะสังคมปิตาธิปไตยที่ยังคอยกดทับผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ พื้นที่ทางการเมืองเป็นพื้นที่หนึ่งที่พบคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกนำเรื่องเพศมากดทับความรู้ความสามารถอยู่เสมอ เราลองมองย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เราเคยกล่าวหาใครเพราะความเกลียดชังในความแตกต่างของเขาหรือเปล่า? 

อ้างอิง

พระมหาณัฐวุฒิ สงวนงาม และเกษริน บุตรา. 2563. มโนทัศน์เรื่องแม่มดในเรื่องเล่าศาสนา. วารสารวิชาการสถาบันพัฒนาพระวิทยากร. 3(2): 15-24

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_225

https://www.silpa-mag.com/history/article_64038