จากที่เคยเกาะกลุ่มอยู่บนหัวตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก แต่ตอนนี้ 'สิงโตน้ำเงินคราม' เชลซี ต้องยอมรับสภาพว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียแล้ว เพราะได้แปรสภาพกลายเป็นทีมระดับกลางตารางคะแนนแบบไม่ค่อยชินตากันเสียเท่าไรนัก หลังโชว์ฟอร์มในช่วงฤดูกาลนี้ได้แบบ 'สาละวันเตี้ยลง' ไปตามผลงานที่พบกับความพ่ายแพ้มากกว่าชัยชนะเสียด้วยซ้ำ และทำได้เพียงแค่การันตีการอยู่รอดปลอดภัยบนลีกสูงสุดของอังกฤษเท่านั้นเอง
หากจะว่าไปแล้ว เชลซี ยังคงอยู่ในช่วง 'เปลี่ยนผ่าน' นับตั้งแต่ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันได้ก้าวเท้าเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรคนใหม่ต่อจาก โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ซึ่งโดนพิษการเมืองระหว่างประเทศตามเล่นงานเมื่อช่วงปีก่อน ทำให้สิงโตน้ำเงินครามมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแบบมากมายเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในจากการเปลี่ยนตัวผู้บริหารสโมสรในหลายตำแหน่งๆ รวมถึงเรื่องของการเปลี่ยนตัว 'กุนซือ' ในช่วงฤดูกาลนี้ไปแล้วถึง 4 คน
ไล่ตั้งแต่ โธมัส ทูเคิล แม้จะเคยพาทีมประสบความสำเร็จจากการคว้าแชมป์ได้หลายรายการ โดยเฉพาะการผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อปี 2021 แต่กลับถูกไล่ออกในช่วงออกสตาร์ทซีซั่นนี้ ซึ่งว่ากันว่ามีสาเหตุมาจากการขัดใจเจ้าของทีมในหลายเรื่องๆ นั่นเอง หลังจากนั้นได้มีการทุ่มเงินดึงตัว เกรแฮม พ็อตเตอร์ มาจาก ไบรท์ตัน ให้เข้ามาช่วยสร้างทีมไปสู่ยุคใหม่ เพราะเห็นว่าเคยปลุกปั้นทีมเล็กๆ ให้อยู่ปักหลักในศึกพรีเมียร์ลีกได้แบบน่าชื่นชม แต่สุดท้ายกลับ 'มือไม่ถึง' จากเหตุที่ไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมใหญ่ๆ มาก่อน และทำผลงานไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย จึงถูกปลดจากตำแหน่งในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากนั้นได้มอบหมายให้ บรูโน่ ซัลตอร์ หนึ่งในทีมสต๊าฟคุมทีมแบบขัดตาทัพเพียงแค่หนึ่งเกมเท่านั้น ก่อนจะส่งไม้ต่อไปให้ตำนานนักเตะของสโมสร นั่นก็คือ แฟรงค์ แลมพาร์ด อดีตกุนซือสิงโตน้ำเงินครามในช่วงระหว่างปี 2019-2021 ได้กลับมาช่วยคุมทีมในฐานะกุนซือขัดตาทัพจนถึงช่วงจบฤดูกาลนี้เท่านั้น เพื่อให้คั่นเวลาในช่วงระหว่างที่กำลังสรรหากุนซือคนใหม่ ซึ่งจะได้ก้าวเท้าเข้ามารับงานคุมทีมในช่วงซีซั่นหน้ากันต่อไป
