ได้ย้ายมาเสริมแนวรับของ 'เจ้าสโมสรยุโรป' จากฤดูกาลก่อนอีกหนึ่งราย สำหรับ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล กองหลังทีมชาติโครเอเชีย ซึ่งได้โบกมืออำลา แอร์เบ ไลป์ซิก เพื่อย้ายไปซบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวสูงถึง 90 ล้านยูโร หรือถ้าคิดเป็นเงินสกุลปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษจะอยู่ที่จำนวน 77 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 3,400 ล้านบาทเลยทีเดียว
ทำให้ดาวเตะวัย 21 ปีได้ขึ้นแท่นเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกไปด้วยเลย หากคิดเป็นเงินสกุลยูโรตามที่นิยมใช้กันในทวีปยุโรป เพราะจะทุบสถิติเดิมของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังทีมชาติอังกฤษเมื่อตอนที่ย้ายจาก เลสเตอร์ ไปร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2019 ด้วยค่าตัว 87 ล้านยูโรนั่นเอง แต่ถ้าคิดเป็นเงินสกุลปอนด์สเตอร์ริงของอังกฤษจะทำให้ แม็คไกวร์ ยังคงเป็นเจ้าของสถิติกองหลังค่าตัวแพงที่สุดต่อไปเหมือนเดิม เพราะว่าย้ายมาร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อ 4 ปีก่อนด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์นั่นเอง
ดังนั้นจึงขออ้างอิงตัวเลขเป็นเงินสกุลปอนด์สเตอร์ริงของอังกฤษ เนื่องจากเงินปอนด์มีมูลค่าคงที่มากกว่าเงินยูโร ซึ่งมีความผันผวนตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในตลาดโลกแบบต่อเนื่องเลย เพราะว่า 1 ยูโรเคยมีอัตราแลกเปลี่ยนเกิน 40 บาทไทยเมื่อช่วงหลายปีที่แล้ว ก่อนที่มูลค่าจะลดลงจนมาอยู่ที่ต่ำกว่า 40 บาทมาหลายปีแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนเงินจำนวน 1 ปอนด์ยังคงมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ราวๆ 44 บาทมานานหลายปีแล้วด้วย จึงสามารถอ้างอิงได้ว่า แม็คไกวร์ ยังคงรั้งอันดับ 1 ในฐานะกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกลูกหนังด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 3,520 ล้านบาท แม้ว่าตอนนี้จะต้องแปรสภาพกลายเป็นเพียงแค่ตัวสำรองของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ กวาร์ดิโอล จึงต้องตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยค่าตัว 77 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 3,400 ล้านบาท ส่วนอันดับ 3 เป็นของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กองหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์เมื่อตอนที่ย้ายจาก เซาแธมป์ตัน ไปร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ในปี 2018 ด้วยค่าตัวที่เคยเป็นสถิติแพงที่สุดในโลกมาก่อนสูงถึง 75 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 3,300 ล้านบาทนั่นเอง ไปต่อกันที่อันดับ 4 นั่นก็คือ ลูกาส์ แอร์กน็องเดซ กองหลังทีมชาติฝรั่งเศสเมื่อตอนที่ย้ายจาก แอตเลติโก มาดริด ไปร่วมทัพ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2019 ด้วยค่าตัว 72 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 3,168 ล้านบาท และยังคงเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่ย้ายไปค้าแข้งในศึกบุนเดสลีกาด้วยค่าตัวแพงที่สุดต่อไปด้วย
ตามมาด้วยอันดับ 5 นั่นก็คือ เวสลีย์ โฟฟาน่า กองหลังทีมชาติฝรั่งเศสเมื่อตอนที่ย้ายจาก เลสเตอร์ ไปร่วมทัพ เชลซี ในปี 2022 ด้วยค่าตัว 70 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 3,080 ล้านบาท สำหรับอันดับ 6 เป็นของ มัทไธจ์ส เดอ ลิกท์ กองหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์เมื่อตอนที่ย้ายจาก อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปร่วมทัพ ยูเวนตุส ในปี 2019 ด้วยค่าตัว 67.5 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 2,970 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 7 เป็นของ รูเบน ดิอาส กองหลังทีมชาติโปรตุเกสเมื่อตอนที่ย้ายจาก เบนฟิก้า ไปร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2020 ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 2,860 ล้านบาท
