Culture

จริงๆ แล้วฉันไม่ผิด เธอต่างหากที่ผิด — ‘Covert Narcissist’ หลงตัวเองแต่ไม่แสดงออก อันตรายกว่าที่คิด

“Did you hear my covert narcissism I disguise as altruism Like some kind of congressman?”

ประโยคนี้มาจากเนื้อหาท่อน Pre-chorus เพลงAnti-Heroของ Taylor Swift ที่เราหลายคนเคยได้ยินกันมาก่อน เชื่อว่าบางคนอาจจะเคยสังเกตเนื้อเพลงดูชัดๆ และเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ‘Covert Narcissism’ คืออะไรกันแน่

Photo Credit: Greek Legends and Myths

‘Narcissism’ แปลว่า ‘ความหลงใหลในตัวเอง’ คำนี้มาจากชื่อของเทพปกรณัมกรีก ‘นาร์ซิสซัส’ (Narcissus) ผู้หลงตนเองจนถึงแก่ความตาย ตำนานได้กล่าวขานว่า นาร์ซิสซัสเป็นเทพหนุ่มผู้มีรูปโฉมงดงาม เหล่าทวยเทพและนางอัปสรจึงชอบพอในตัวเขา แต่เขาก็ไม่เคยตกลงปลงใจกับผู้ใด เพราะต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง นาร์ซิสซัสบังเอิญพบกับ ‘เอ็คโค’ (Echo) นางไม้ผู้เคยขัดขวางเทพีเฮร่าไม่ให้อาละวาดใส่นางอัปสรที่เป็นชู้ของเทพซุส จึงถูกสาปให้ทำได้เพียงทวนเสียงที่ผู้อื่นพูดเท่านั้น นาร์ซิสซัสรำคาญที่เอ็คโคเอาแต่พูดตามเขา และไล่ให้เธอไปไกลๆ เทพีอะโฟรไดท์ที่ได้ยินทุกอย่างก็โมโหมาก เธอจึงสาปให้เขาหลงรักแต่ตัวเอง เมื่อนาร์ซิสซัสเห็นเงาของตนขณะดื่มน้ำในบ่อกลางป่า เขาก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือตัวเอง เขาพยายามจะคว้าเงาสะท้อน แต่ก็ไม่ได้ผล ในที่สุดนาร์ซิสซัสก็ผ่ายผอมจนตายข้างบ่อที่มีเงาของตน กลายเป็นดอกนาร์ซิสซัสที่เรารู้จักกันทุกวันนี้

Photo Credit: Wikipedia

ความหลงใหลรักใคร่ในตนเองนี้ทำให้ Havelock Ellis แพทย์และนักเพศวิทยาได้ไอเดียของคำว่า Narcissism ขึ้นมาในปี 1899 โดยให้ความหมายไว้ว่าเป็นการหลงต่อการยกยอตนเอง โดยไม่มีการดึงดูดใดต่อผู้อื่น และเขายังใช้คำนี้เรียกการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองที่เกินพอดี (Excessive masturbation) อีกด้วย ต่อมา Sigmund Freud เจ้าของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ชื่อดัง ได้นำคำนี้มาปรับปรุงความหมายพร้อมเพิ่มมุมมองเข้าไปว่า การหลงตัวเองนั้นมีทั้งด้านดี และด้านที่ไม่ดี การมีอีโก้สูงก็อาจจะช่วยให้จิตใจแข็งแรงขึ้นได้ อีกอย่างคือ การที่คนเราจะมีความมั่นใจในตัวเองได้ก็ต้องอาศัยความหลงตัวเองในระดับหนึ่งเช่นกัน

แต่การหลงตัวเองและกระหายความรักความชื่นชมจากผู้อื่นมากจนเกินไป คือการป่วยเป็นโรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) สำหรับ Freud

โดยทั่วไป เรามักจะคุ้นชินกับภาพของคนที่หลงตัวเองอย่างเปิดเผย ชอบเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ มีความมั่นใจในตนเองสูง ชอบใช้อำนาจ เห็นแก่ตัว ขาดความเห็นอกเห็นใจ คิดว่าตนเหนือกว่าคนอื่น บ้างก็ก้าวร้าว บ้างก็เจ้าเสน่ห์ คนที่มีบุคลิกนี้จะถูกเรียกว่า Overt narcissist หรือ Grandiose narcissist