เพราะความเปลี่ยนแปลงจากเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ จึงส่งผลกระทบต่อเรื่องผลงานในสนามของ เชลซี ไปแบบเต็มๆ แม้จะมีการลงทุนซื้อนักเตะหน้าใหม่เข้ามาเสริมทัพหลายคนเลย ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาของ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ นั่นเอง โดยเฉพาะการทุ่มเงินคว้า เอ็นโซ่ แฟร์นันเดซ กองกลางทีมชาติอาร์เจนตินาชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 มาจาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวเป็นสถิติแพงที่สุดของเกาะอังกฤษสูงถึง 106 ล้านปอนด์เลยทีเดียว แต่กลับกลายเป็นการซื้อแบบไม่มียุทธศาสตร์ เพราะว่าเน้นแต่จำนวนมากเกินไป จึงมีนักเตะให้เลือกใช้งานแบบเกินความจำเป็นมากกว่า 30 คนแล้วด้วย และว่ากันว่าล็อกเกอร์ในห้องแต่งตัวมีไม่เพียงพอสำหรับผู้เล่นทุกคนอีกต่างหาก นอกจากนี้ เชลซี ยังขาดความต่อเนื่องในเรื่องของการสร้างทีมตามแผนระยะยาว เพราะยังตามหา 'คนที่ใช่' ในแบบที่เจ้าของทีมต้องการไม่เจอเสียที จึงต้องมองหากุนซือคนใหม่กันไปก่อน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเรื่องความเชื่อมั่นของนักเตะที่ต้องเล่นกันแบบห่วงหน้าพะวงหลังด้วยเช่นกัน เพราะว่าเจ้านายของตัวเองมีโอกาสโดนไล่ออกจากตำแหน่งได้ตลอดเลย และอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวเพื่อให้เข้ากับเจ้านายคนใหม่แบบวนลูบไปเรื่อยๆ เลยด้วย หากว่า เชลซี ยังไม่สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ให้นิ่งสงบได้เสียที
ฤๅว่า ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ ซึ่งว่ากันว่ามีความรู้ในเรื่องของเกมลูกหนังไม่มากนัก อาจจะต้องหยุดพฤติกรรม 'ล้วงลูก' จากการใช้อำนาจของตัวเองเข้าไปจัดการเรื่องต่างๆ ภายในสโมสรเกือบทั้งหมดเหมือนอย่างที่ตกเป็นข่าว เพื่อให้บุคลากรภายในทีมได้มีอิสระในการทำหน้าที่ของตัวเองแบบไม่โดนแทรกแซงจากคนที่เป็นเจ้าของทีมนั่นเอง และจะได้ไปเริ่มต้นกันใหม่ในช่วงซีซั่นหน้าด้วยความหวังที่ว่ากุนซือคนใหม่จะสามารถพาทีมกลับขึ้นไปเกาะกลุ่มอยู่บนหัวตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกเหมือนอย่างที่คุ้นเคยได้อีกครั้ง เพราะว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าผลงานในช่วงฤดูกาลนี้ ที่ทำได้เพียงแค่อยู่ปักหลักตรงกลางตารางคะแนนในแบบที่ทำได้เพียงแค่รอดพ้นจากการตกชั้นเท่านั้น
5 เหตุผลเปลี่ยนแปลงแล้วไม่ปัง
แม้จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างตั้งแต่เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการเปลี่ยนตัวเจ้าของสโมสรจาก โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ซึ่งโดนพิษการเมืองระหว่างประเทศเล่นงาน จึงต้องตัดสินใจขายทีมให้กับ ท็อดด์ โบห์ลี่ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันไปเลย แต่ไม่ได้ช่วยให้ เชลซี ทำผลงานได้ดีขึ้น เพราะโชว์ฟอร์มในช่วงฤดูกาลนี้ได้ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย โดยตอนนี้ไม่ได้เกาะกลุ่มเป็นทีมหัวแถวของศึกพรีเมียร์ลีกเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น และร่วงลงไปอยู่ตรงกลางตารางคะแนนอีกต่างหาก ลองไปส่องดูกันว่าเพราะเหตุใดสิงโตน้ำเงินครามจึงต้องอยู่ในภาวะสาละวันเตี้ยลง โดยสามารถชำแหละออกมาได้ว่าน่าจะมาจากเหตุผลต่างๆ ตาม 5 ข้อได้ดังต่อไปนี้เลย
