มิสแกรนด์ 2020 ตัวแทนสาวงามที่ต้องกล้ายืนหยัดอยู่บนสองเวที!
“นับจากนี้ทุกพื้นที่มีแต่แกรนด์” เวทีที่สร้างสีสันและความแตกต่างให้วงการนางงาม พลิกโฉมการเดินโชว์แบบชดช้อยอย่างที่เรามีภาพจำในอดีต สาวงามที่สวมใส่ชุดด้วยความตระการตา ท่วงท่าการเดินแบบจิกขาสับอย่างมีจริต และการแนะนำตัวที่มีเอกลักษณ์ แค่สาวงามเอ่ยปากแนะนำตัวล่ะก็รู้เลยว่าเป็นสาวงามจากเวทีไหน นี่แหละถือว่าเป็น Highlight ของเวทีนี้เลย
มิสแกรนด์….ระนอง! ต่อให้ใครไม่เป็นสายนางงาม ถ้าเสียงขึ้นต้นการแนะนำตัวขนาดนี้ ก็ต้องรู้แล้วได้แล้วว่านางงามคนนี้เฉิดฉายมาจากเวทีไหน “Miss Grand Thailand 2020” เวทีเฟ้นหาสาวงาม ทัศนคติดีจาก 77 จังหวัด เพื่อไปเป็นตัวแทนในการแข่ง “Miss International 2020” ในนามตัวแทนของประเทศไทย ซึ่งในปีนี้ ได้ตัวแทนคนสำคัญจากจังหวัดระนองอย่าง “น้ำ พัชรพร จันทรประดิษฐ์” ที่คว้ามงกุฎไว้ได้อย่างอยู่มัด ด้วยการตอบคำถามที่มัดใจกรรมการ และสร้างเสียงฮือฮาให้กับคนในงานเป็นอย่างมาก
ทาง EQ มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับน้ำ เธอเล่าให้ฟังว่า “ทุกครั้งที่ยืนอยู่บนเวทีแล้ว โอกาสนั้นเป็นของเรา เราสามารถแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เพราะตรงนี้คือพื้นที่ของเรา จะสังเกตได้จากการแนะนำตัวของแต่ละจังหวัดมันมีเอกลักษณ์ แล้วแต่ว่าใครจะสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็นรูปแบบไหน ถ้าพี่เคยดูมิสแกรนด์ก็จะเห็นจริงๆ ว่ามันแตกต่างจากเวทีอื่น (หัวเราะ) น้ำเชื่อว่าที่เราจะมาเป็นนางงามในปัจจุบันได้ก็ต้องเป็นตัวของตัวเองให้คนจำในแบบที่คุณเป็น นี่แหละคือเอกลักษณ์และเสน่ห์ของความเป็นแกรนด์” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับความปลื้มปิติ เพราะในฐานะเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสจนมาเป็น “น้ำ พัชรพร” แบบที่เราได้ยลโฉมทุกวันนี้ เวทีมิสแกรนด์ก็ยังถือเป็นเวทีแรกที่เธอได้ย่างกายเข้ามาคลุกคลีกับวงการนางงามอีกด้วย
เธอเริ่มเล่าย้อนไปตั้งแต่ปี 2019 ที่ตอนนั้นเธอมีโอกาสได้ประกวดมิสแกรนด์เป็นครั้งแรก มีพี่เลี้ยงเดินเข้ามาชักชวนในขณะที่เธอกำลังยืนทำงานพาร์ทไทม์อยู่ เธอไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนกันที่จู่ๆ กลุ่มพี่เลี้ยงถึงหยิบยื่นโอกาสให้เธอ แต่ก็คงเป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี เพราะตอนนั้นในสายตาพี่เลี้ยงของเธอลงความเห็นกันแล้วว่าเธอเป็นหน่วยกล้าตายที่ใช่ในเวลานั้น นั่นถือเป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาเดินสายประกวดมิสแกรนด์ แต่ไม่ใช่ในนามจังหวัดระนองอย่างที่ทุกวันนี้เราได้เห็นกันหรอก เพราะมันเริ่มจากการที่เธอเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ประกวดของมิสแกรนด์จังหวัดสุราษฎ์ธานี