Photo Credit: Verywell Mind

แต่ที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือ Covert narcissist หรือ Vulnerable narcissist ซึ่งมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันออกไป เพียงแต่สังเกตยากกว่า และอาจอันตรายได้ หากคนประเภทนี้เป็นคนใกล้ชิดและกำลัง Gaslight เราโดยไม่รู้ตัว

Covert นั้นหมายถึง ‘หลบซ่อน’ และ ‘แอบแฝง’ ดังนั้น Covert narcissist จึงแปลแบบตรงตามตัวว่า ‘บุคคลที่หลงตัวเองแบบแอบแฝง’ บุคลิกภายนอกของคนประเภทนี้มักจะดูน่าสงสาร ขาดความมั่นใจในตัวเอง ด้วยเรื่องเล่าจากปากของเขาที่ทุกอย่างฟังดูเลวร้ายไปเสียหมด จนแทบจะไม่พบกับความสุขในชีวิต ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเห็นใจและอยากช่วยเหลือ แต่เมื่อรู้จักกันจริงๆ แล้ว เราจะสังเกตได้ว่าคนๆ นี้ติดอยู่ในมุมมองที่ตัวเองเป็นเหยื่อ คิดเสมอว่าโลกและโชคชะตาคือสิ่งที่ขัดขวางตัวเองจากสิ่งดีๆ ที่ควรจะได้รับ หรือถ้าตนได้รับโอกาสก็จะทำได้ดีกว่าใครอย่างแน่นอน หากเรียกว่ายึดเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลก็คงไม่ผิดนัก

Photo Credit: Hailey Magee

ชุดความคิดนี้ส่งผลให้ Covert narcissist ลดทอนคุณค่าและความพยายามของผู้อื่น ไม่สามารถยินดีกับใครได้อย่างจริงใจ และไม่สามารถรับแม้แต่คำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ (Constructive criticism) แต่ที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คนประเภทนี้จะทำร้ายจิตใจผู้อื่นด้วยการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด (Guilt trip) ทั้งที่คนๆ นั้นไม่ได้ทำผิด นอกจากนี้ยังมีการใช้คำพูดประชดประชัน ในขณะที่ตั้งตนเป็นเหยื่อไปด้วย หากรู้ไม่เท่าทัน ผู้ที่ถูกกล่าวหาก็จะคิดว่าตนเป็นฝ่ายผิดจริง และอาจถูกควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงความคิดอื่นๆ ไปด้วยโดยไม่รู้ตัว

จากที่ได้อธิบายไปข้างต้น เราจะขอสรุปเอาไว้ว่า Covert narcissist มีลักษณะนิสัยดังนี้:

  • Passive aggressive: เวลาที่โกรธหรือโมโหก็จะไม่พูดตรงๆ แต่แสดงออกด้วยการประชดประชัน เอาคืน หรือลงแรงกับข้าวของเล็กน้อยให้รู้ว่าไม่พอใจ เช่น ปิดประตูเสียงดังขึ้น
  • Manipulative: บุคคลจะทำหรือพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชม บิดเบือนคำพูดของตน หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด
  • Insecure: มีความไม่มั่นคงและหวาดกลัวในหลายๆ สิ่ง เช่น กลัวว่าจะคนรักจะนอกใจ กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวการถูกทอดทิ้ง กังวลมากว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตัวเอง
  • มีความอ่อนไหวต่อคำตำหนิสูง แม้จะเป็นคำวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ก็ตาม ผู้ที่มีบุคลิกนี้จะรู้สึกอับอาย โมโห หรือวูบโหวงในใจเป็นอย่างมากเมื่อถูกติ
  • โหยหาการชื่นชมจากผู้อื่นตลอดเวลา จนบางครั้งก็อาจจะโกหกหรือเอ่ยชมโดยหวังว่าจะได้รับคำชมบ้าง
  • บุคลิกดูลึกลับ เก็บตัว เพราะไม่ไว้ใจผู้อื่นและไม่ต้องการให้ใครเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง
  • คบหาผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หากอีกฝ่ายไม่สามารถทำผลกำไรให้ได้ ความสนใจก็จะลดน้อยลง
  • ขี้อิจฉา ต้องการในสิ่งที่ผู้อื่นมี และไม่สามารถยินดีกับใครได้จากใจจริง
  • มีความเห็นอกเห็นใจต่ำ อาจจะมีการช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง แต่ก็เป็นการทำโดยหวังสิ่งตอบแทน ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกว่าตนถูกฉกฉวยผลประโยชน์
  • มักจะคิดว่าคนอื่นๆ อ่อนไหวง่าย หรือแสดงอารมณ์มากเกินไป
  • ติดการโทษผู้อื่นเวลาที่ทะเลาะ หรือมีอะไรไม่ได้ดั่งใจ โดยมองว่าตนเองเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำอยู่เสมอ
Photo Credit: Exploring your mind