ส่วนอันดับ 8 เป็นอีกหนึ่งสถิติของ มัทไธจ์ส เดอ ลิกท์ กองหลังชาวดัตช์เมื่อตอนที่ย้ายจาก ยูเวนตุส ไปร่วมทัพ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2022 ด้วยค่าตัว 62 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 2,728 ล้านบาท ไปต่อกันที่อันดับ 9 เป็นของ อัชราฟ ฮาคิมี่ แบ็กขวาทีมชาติโมร็อกโกเมื่อตอนที่ย้ายจาก อินเตอร์ มิลาน ไปร่วมทัพ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในปี 2021 ด้วยค่าตัว 60.2 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 2,648 ล้านบาท และปิดท้ายด้วยอันดับ 10 นั่นก็คือ เจา คันเซโล่ แบ็กขวาทีมชาติโปรตุเกสเมื่อตอนที่ย้ายจาก ยูเวนตุส ไปร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2019 ด้วยมูลค่า 60 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 2,640 ล้านบาท
นี่คือ 10 กองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในวงการลูกหนังโลก หากเอ่ยถึงผู้เล่นในแนวรับตามตำแหน่งของ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ รวมถึง แบ็กซ้าย และ แบ็กขวา ด้วยเช่นกัน เพื่อต้อนรับ กวาร์ดิโอล ซึ่งได้ตบเท้าเข้าสู่ 10 อันดับแรกไปด้วยเลย หลังจากที่เซ็นสัญญาค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นเวลานานถึง 5 ปีเลยทีเดียว แต่ต้องรั้งอันดับ 2 หากอ้างอิงค่าตัวตามมูลค่าของเงินสกุลปอนด์สเตอร์ริง เพราะเป็นรองแค่ แม็คไกวร์ ในฐานะอันดับ 1 เพียงคนเดียวเท่านั้น
'กวาร์ดิโอล' เสริมแนวรับ 'เรือใบสีฟ้า' สุดแพงในยุคเป๊ป
ไม่ได้จ้องแต่จะให้ความสำคัญในเรื่องของเกมรุก เพราะว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ 'เรือใบสีฟ้า' แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมให้ความสำคัญในเรื่องของเกมรับด้วยเช่นกัน จึงมีการลงทุนจ่ายเงินซื้อกองหลังฝีเท้าดีเข้ามาเสริมทัพแบบต่อเนื่องเลย เพื่อเป็นการสร้าง 'กำแพงเหล็ก' ในยามเผชิญหน้ากับทีมคู่แข่งบนสังเวียนแข้ง และจะได้ต่อยอดไปสู่การตามล่าความสำเร็จเหมือนอย่างการเข้าป้าย 'ทริปเปิ้ลแชมป์' ซึ่งกวาดได้ถึง 3 รายการเมื่อช่วงซีซั่นที่แล้ว
โดยเฉพาะการครองความเป็น 'เบอร์หนึ่ง' ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะสามารถป้องกันบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีกไปพร้อมๆ กับการครองสถิติเสียประตูน้อยที่สุดได้ถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน และได้ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยของเกาะอังกฤษ นั่นก็คือ เอฟเอ คัพ ได้ด้วย แถมยังสามารถไปสู่ฝั่งฝันจากการยึดบัลลังก์ 'เจ้าสโมสรยุโรป' ในฐานะแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จากเมื่อช่วงซีซั่นก่อนเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรได้สำเร็จเสียที
นับตั้งแต่ เป๊ป ได้ก้าวเท้าเข้ามารับงานคุมทัพ 'เรือใบสีฟ้า' เมื่อปี 2016 เป็นต้นมา ปรากฎว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ลงทุนซื้อผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังเข้ามาเสริมแนวรับแบบไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2017/2018 ซึ่งจ่ายเงินไปมากกว่า 200 ล้านยูโรเลยทีเดียว เพื่อแลกเปลี่ยนกับการคว้ากองหลังถึง 4 ราย ไล่ตั้งแต่ อายเมริก ลาปอร์ก, ไคล์ วอล์คเกอร์, ดานิโล่ รวมถึง แบงฌาแมง เมนดี้ ซึ่งได้ทุ่มเงินดึงตัวมาใช้งานน้อยมากๆ เพราะกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีข่มขืนที่ต้องใช้เวลาขึ้นโรงขึ้นศาลนานถึง 2 ปีเลยทีเดียว แม้ว่าตอนนี้จะพ้นมลทินกลายเป็นผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าถูกโละทิ้งแบบไม่มีค่าตัวในช่วงหลังหมดสัญญาเมื่อตอนจบฤดูกาลที่แล้ว