เริ่มต้นกันด้วยข้อแรก ปัญหานักเตะผลัดกันได้รับบาดเจ็บในช่วงฤดูกาลนี้แบบยาวเป็นหางว่าวมากกว่า 10 คนเลยด้วย โดยเฉพาะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กองกลางตัวเก่งที่เคยต้องพักรักษาโรคเดี้ยงมานานหลายเดือนแล้ว รวมถึง 2 แบ็กจอมบุกทั้งสองฝั่ง นั่นก็คือ รีซ เจมส์ กับ เบน ชิลเวลล์ ซึ่งเจออาการบาดเจ็บตามเล่นงานแบบไม่เลิกรา ทำให้ เชลซี ไม่สามารถจัดทีมลงสนามด้วยผู้เล่น 11 คนแรกแบบเต็มอัตราศึกได้เสียที
ตามมาด้วยข้อที่ 2 เรื่องของการลงทุนซื้อแข้งใหม่แล้วโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเหมือนอย่างที่หวัง แม้จะมีการทุ่มเงินคว้านักเตะเข้ามาเสริมทัพหลายคนเลย แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำผลงานได้คุ้มค่าเงินที่สูญเสียไปมากกว่า 400 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
ซึ่งจะสอดคล้องกับข้อที่ 3 นั่นก็คือพวกผู้เล่นหน้าใหม่ในตำแหน่งกองหลังยังไม่สามารถทดแทนการจากไปของ 2 อดีตแนวรับจอมแกร่ง นั่นก็คือ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กับอันเดรียส คริสเตนเซ่น ซึ่งได้ตัดสินใจย้ายทีมในช่วงหลังหมดสัญญาเมื่อตอนจบฤดูกาลที่แล้วแบบไม่มีค่าตัวนั่นเอง ทั้งนี้ เชลซี ได้มีการทุ่มเงินคว้า มาร์ค คูคูเรย่า รวมถึง คาลิดู คูลิบาลี่ ให้เข้ามาช่วยอุดรูรั่วในแนวรับ แต่ยังทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจเสียเท่าไรนัก ส่วนในรายของ เวสลีย์ โฟฟาน่า กองหลังค่าตัวแพงระดับโลกต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อน ทำให้ ติอาโก้ ซิลวา ต้องรับหน้าที่แบกแนวรับด้วยวัยสูงถึง 37 ปีแล้วด้วย แม้จะมีการจ่ายเงินคว้า เบอนัวต์ บาเดียชิลด์ กองหลังชาวฝรั่งเศสวัย 21 ปีมาจาก โมนาโก เข้ามาเสริมทัพในช่วงเปิดตลาดหน้าหนาวเพิ่มอีกหนึ่งราย แต่ดูแล้วน่าจะเป็นการซื้อเพื่ออนาคตไปตามวัยที่ยังละอ่อนอยู่เลยเสียมากกว่า ซึ่งจะใช้เวลาฟูมฟักให้มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้กันต่อไป
ไปต่อกันที่ข้อที่ 4 นั่นก็คือเรื่องของการจบสกอร์ ซึ่งยิงประตูกันได้น้อยมากๆ โดย เชลซี เพิ่งจะสอยตาข่ายในศึกพรีเมียร์ลีกได้เพียงแค่ 36 ลูก นับจนถึงในช่วงหลังลงเล่นนัดที่ 36 หรือเฉลี่ยแล้วยิงได้นัดละ 1 ลูกเท่านั้นเอง หากว่าเป็นเมื่อช่วงฤดูกาลก่อนจะได้พวกผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังค่อยเติมเกมรุกเพื่อขึ้นมาช่วยยิงประตูได้แบบเป็นกอบเป็นกำเลย แต่เป็นเพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องผู้เล่นในแนวรับ จึงต้องหันกลับมาพึ่งพาพวกผู้เล่นในแนวรุกให้ช่วยกันทำหน้าที่ยิงประตูตามบทบาทของตัวเอง และจะมีการลงทุนคว้า ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ ปิแอร์ เอเมริก โอบาเมยอง เข้ามาเสริมแนวรุกถึง 2 รายด้วย แต่กลับประสบปัญหาฟอร์มฝืดกันแบบถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึง ไค ฮาเวิร์ตซ ยังคงถูกจับให้สวมบทเป็นกองหน้าตัวเป้า ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัดมากที่สุด ขณะที่ ฮาคิม ซีเย็ค กับคริสเตียน พูลิซิช โชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐานอยู่บ่อยๆ จึงถูกดร็อปเป็นตัวสำรองอยู่เป็นประจำ ส่วนในรายของ อาร์มันโด โบรย่า เด็กปั้นตัวความหวังใหม่ดันโชคร้ายเจอโรคเดี้ยงเล่นงานจนต้องพักยาวไปเลย
ปิดท้ายด้วยข้อที่ 5 นั่นก็คือเรื่องของ 'กุนซือ' ซึ่งมีการเปลี่ยนตัวมาแล้วถึง 4 คน ไล่ตั้งแต่ โธมัส ทูเคิ่ล, เกรแฮม พ็อตเตอร์ รวมถึง 2 กุนซือขัดตาทัพ นั่นก็คือ บรูโน่ ซัลตอร์ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด แต่ไม่ได้ช่วยให้สิงโตน้ำเงินครามดีขึ้นเลย และจะต้องรอให้มีการแต่งตั้ง 'กุนซือคนใหม่' เพื่อให้เข้ามาลงมือสร้างทีมในช่วงซีซั่นหน้า จึงต้องอยู่ในภาวะสาละวันเตี้ยลง ไปก่อนจนกว่าจะได้การแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อจะได้กลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนอย่างที่ควรจะเป็นในช่วงฤดูกาลหน้ากันต่อไป
กุนซือใหม่จะตกเป็นของใคร ระหว่าง 'คนหนุ่ม' กับ 'จอมเก๋า'?
ตอนนี้ เชลซี ยังคงตกเป็นข่าวพัวพันกับพวกกุนซือชื่อดังหลายคนเลย และแสดงทีท่าว่าพร้อมเลือกคนที่เคยผ่านงานคุมทีมใหญ่ๆ มาก่อนด้วย หลังจากที่เคยให้โอกาส เกรแฮม พ็อตเตอร์ ได้สวมบทเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่ได้วางเอาไว้แบบระยะยาวไปเลย เพราะเห็นว่าเคยปลุกปั้น ไบรท์ตัน จากทีมเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นให้ก้าวเท้าขึ้นไปอยู่ครึ่งบนของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่สุดท้ายได้พิสูจน์ผลงานให้เห็นแล้วว่า 'มือไม่ถึง' เพราะไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมใหญ่ๆ มาก่อนด้วยเช่นกัน จึงอยู่ที่ว่า ท็อดด์ โบห์ลี่ เจ้าของทีมสิงโตน้ำเงินคราม จะเลือกกุนซือคนใหม่ให้เป็นไปตามสเป็คแบบไหนระหว่าง 'คนหนุ่ม' หรือ 'จอมเก๋า' หากดูจากรายชื่อของบรรดากุนซือที่อยู่ในกลุ่มตัวเลือกจากการรายงานข่าวของสื่อต่างๆ สำหรับนิยามของคำว่า คนหนุ่ม ในที่นี้จะหมายถึงเรื่องวัยวุฒิไปตามตัวเลขของอายุที่จะไม่เกิน 45 ปี ส่วนนิยามของคำว่า จอมเก๋า ในที่นี้จะหมายถึงพวกกุนซือประสบการณ์ที่มีอายุแตะหลัก 50 ปีแล้วนั่นเอง