แต่แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของจังหวัดสุราษฎ์ธานี ทำให้ในปี 2020 พี่เลี้ยงก็ได้เตรียมการส่งเธอเข้าประกวดใหม่ เธอจึงได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของมิสแกรนด์จังหวัดระนองเพื่อเข้าไปร่วมประกวดเวทีระดับประเทศอย่างมิสแกรนด์ไทยแลนด์ สำหรับเธอแล้วบนเวทีระดับประเทศขนาดนี้นับว่าเป็นความตื่นเต้นครั้งยิ่งใหญ่ของเธอ เพราะมันคือสิ่งใหม่ที่เธอจะได้เรียนรู้และได้ลองไปพร้อมๆ กัน เธอเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นให้เราฟังว่า “เป็นครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสเดินขบวนพาเหรด เป็นของสวยๆ งามๆ ทั้งชุดประจำจังหวัด ชุดราตรี และชุดว่ายน้ำ อีกทั้งตัวของน้ำเองไม่เคยได้ประกวดอะไรที่เกี่ยวข้องกับความสวยงามมาก่อนด้วย พอน้ำได้รับโอกาสในตรงนี้แล้วก็อยากทำให้เต็มที่”
ไม่ว่าจะด้วยความสวย หรือความงาม แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันจนทำให้เธอชนะ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องทัศนคติอยู่ดี เครื่องยืนยันที่ทำให้เธอได้เข้ามาเป็นผู้ชนะในเวทีระดับประเทศได้ คือ การตอบคำถามให้รวบรัดและโดนใจภายใต้ข้อจำกัดของเวลาเพียง 30 วินาทีเท่านั้น เธอเสริมเพิ่มเติมว่า “เวลาเพียงแค่ 30 วินาที มันไม่สามารถลงรายละเอียดอะไรได้เลย ดังนั้น เราจะต้องสรุปออกมาให้สั้นและได้ใจความที่สุด”
ตัดภาพมาทีในวันที่ 19 กันยายน 2020 เสียงแนะนำตัวของมิสแกรนด์เอื้อนเอ่ยอย่างชัดแจ๋วบนเวทีเพื่อหวังจะได้รับชัยชนะเป็นมงกุฏที่จรดบนหัวอย่างงดงาม ในขณะที่โลกคู่ขนานภายนอกก็ยังมีประชาชนที่พยายามจะเปล่งเสียงเพื่อร้องขอประชาธิปไตยให้หวนคืน โลกคู่ขนานที่ดำเนินไปพร้อมๆ กัน สองเวทีที่มีสายเลือดของนักสู้ แต่แสดงออกด้วยวิธีที่ต่างกัน ซึ่งทำให้เห็นเลยว่าเวทีนี้ไม่ได้เฟ้นหาเพียงแค่สาวงาม ทัศนคติดี แต่กำลังเมียงมองผู้หญิงที่เข้ามาเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้กับประชาชน และเป็นตัวแทนในฐานะสาวไทยที่จะโบยบินไกลระดับโลกได้ ครั้งนี้เราได้ “น้ำ พชรพร” สาวงามจากการประกวดที่ชนะใจกรรมการได้อย่างอยู่มัด ด้วยทัศนคติของการตอบคำถามที่แข็งกร้าว กับคำตอบที่ทรงพลัง
ในคำถามที่ว่า “จากสถานการณ์ของผู้ชุมนุมขณะนี้ส่อเค้าความรุนแรงยิ่งขึ้น หากคุณมีโอกาสได้พูดคุยอยากจะพูดกับฝ่ายใด ระหว่างผู้ชุมนุม หรือรัฐบาล และพูดอะไรเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น”
“จากใจนะคะ ขอเลือกฝ่ายชุมนุมค่ะ เพราะว่าเรามีสิทธิ์มีเสียงในการแสดงความคิดเห็น และเราอยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติของเราค่ะ มากกว่านั้น อยากจะบอกรัฐบาลด้วยนะคะว่า If you calling this country a Thailand, We need real democracy. And more over, we need you to get out of the country!"
