เมื่อโควิดเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้ทุกคนสามารถทำงานจากบ้านหรือที่ไหนก็ได้ทั่วโลก เกิดเป็นเทรนด์ใหม่ของมนุษย์ทำงานออนไลน์ที่เปลี่ยนการเข้าออฟฟิศ เป็นการเดินทางไปเลือกห้องทำงานตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ Digital Nomad นั่นเอง
กระแส Digital Nomad ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมันเป็นการใช้ชีวิตของหลายคนทั่วโลก ที่เลือกการทำงานทางไกล (Remote Working) พร้อมทั้งเดินทางท่องเที่ยวไปด้วย ซึ่งพวกเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า ทำงานจากที่ไหนก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลงานออกมาได้ดีเช่นกัน ในช่วงของการระบาดของโควิดทำให้คนทำงานออฟฟิศถูกปรับให้ทำงานจากบ้านอยู่หลายเดือน สำหรับคนที่รักการเดินทางท่องเที่ยว การย้ายห้องทำงานมา Work From Home ที่บ้านบนเกาะ บนภูเขา หรือที่ใหม่ๆ ที่ขอแค่มีอินเตอร์เน็ตเข้าถึง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และสนองตอบความโหยหาประสบการณ์การเดินทางได้อีกด้วย
Photo by Avi Richards
ส่วนตัวผู้เขียนในฐานะพนักงานออฟฟิศในกรุงเทพฯ ไม่เคยคิดว่าปีนี้ชีวิตการทำงานจะได้แบกคอมโน๊ตบุคมานั่งทำงาน ในคาเฟ่เล็กๆ ริมทะเลที่เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี แบบใช้ชีวิตอยู่จริงจังนานนับเดือน ซึ่งการระบบทำงานไม่ได้เปลี่ยนไปจากการทำงานที่บ้านจริงๆ ของตัวเองเลย แต่การมา Work From Koh (เกาะ) มันให้ประสบการณ์การใช้ชีวิตผสมผสานประสบการณ์ท่องเที่ยวได้แบบเต็มที่ สำหรับใครที่สนใจลองมาดูกันว่าสถานที่ไหนบ้างของโลก ที่เหมาะแก่การทำงานแบบ Digital Nomad สำหรับคนรักแสงแดด สายลม และคลื่นทะเล
1. หมู่เกาะบาร์เบโดส
Photo by Scot Goodhart
หมู่เกาะทรายขาวอันสวยงามกลางทะเลแคริบเบี้ยน ที่เปิดโอกาสให้คนทำงานออนไลน์ทั่วโลกได้เข้ามาอาศัยอยู่แบบวีซ่าฟรีถึง 12 เดือน ทำให้คอมมูนิตี้ของเหล่า Digital Nomad ใหญ่ขึ้นเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายสายอาชีพ ที่มาใช้ชีวิตทำงานที่รายล้อมไปด้วยทะเล แสงแดด และธรรมชาติอันสวยงาม
2. ทะเลชายฝั่งโออาซากา ประเทศเม็กซิโก
Photo by Lorraine Mojica
โออาซากา (Oaxaca Coast) คือชายฝั่งติดทะเลมหาสมุทรแปซิฟิคแถบตอนใต้ของประเทศเม็กซิโก ที่ตั้งของหลากหลายเมืองติดทะเลเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติของภูเขาและทะเล อีกทั้งยังห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ให้บรรยากาศที่นี่สงบ ชิล และสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติได้อย่างแท้จริง
3. ซานตาเทเรซา ประเทศคอสตาริกา
Photo by Selina Bubendorfer
สำหรับผู้รักในการเซิร์ฟ ที่หาดซาตาเทเรซา (Santa Teresa) คุณจะได้ทั้งทำงานและลงโต้คลื่นทุกวันแบบจุใจ ในตัวเมืองซาตาเทเรซายังเป็นแหล่งรวมของนักท่อง, แบ็คแพคเกอร์, และเหล่าฮิปปี้ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เหมาะสำหรับคนรักความสะดวกสบายแต่ยังคงได้บรรยากาศของธรรมชาติอยู่
4. บาหลี ประเทศอินโดนิเซีย
Photo by Ern Gan
เกาะที่ให้ทั้งความสวยงามของธรรมชาติและเต็มไปด้วยความน่าสนใจของศิลปะวัฒนธรรม ที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทย ด้วยค่าครองชีพที่ถูกทำให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของ Digital Nomad จากไทยที่ไปใช้ชีวิตกับทะเล ภูเขา บ้านเมืองสไตล์บาหลี และผู้คนโลคอลที่น่ารัก
5. กัว ประเทศอินเดีย
Photo by Steph Smith
