แอปพลิเคชันหาคู่หรือนัดเดท เป็นสิ่งที่มีในสังคมไทยมานานนับสิบปีแล้ว แต่ในอดีตยังถูกคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นความแปลกแยก เป็นความไม่ปกติที่คนทั่วไปเขาไม่ใช้กัน เชื่อถือไม่ได้ หรือน่ากลัวต่างๆ นานา เพราะอาจจะด้วยข่าวที่มีคนถูกหลอกไปทำเรื่องไม่ดี สิ่งเหล่านี้เลยแทบจะกลายเป็นตัวร้ายของสังคมไปในช่วงหนึ่งเลย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ เรารู้สึกได้ว่ามันทำให้คนจำนวนมากกลับมามองหาเรื่องเหล่านี้เพื่อคอยเติมเต็มด้านความสัมพันธ์กันอีกครั้งและกล้าที่จะเปิดใจใช้มันกันมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคโควิด-19 ที่การออกไปพบเจอกันเป็นเรื่องยาก การหาคู่ผ่านโลกออนไลน์ได้เริ่มกลายเป็นความปกติใหม่ (New Normal) ของความรักความสัมพันธ์ในยุคนี้ แต่ความรู้สึกของเรานั้นจะถูกต้องหรือไม่ เหตุผลอะไรที่ทำให้คนเปิดใจใช้แอปกันมากขึ้น และมันจะกลายไปเป็นอนาคตของคนรุ่นใหม่ได้ไหม เราชวนมาหาคำตอบไปพร้อมกันกับตัวแทนคน Gen Y ทั้ง 5 ได้ที่นี่
คนยุคใหม่โลกส่วนตัวสูง
เหตุผลที่ทำให้ เจ้าเอย อริศรา ตัดสินใจใช้แอป Tinder คือ “ยุคนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่อยู่เฉยๆ แล้วจะเจอความรักได้ หรือถ้าชอบคนไหนแล้วจะเดินเข้าไปขอเบอร์ได้เลย เพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คนมีโลกส่วนตัวสูงมากขึ้น การที่จะเดินไปขอเบอร์หรือไลน์เพื่อทำความรู้จัก อาจทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะตอนเราเจอเราก็คิดแบบนั้น มันทำให้ไม่อยากคุย แต่พอใช้ Tinder เราจะสบายใจ เพราะเลือกปัดซ้ายปัดขวาได้ แล้วค่อยๆ ทำความรู้จักกันไปได้”
เธอบอกอีกว่าแฟนคนปัจจุบันก็ได้มาจากแอปนี้และไม่กลัวที่จะเปิดเผยกับใคร แถมยังพรีเซนท์กับคนรอบข้างอยู่เสมอด้วย เพราะเชื่อว่าการจะเจอคนดีหรือไม่ดีอยู่ที่การเลือกมากกว่า ไม่ต่างจากการหาแฟนในชีวิตจริง แต่อาจจะดีกว่าตรงที่ถ้าไม่โอเคก็แค่ Unmatched สักวันเราจะเจอคนที่มีจุดประสงค์เดียวกับเราอยู่แล้ว และเธอได้ทิ้งท้ายไว้ว่าหลังจากนี้คนจะนิยมแอปหาคู่กันมากขึ้น เพราะช่วงนี้เจอกันยาก ทุกอย่างมันจำกัดไปหมด คนอยู่แต่กับอินเทอร์เน็ต แน่นอนว่ายังไงก็ต้องหาเพื่อนหรือความสัมพันธ์ใหม่ๆ ผ่านช่องทางนี้อยู่แล้ว
ช่องทางหาแฟนต่างอาชีพ
คุณมิ้วที ชาวทวิตเตอร์ท่านหนึ่งที่เราไปพบเจอมา เล่าให้ฟังถึงเหตุผลน่าสนใจที่เธอเลือกใช้แอป Coffee Meets Bagel ว่า เพราะเธอทำงานด้านกฎหมาย ไม่อยากมีแฟนอยู่ในสายงานเดียวกัน ซึ่งแอปนี้โดดเด่นกว่าแอปอื่นๆ ตรงที่ค่อนข้างจะให้แสดงความเป็นเรามากกว่าแค่การลงรูป เช่น ศาสนา ความชอบ อาชีพและทัศนคติ รวมถึงจำกัดคนที่เลือกได้ประมาณวันละไม่เกิน 10 คน/วัน การจะหาคนที่คลิกกันก็ทำได้ง่ายขึ้น เพราะแอปได้สโคปสเป๊กให้ระดับหนึ่งแล้ว และระยะเวลาที่จะคุยกับคนที่เรา match ได้มีแค่ 30 วันเท่านั้น ถ้าถูกใจจะต้องแลกช่องทางติดต่ออื่นเพิ่มเติม