เรียกได้ว่าคำตอบจากเวทีนางงาม สะเทือนไกลไปอีกเวทีหนึ่งของท้องสนามหลวง ขณะนี้สาวงามไม่เพียงแต่รับบทเป็นนางงามอีกต่อไป เธอให้สิทธิ์ตัวเองในฐานะประชาชนคนหนึ่งในการออกสิทธิ์ออกเสียงของตัวเองโดยร้อยเรียงผ่านคำตอบ ในวินาทีนี้ บนเวทีแห่งนี้ ทุกสายตาที่กำลังจดจ้องมาที่เธอบนเวที พร้อมกับสปอตไลท์ที่ฉายมาที่เธอเพียงผู้เดียว บนเวทีแห่งนี้เธอคือผู้ที่สามารถออกสิทธิ์ออกเสียงได้มากกว่าคนอื่น ทุกคำที่เธอเปล่งออกมา ทุกเสียงที่เธอกำลังตะโกน ไม่เพียงแต่เป็นประชาชนคนธรรมดาอีกต่อไป แต่ตอนนี้เธอได้กลายมาเป็น “ตัวแทนประชาชน” ไปเสียแล้ว
เราจึงมีโอกาสได้คุยกับเธอถึงเรื่องการเมืองอยู่นิดหน่อย ทำให้เธอสะท้อนภาพบางอย่างของความเป็นตัวเองออกมา เธอเล่าให้ฟังว่า “สำหรับน้ำเอง การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ถ้าหากคุณยังเป็นคนหนึ่งที่ยังต้องจ่ายภาษี ถ้าคุณยังใช้การขนส่งและคมนาคม ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในประเทศไทยนั่นแหละคือเรื่องของประชาชน เพราะว่าเมื่อไรที่เราพูดไม่ได้ เราจะเรียกประชาธิปไตยได้ยังไง ต่อให้วันนี้น้ำไม่ได้ประกวดนางงาม น้ำก็ยังเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ต้องจ่ายภาษีอยู่” ซึ่งเธอยังแอบแชร์ให้ฟังอีกว่า “ในการประกวดครั้งนี้ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดเลย ซึ่งก็คือตอนที่เราได้รับรางวัล แล้วเราก็ต้องหักค่าภาษี ซึ่งน้ำมองว่า ถ้าหักภาษีฉันแล้ว เงินที่หักไปก็ควรจะต้องนำไปพัฒนาประเทศชาติต่อ”
เราเล่าให้น้ำฟังว่าตอนนี้มีกระแสเรียกร้องให้คนดังออกมา Call Out น้ำรู้สึกยังไง “สำหรับน้ำแล้ว น้ำเข้าใจเขานะ แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจหนูเข้าใจคนที่เขากลัวเรื่องการเสียผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วถ้าเราเสียสักคนแล้วทั้งประเทศมันดีขึ้น ผลลัพธ์อันไหนมันดีกว่า” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นว่า “จะลืมไม่ได้เลย เพราะต่อจากรุ่นเราไป ยังมีรุ่นลูกรุ่นหลานของเราอยู่ ซึ่งทุกคนรักผลประโยชน์ของตัวเองจนลืมผลประโยชน์ของสังคมไปเลย ถ้าเราออกมาพร้อมกันทั้งหมดเพื่อมาสู้เพื่อประเทศของเรา อันนี้ดีที่สุดนะ มีคนเคยบอกน้ำเหมือนกันว่าทำไมไม่เป็นกลาง น้ำก็บอกเขาไปนะว่าถ้าปัญหามันอยู่หลุมซ้าย คุณจะไปอุดหลุมซ้าย หรืออุดหลุมตรงกลาง ถ้าปัญหาอยู่ตรงไหนเราก็แค่แก้มันให้ถูกจุดเท่านั้นเอง”