กัว (Goa) เมืองติดชายฝั่งแถบตะวันตกของประเทศอินเดีย เมืองติดชายทะเลเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมโปรตุเกสที่ผสมผสานกับวิถีชีวิตของเหล่าผู้คนผู้นับถือศาสนาคริสต์ พุทธ และพราหมณ์-ฮินดูได้อย่างลงตัว ตัวเมืองที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ และความชิลสไตล์เมืองติดทะเล บวกค่าครองชีพที่ถูกทำให้ Digital Nomad หลายคนที่ชอบอินเดีย เลือกเมืองนี้เป็นห้องทำงานอยู่เสมอ
6. ทากาเซาท์ ประเทศโมร็อกโก
Photo by Louis Hansel
ทากาเซาท์ (Taghazout) เมืองติดทะเลแถบตะวันตกของโมร็อกโก ด้วยความที่ไม่ใช่เมืองฮิตสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้ทากาเซาท์เป็นเมืองสงบเงียบทอดตัวยาวไปกับชายฝั่งสวยๆ ของทะเลเมติเตอร์เรเนียน มาพร้อมคาเฟ่สำหรับทำงานตลอดชายหาด
7. เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน
Photo by Marc Tiedemann
สถานที่ยอดฮิตของเหล่า Digital Nomad ทั่วโลกในขณะนี้ เกาะเตเนริเฟ (Tenerife) คือเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมูเกาะคานารีของสเปน ด้วยโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นดินและมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เกาะเตเนริเฟมีสภาพอากาศที่เย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนมากตลอดปี พร้อมเมืองเล็กๆ ติดทะเลที่มากับคาเฟ่ทำงานพร้อม Wi-Fi รวดเร็ว ผสมผสานบรรยากาศชิลๆ อาหารเมติเตอร์เรเนี่ยนรสเลิศ ความเท่ของสถาปัตยกรรม และไลฟ์สไตล์สบายๆ ของคนสเปน นั่นทำให้เกาะนี้เป็นจุดหมายการเดินทางมาทำงานของเหล่า Digital Nomad ทั่วยุโรป
8. เคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้
Photo by Quaid Lagan
เมืองที่ตั้งตรงปลายสุดของทวีปแอฟริกา โอบล้อมด้วยมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนด้านหลังมีเทือกเขาสูงเป็นกำแพงธรรมชาติที่งดงาม เมืองของคนทำงานที่สะดวกสบาย พร้อมการพักผ่อนกับธรรมชาติอย่างลงตัว
9. ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม
Photo by Patrick Pellegrini
เมืองติดทะเลขึ้นชื่อของเวียดนามกับการเป็นแหล่งรวมของ Digital Nomad จากทั่วโลก ด้วยความเป็นเมืองเก่าสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ทะเลสวย และอาหารเวียดนามแสนอร่อย บวกค่าครองชีพที่ถูกสุดๆ ทำให้หลายคนเลือกเมืองนี้เป็นบ้านหลังที่สองไปเลย
10. เกาะพะงัน ประเทศไทย
จากที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะแห่งฟูมูนปาร์ตี้ มาในวันนี้เกาะพะงันต้อนรับเหล่าคนทำงาน Digital Nomads ผู้แสวงหาการทำงานท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม และกิจกรรมมากมายที่มีให้เลือกตั้งแต่การปาร์ตี้จนถึงการแสวงหาทางจิตวิญญาณ นอกจากนี้แถบตอนเหนือของเกาะพะงันยังเป็นแหล่งรวมของสายสุขภาพ Wellness กับการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์ต่างๆ อาทิ โยคะ ดีท็อกซ์ และอีกมากมาย ทำให้ตอนนี้เกาะพะงันเป็นหนึ่งในตัวเลือกต้นๆ ของ Digital Nomad ทั้งไทยและต่างชาติที่ทำงานออนไลน์อยู่ในประเทศไทยหลายๆ คน
ภาพจากมุมทำงานของผู้เขียนบทความ
ดูจากรายชื่อเมืองทั้งหมดก็อยากจะแพคกระเป๋ายกโน้ตบุคไปทำงานเกือบทุกที่เลย สำหรับคนรักการเดินทางท่องเที่ยวอย่างเราแล้ว การทำงานทางไกลช่วยตอบโจทก์และสนองความโหยหาการเดินทางได้ และยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับการนั่งทำในออฟฟิศอีกด้วย นอกจากนี้การไปอาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของสถานที่นั้นอีกด้วย ไม่แปลกที่ในอนาคตเราจะเห็นเทรนด์ Digital Nomad เพิ่มมากขึ้น และงานที่เอื้อให้ทุกคนทำงานทางไกลได้มากขึ้นเช่นกัน
ข้อมูลอ้างอิงจาก: https://www.diygenius.com/10-tropical-islands-and-beach-towns-for-digital-nomads/