“เราชอบการใช้แอปพลิเคชันหาคู่เดทมากกว่าการหาคู่ในสังคมเดียวกัน เพราะทำให้เจอสังคมและคนที่หลากหลาย และเจอคนที่ชอบในสิ่งเดียวกันได้ง่ายขึ้นด้วย ส่วนตัวคิดว่ายุคนี้ถ้าใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ทำให้โอกาสที่จะเจอคนในชีวิตประจำวันมีน้อยลง และพอมีโควิดเข้ามา การออกจากบ้านยากกว่าเดิม คนก็ต้องพึ่งพาโลกออนไลน์มากขึ้น อย่างเพื่อนเราก็ใช้แอปในการเดทเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย”
ตัวช่วยของคนขี้อาย
ด้านคุณสนุ๊ก นักศึกษาชั้นปี 4 ที่ใช้แอปหาคู่มาสักพัก ร่วมแชร์ประสบการณ์ว่า “แอปหาคู่อย่าง Tinder ค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะว่าเราเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าเข้าหาใครก่อน เวลาออกไปข้างนอกก็จะไม่ได้สนใจใคร ใช้ชีวิตอยู่แค่หอ มหา’ลัย และกลุ่มเพื่อน เราคิดว่าแอปมันทำให้คนไม่มีความกล้าได้เปิดโลกกว้าง”
คนรอบข้างเราใช้แอปเหมือนกัน และหลายคนก็ได้แฟนจากในนี้ เขาเปิดใจกันมากขึ้นแล้ว แม้จะยังไม่ได้เต็มร้อย แต่มันก็ขยับขึ้นไปอย่างน้อยก็ทีละ 1% ทำให้แอปหาคู่ไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคม ยิ่งช่วงนี้คนก็ใช้กันเยอะขึ้น เพราะอาจจะเป็นเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยี ในช่วงโควิดที่คนเหงาๆ ไม่ได้ออกไปไหน มันเลยยิ่งตอบโจทย์มากขึ้น แต่ถ้าให้ดีคิดว่าควรมีฟังก์ชัน Video Call เพื่อให้เห็นหน้ากันได้ เพราะว่าการจะให้ไปขอ IG Facebook Line หรืออื่นๆ มันก็จะเจาะจงเกินไปหน่อย ถ้าทำให้จบได้ในแอปจะดีมาก เผื่อถ้าวันหนึ่งรู้สึกว่าไม่ใช่จะได้ Unmatched คุยได้สะดวกใจกว่า
ก้าวข้ามขีดจำกัดของ Beauty Standards
คุณ N ผู้หญิงวัยสามสิบต้นๆ ที่ได้แฟนจาก Tinder และแต่งงานกันมาสักพักแล้ว เล่าว่า “ปกติเราเป็นคนที่ไม่มั่นใจในหน้าตาตัวเองเลย และก็ไม่ค่อยกล้าที่จะเข้าไปจีบคนอื่นก่อน ต้องรอให้คนอื่นเข้าหา เพราะเราไม่ใช่ Beauty standards มันก็เลยจะน้อยมากเลยที่มีคนเข้ามาหาเราอ่ะ แอป Tinder นี่แหละที่เป็นทางออกให้กับเรา เพราะอย่างน้อยรูปมันก็แต่งได้ (หัวเราะ)”