เริ่มต้นกันด้วยกลุ่มของคนหนุ่มซึ่งมีชื่อของ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ กุนซือว่างงานชาวเยอรมันเป็นเป้าหมายในลำดับต้นๆ เลยด้วย แม้จะเพิ่งมีอายุเพียง 35 ปีเท่านั้น แต่ว่าเคยผ่านงานคุมทีมระดับยักษ์ใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงก่อนตกงานมาแล้วนั่นเอง ส่วนในรายของ โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ กุนซือชาวอิตาเลียนวัย 43 ปีของ ไบรท์ตัน เป็นอีกหนึ่งชื่อที่ติดโผอยู่ในกลุ่มตัวเลือกด้วยเช่นกัน โดยเคยผ่านงานคุมทีมใหญ่ๆ อย่าง ชักเตอร์ โดเน็ตส์ท มาแล้วด้วย ขณะที่ รูเบน อาโมริม โค้ชชาวโปรตุกีสวัย 38 ปีมีชื่อติดโผจากการนำทัพ สปอร์ติ้ง ลิสบอน กลับมาประสบความสำเร็จในบ้านเกิดได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีชื่อของ จอห์น เทอร์รี่ ตำนานกองหลังกัปตันทีม เชลซี ในวัย 42 ปีติดโผจากการรายงานข่าวของสื่อต่างๆ เพราะเห็นว่ายังคงว่างงานอยู่นับตั้งแต่ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีม แอสตัน วิลล่า เมื่อปี 2021 และได้รับเสียงเชียร์จากแฟนบอลบางส่วนว่าควรได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่คุมทีมเหมือนอย่างที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด อีกหนึ่งตำนานกองกลางของสโมสรที่เคยได้รับการแต่งตั้งให้สวมบทเป็นนายใหญ่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ระหว่างปี 2019-2021 แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่หวังเอาไว้
ส่วนกลุ่มของจอมเก๋ามีรายชื่อติดโผมากมายหลายคนเลย โดยเฉพาะพวกกุนซือชื่อดังที่ยังคงว่างงานอยู่ ไล่ตั้งแต่ ซีเนอดีน ซีดาน ตำนานจอมทัพทีมชาติฝรั่งเศสวัย 51 ปีที่เคยนำทัพ เรอัล มาดริด ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน และกลายเป็นคนว่างงานมานานเกือบ 2 ปีแล้วด้วย ขณะที่ หลุยส์ เอ็นริเก้ อดีตกุนซือทีมชาติสเปนวัย 52 ปีเคยฝากผลงานระดับ 'มาสเตอร์พีซ' เมื่อตอนที่นำทัพ บาร์เซโลน่า เข้าป้าย 'ทริปเปิลแชมป์' จากการกวาด 3 ถ้วยใบใหญ่ในช่วงฤดูกาล 2014/2015 ได้ทั้งหมดเลย ส่วนในรายของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์วัย 51 ปีเคยสร้างชื่อจากการยกระดับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ให้ก้าวเท้าขึ้นไปอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ และเคยผ่านงานคุมทีมใหญ่ๆ อย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง มาก่อนด้วย ด้าน เบรนแดน รอดเจอร์ส โค้ชชาวไอร์แลนด์เหนือวัย 50 ปีที่เพิ่งโดน เลสเตอร์ ไล่ออกมาหมาดๆ มีชื่อติดโผด้วยเช่นกัน เพราะว่าเคยร่วมงานกับ เชลซี เมื่อตอนสมัยที่คุมทีมสำรองในระดับเยาวชนระหว่างปี 2006-2008 มาก่อนนั่นเอง
นี่คือรายชื่อของเหล่ากุนซือบางส่วนที่พร้อมเปิดตัวเลือกให้ เชลซี ได้ทาบทามมาสวมบทเป็นนายใหม่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ยังคงต้องรอการตัดสินใจของบอร์ดบริหารสโมสรว่าจะเลือกสเปกแบบไหนระหว่างคนหนุ่ม หรือจอมเก๋า เพื่อให้เข้ามาช่วยกอบกู้ผลงานที่ต้องแปรสภาพเป็นทีมระดับกลางตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกไปเสียแล้ว