ถ้าหากยังคงนึกภาพไม่ค่อยออกว่า Covert narcissist ในชีวิตจริงเป็นอย่างไร ให้ลองจินตนาการว่า A และ B ได้ทำความรู้จักกันเป็นครั้งแรก A เล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟังหลายอย่าง เช่น ครอบครัวมีแต่คนที่ไม่รักและไม่ใส่ใจเขา ถูกเพื่อนแบนออกจากกลุ่ม คนรักเก่าทิ้งไปแบบไม่มีเหตุผล ฯลฯ ทำให้ B รู้สึกสงสารและอยากจะเป็นกำลังใจให้ จึงเริ่มพูดคุยกันบ่อยขึ้น เกิดเป็นความรัก จนตกลงเป็นแฟนกัน แต่เมื่อคบหากันไปเรื่อยๆ B ก็รู้สึกไม่ดีกับพฤติกรรมบางอย่างของ A อย่างเวลาที่ B ได้รับความสนใจ มีแต่ผู้คนห้อมล้อม A ก็จะพูดประชดว่า “คนอย่างเธอนี่ถ้าขาดความสนใจก็คงอยู่ไม่ได้สินะ” และ “อยู่กับคนพวกนั้นน่าจะสนุกกว่าอยู่กับคนแบบฉัน” ทำให้ B รู้สึกผิดที่ละเลยและกลับมาแยกตัวอยู่กับ A พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยเข้า B ก็กลายเป็นคนที่ไม่เข้าสังคมไปโดยปริยาย เพราะไม่อยากปล่อยให้ A อยู่คนเดียว นอกจากนี้ A ยังมีนิสัยชอบควบคุมการกระทำหลายๆ อย่างของ B และแทบทุกครั้งที่ทะเลาะกัน A ก็จะพูดว่า B อ่อนไหวมากเกินไป จน B เชื่อว่าตนเป็นคนอ่อนไหวง่ายจริงๆ – นี่คือตัวอย่างของความสัมพันธ์ Toxic ที่ Covert narcissist เป็นคนสร้างขึ้น โดยทำลายสภาวะจิตใจของคนรักทีละนิด ในแบบที่ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

Photo Credit: Medium

Otto F. Kernberg เคยกล่าวเอาไว้ว่า ความหลงตนเองนั้นมาจากการที่บุคคลถูกเลี้ยงดูอย่างละเลยในวัยเด็ก ไม่ค่อยได้รับความผูกพันทางอารมณ์กับผู้เลี้ยงดู ส่งผลให้ขาดความรัก ความอบอุ่น บุคคลจึงจะรู้สึกว่าตนถูกปฏิเสธ ดังนั้น เขาจึงพัฒนาบุคลิกนี้ขึ้นเพื่อปกป้องตนเองจากความรู้สึกสูญเสีย การถูกทอดทิ้ง และการมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ ผู้ที่มีบุคลิกหลงตัวเองจะไม่ไว้ใจใครนอกจากตนเอง และคอยหาสิ่งต่างๆ มาเพิ่มความรู้สึกว่าตนมีคุณค่า เพื่ออุดช่องโหว่ที่กว้างขวางเพราะความหวาดกลัวให้เติมเต็ม