ถ้าพูดถึงการเปิดรับ เรารู้สึกว่าเพื่อนเราวัย 30 กว่าก็เปิดรับกันมาก ยิ่งเราเล่าให้เขาฟังว่าเราเจอกับแฟนแบบไหน เขาก็สนใจ และตอนนี้เพื่อนก็ได้แฟนต่างชาติเพราะเราไปแล้ว และในอนาคตมันก็จะเป็นแบบนี้ไปอีกเรื่อย ๆ อยากให้หลายคนเปิดใจ เพราะว่าประเทศอื่นเขาก็ใช้แอปหาคู่เหมือนกัน “บอกตรงๆ ว่าคนทำงานน่ะ จะมีเวลาไหนหาแฟนหรือไปออกเดท เราคิดว่าถ้าคุณลองเปิดใจให้แอป มันก็จะเป็นตัวช่วยได้ดี อย่างน้อยถ้าไม่ได้แฟนก็จะได้เพื่อนใหม่เยอะมาก อย่างเราได้เพื่อนหลากหลายอาชีพมาก ซึ่งมันดีกับการทำงาน เช่น มีเพื่อนเป็นทนาย โปรแกรมเมอร์ต่างชาติที่เขียนเกม Ragnarok และเจ้าของฟาร์มหมา ซึ่งในชีวิตจริงคงหาไม่ได้”
แอปหาคู่คือด่านแรกของการทำความรู้จัก
ปิดท้ายด้วยคุณเจ้าของทวิต @YipeeTweet เธอเล่าว่าแอป Coffee Meets Bagel มีจุดเด่นในการตลาดที่สื่อถึงความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แค่ข้ามคืน กลุ่มคนที่เล่นล้วนมีความจริงจังในการจะเปิดโอกาสพูดคุยให้ตัวเอง และค่อนข้างคัดกรองคนที่อยากได้รับความสัมพันธ์ระยะยาวได้ดีกว่า Tinder มันทำให้เธอสนใจและตัดสินใจเลือกเล่น เพราะไม่มีเวลาออกไปพบปะผู้คนหรือพูดคุยกับใคร จึงอยากหาเพื่อนคุย นัดเดทดูไลฟ์สไตล์ หรือเรียนรู้อาชีพใหม่ๆ ซึ่งแฟนคนปัจจุบันที่คบกันมา 1 ปีแล้วก็ได้มาจากที่นี่ และเริ่มอยู่ในจุดที่คิดถึงอนาคตร่วมกัน
“คนรอบตัวที่เริ่มคบกับแฟนในช่วง New Normal ก็รู้จักกันผ่านแอปหาคู่ทั้งนั้น แล้วมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าคนใช้แอปหาคู่และเปิดใจเล่นเยอะขึ้นมาก เรายินดีถ้าจะ Normalize ให้คนไทยเจอความสัมพันธ์ดีๆ รู้จักกันผ่านแอปก่อนเจอกัน เพราะคิดว่าแอปหาคู่จะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีในการให้คนสองคนที่ไม่มีโอกาสได้เจอใครได้มาเจอกัน ยิ่งในช่วงโรคระบาดที่การเจอกันเป็นเรื่องยาก การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีก็ยากขึ้นด้วย ยังไงในช่วงแรกคงต้องพึ่งพาแอปก่อน แล้วค่อยออกเดทหรือพูดคุยทำความรู้จักกัน เพราะการเจอกันจริงในชีวิตประจำวันก็ยังคงสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ไลฟ์สไตล์ของอีกคน”
จากการที่ได้พูดคุยกับทุกคนในครั้งนี้ เราคิดว่าเข้าใจไม่ผิดที่แอปหาคู่คืออนาคตของการพัฒนาความสัมพันธ์ของคนยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เป็นขั้นตอนของการทำความรู้จักก่อนจะออกเดทหรือสานความสัมพันธ์กันต่อ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 คนฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่อยากลองใช้แอปดูว่า ให้ใช้อย่างมีสติ และควรคุยกันให้รู้จักกันในระดับหนึ่งก่อนแล้วถึงค่อยนัดเดท อย่าใจร้อนหรือลงเชื่ออะไรง่ายเกินไป เพราะทุกที่มีทั้งคนดีและไม่ดี
“เมื่อเวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน การใช้แอปหาคู่ก็คือความปกติของสังคม ถ้ายังไม่เคยใช้ก็แค่เปิดใจลอง เผื่อความสัมพันธ์ที่คุณกำลังตามหาจะซ่อนอยู่ในแอปใดแอปหนึ่งก็ได้“