ส่วนในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2020/2021 ได้มีการทุ่มเงินคว้า 2 กองหลัง นั่นก็คือ รูเบน ดิอาส กับ นาธาน อาเก้ ด้วยมูลค่ารวมสูงกว่า 100 ล้านยูโรเลยด้วย และเพิ่งทุ่มเงินคว้า ยอสโก้ กวาร์ดิโอล เข้ามาเสริมแนวรับในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2023/2024 เป็นสถิติกองหลังค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรสูงถึง 77 ล้านปอนด์เลยทีเดียว จึงได้ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 2 ในฐานะกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกไปด้วยเลย เพราะเป็นรองเพียง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังทีมชาติอังกฤษของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งยังคงรั้งอันดับ 1 ตั้งแต่ตอนที่ย้ายมาจาก เลสเตอร์ เมื่อปี 2019 ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์นั่นเอง หากอ้างอิงค่าตัวตามมูลค่าเงินสกุลปอนด์สเตอร์ริงของอังกฤษนั่นเอง
ตอนนี้ 'เรือใบสีฟ้า' มีกองหลังฝีเท้าดีให้เลือกใช้งานได้เพียบเลย หลังจากที่ได้ลงทุนสร้าง 'กำแพงเหล็ก' มาตั้งแต่ตอนที่ เป๊ป เข้ามาสวมบทเป็นกุนซือเมื่อ 7 ปีก่อนด้วยมูลค่ารวมสูงกว่า 470 ล้านยูโรเลยทีเดียว ซึ่งประกอบไปด้วยพวกผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก 6 คน ได้แก่ รูเบน ดิอาส ย้ายมาจาก เบนฟิก้า ในปี 2020 ด้วยค่าตัว 71.6 ล้านยูโร, อายเมริค ลาปอร์ก ย้ายมาจาก แอธเลติก บิลเบา ในปี 2018 ด้วยค่าตัว 65 ล้านยูโร, นาธาน อาเก้ ย้ายมาจาก บอร์นมัธ ในปี 2020 ด้วยค่าตัว 45.3 ล้านยูโร, มานูเอล อคานญี่ ย้ายมาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2022 ด้วยค่าตัว 17.5 ล้านยูโร รวมถึง จอห์น สโตนส์ ย้ายมาจาก เอฟเวอร์ตัน ในปี 2016 ด้วยค่าตัว 55.6 ล้านยูโร แถมยังสามารถขยับขึ้นไปสวมบทเป็นกองกลางตัวรับได้เป็นอย่างดีเลยด้วย และตบท้ายด้วยสมาชิกใหม่ นั่นก็คือ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล เพิ่งย้ายมาจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ในช่วงซัมเมอร์นี้ด้วยค่าตัว 90 ล้านยูโร
นอกจากนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังมีผู้เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งให้เลือกใช้งานได้ถึง 3 ราย นั่นก็คือ ไคล์ วอล์คเกอร์ ย้ายมาจาก ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ในปี 2017 ด้วยค่าตัว 52.7 ล้านยูโร, เซร์คิโอ โกเมซ ย้ายมาจาก อันเดอร์เลชท์ ในปี 2022 ด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร และ ริโก้ เลวิส ซึ่งเป็นเด็กปั้นจากทีมเยาวชนที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่กับทีมชุดใหญ่ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางปีก่อน รวมถึง เจา คันเซโล่ ย้ายมาจาก ยูเวนตุส ในปี 2019 ด้วยค่าตัว 65 ล้านยูโรอีกหนึ่งราย แต่ตอนนี้ได้ปล่อยให้ บาร์เซโลน่า ยืมตัวไปใช้งานหนึ่งฤดูกาล
ทำให้ 'เรือใบสีฟ้า' ยังคงพร้อมเดินหน้าเพื่อตามล่าความสำเร็จกันต่อไป เพราะว่ามีเกมรับที่ไว้วางใจได้ หลังจากที่ เป๊ป ได้ลงทุนซื้อกองหลังฝีเท้าดีเข้ามาเสริมทัพแบบต่อเนื่องเลย เพื่อให้เป็น 'กำแพงเหล็ก' ในระดับ 'เบอร์หนึ่ง' ของวงการฟุตบอลอังกฤษ รวมถึงในระดับ 'เจ้าสโมสรยุโรป' จากการผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เมื่อช่วงฤดูกาลก่อนนั่นเอง จึงพร้อมต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในช่วงซีซั่นนี้กันต่อไป