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆ คนคงจะสังเกตได้ว่า Covert narcissist คือคนที่ไม่มีความสุข ซึ่งเป็นจริงดังนั้น หลายครั้ง ผู้ที่มีบุคลิกหลงตัวเองก็มีอาการของโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวลร่วมด้วย

ถึงอย่างนั้น หากเราสังเกตได้ว่ากำลังถูกคนหลงตัวเองเอาเปรียบ เราก็ควรบอกกับตัวเองว่า “ความสุขของเขาไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา” และถอยออกมาจากความสัมพันธ์ แต่แน่นอนว่าการตีตัวออกหากก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ควรจะระมัดระวังก็คือ เราไม่ควรจะประจันหน้ากับเขาและบอกว่า “เธอมันหลงตัวเอง” โดยตรง เพราะ Covert narcissist อ่อนไหวต่อคำตำหนิเป็นอย่างมาก พูดไปก็มีแต่จะผลักให้ทุกอย่างแย่ลง และอาจทำให้การสวมหน้ากากนั้นแนบเนียนกว่าที่เคยเป็นมา

Photo Credit: hotcore.info

ถ้าหากว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ยังจำเป็นต้องคงความสัมพันธ์เอาไว้ สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ ‘สื่อสารออกไปอย่างใจเย็น’ ด้วยการพยายามไม่แสดงอารมณ์ตอนที่พูดคุยหรือต้องการชี้ว่าฝั่งคนหลงตัวเองทำผิดอย่างไร ควรใช้ประโยคที่มีลักษณะ “ฉันรู้สึกว่า…” แทนการพูดว่า “เธอผิด” เช่น “ฉันรู้สึกเสียใจนะ ที่เธอพูดคำนั้นออกมา” หรือในกรณีที่รู้สึกว่าต้องแยกตัวออกจากคนๆ นี้แล้ว การค่อยๆ ลดเวลาที่ใช้ร่วมกันและโต้ตอบพูดคุยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นก็สามารถช่วยได้ เพียงแค่ต้องใช้อารมณ์ให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้ถูกอีกฝ่ายจับจุดอ่อนและนำตรงนี้มาใช้ประโยชน์ได้ในภายหลัง

สุดท้ายนี้ หากให้สรุปทั้งบทความเป็นหนึ่งประโยคสั้นๆ ก็คงได้ความว่า “คนหลงตัวเอง อาจจะไม่ใช่คนที่เอาแต่ส่องกระจกและชื่นชมตัวเองว่าเหนือกว่าใคร แต่อาจเป็นคนที่เราไม่คาดคิดมากที่สุดก็ได้” ไม่ใช่เพื่อให้รู้สึกหวาดระแวงคนที่อาจจะดูน่าเห็นใจ หรือเพื่อให้ชี้นิ้วบอกว่าใครเป็น Covert narcissist แต่เพื่อให้ตระหนักและรู้จักกับบุคลิกนี้มากขึ้น จะได้มีแนวทางในการหาวิธีรับมือที่เหมาะสม หรือถ้าใครรู้สึกว่าได้รับผลกระทบจากคำพูดและการกระทำของคนประเภทนี้มากจนเกินไป การเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะสามารถช่วยได้ อย่างน้อยก็เพื่อให้เรารักตนเองและผู้อื่นอย่างถูกวิธี Healthy แถมยังไม่เป็นพิษ

อ้างอิง

Croot, V., Griffiths, E., Hansen, W., Miles, G., Powell, B. B., & Segal, R. A. (2012). Narcissism. In S. Deacy (Ed.), 30-Second Mythology (pp. 140–141). essay, The IVY Press.

Grenyer, B.F.S. (2013). Historical overview of pathological narcissism. In J.S. Ogrodniczuk (Ed.), Understanding and treating pathological narcissism. Washington, DC: American Psychological Association, p.15-26

สุธาสินี ใจสมิทธ์. (2010). อิทธิพลของความหลงตนเอง รูปแบบความรักแบบเล่นเกม และการกระตุ้นลักษณะเน้นความสัมพันธ์ต่อการผูกมัดในความสัมพันธ์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

The Genius

Mayo Clinic