ก้าวสู่แสงแรกของโลกใหม่ทางจิตวิญญาณ

Photo credit: Elia Pellegrini

“LADIES AND GENTLEMEN, WE’RE FLOATING IN THE 5TH DIMENSION”

หลังจากที่กระแสจิตวิญญาณเริ่มกลับเข้าสู่ความเป็นป๊อปคัลเจอร์อีกครั้ง อาจเป็นเพราะสังคมโลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ หลายคนเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าเพราะ สูญเสียสิ่งที่เคยเป็นที่ยึดเหนี่ยวความเป็นตัวตนไว้อย่างรวดเร็ว และในขณะที่สังคมมนุษย์ส่วนหนึ่งกำลังตกอยู่ในสภาวะที่สภาพจิตใจถูกสั่นคลอนอย่างหนัก มนุษย์อีกกลุ่มกลับออกมาประกาศว่ามันคือ การวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์เพื่อหาสมดุลให้แก่ตัวเองหลังจากที่พวกเราให้คุณค่าต่อวัตถุเหนืองานจิตวิญญาณมาเนิ่นนาน 

Photo credit: Alexander Popov 

ก่อนหน้านี้กระแสของโลกจิตวิญญาณมักจะเน้นไปที่การใช้พลังอำนาจของจิตสำนึกบันดาลให้เกิดความสุข ความสมบูรณ์มั่งคั่งชั่วนิรันดร์จนเป็นที่มาของกระแสนิวเอจอินฟลูเกิดใหม่รายวัน (อินฟลูเอนเซอร์ที่พูดเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณผ่านแพลทฟอร์มต่างๆ บนโซเชียลมีเดีย) ก่อนที่จะมาทำความรู้จักกับงานจิตวิญญาณแห่งโลกอนาคตเราอยากให้ทุกคนได้มารู้จักที่มาที่ไปของกระแสในโลกจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ผ่านคำศัพท์เหล่านี้เสียก่อน แต่บอกไว้ก่อนว่า บัดนี้ความหมายของคำพวกนี้ได้ถูก light-washed หรือถูกลดน้ำหนักให้เบาบางลงจนกลายเป็นแค่คำพูดเอาเท่ห์ที่แทบหาคนที่รู้ความหมายที่แท้จริงไม่ได้ไปแล้ว แน่นอนเราจะไม่ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับแฟน EQ เด็ดขาด เอาล่ะมาดูพร้อมกันเลยว่า คำศัพท์คำไหนที่ถูกฟอกจนจืดสนิทไปแล้วบ้างในสังคมจิตวิญญาณยุคใหม่

“Manifest” 

คำนี้น่าจะถูกทำให้เป็นกระแสจากหนังสือ The Secret (2006) ความหมายของมันคือการใช้จินตนาการให้เห็นภาพสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นแล้วใส่อารมณ์ความรู้สึกเมื่อได้รับสิ่งนั้นแล้วเข้าไปเพื่อทำให้จิตใต้สำนึกเชื่อว่ามันเกิดขึ้นแล้ว จากนั้นจิตใต้สำนึกจะนำพาให้เราเข้าไปสู่สถานการณ์ที่ทำให้สิ่งที่เราต้องการปรากฏขึ้นเป็นจริง เนื่องจากกระบวนการของมันจำเป็นต้องใช้ทั้งความสามารถในการจินตนาการ ตามมาด้วยความสามารถในการปล่อยวางสิ่งที่ต้องการได้จึงทำให้ตรงจุดนี้เกิดความขัดแย้งในตัวของมันเองว่า เรามานิเฟสมันขึ้นมาจริงๆ หรือเพราะทุกอย่างมันถูกปูพร้อมไว้ให้แล้วกันแน่?  ฉะนั้นกลุ่มคนที่มักจะทำให้ความหมายของคำๆ นี้ถูกลดทอนลงก็มักจะเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับต้นทุนทางสังคมที่สูงกว่าคนอื่น หรือที่ถูกเรียกกันว่า trustafarian ซึ่งก็คือบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้วิถีชีวิตลอกเลียนมาจากชาว rastafarian ซึ่งเป็นขบวนการทางจิตวิญญาณของชนชั้นที่ถูกกดขี่ในจาไมก้า แต่สิ่งที่ทำให้ trustafarian แตกต่างจาก rastafarian แบบ 180 องศาก็คือ พวกเขามีเงินทุนจากผู้ปกครองคอยสนับสนุนวิถีชีวิตฮิปปี้โดยที่แทบไม่ต้องกังวลกับการทำงานแลกเงินและสามารถเดินทางหาประสบการณ์ทางจิตวิญญาณได้ทั่วโลก 

Photo credit: Gavin Barnett

“Abundance”

ความสมบูรณ์มั่งคั่ง อีกคำสุดฮิตที่บรรดานิวเอจอินฟลูพูดย้ำกันสนั่นยูทูป แต่ส่วนใหญ่แล้วยังสอนกันอยู่เพียงแค่ “ขอให้ฉันหาเงินให้ได้มากๆ”  ซึ่งยังไม่ครอบคลุมความหมายที่แท้จริงของคำๆ นี้ ความสมบูรณ์มั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้ถูกวัดด้วยมาตรฐานของโลกทุนนิยมเพียงอย่างเดียว แต่มันมาในรูปของธรรมชาติอันงดงาม ความรักที่คุณมีให้แก่เพื่อนมนุษย์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งโอกาสในการได้เรียนรู้และเติบโตในเส้นทางจิตวิญญาณ เท่าที่สังเกตคำๆ นี้มักถูกลดทอนความหมายลงโดยผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นไลฟ์โค้ชที่มุ่งเน้นไปที่การประสบความสำเร็จในทางวัตถุเพียงอย่างเดียว โดยไม่ทำงานกับด้านมืดที่มากับมัน 

Photo credit: Kamesh Vedula

“คิดบวก”

ยืนหนึ่งไม่มีสองของความคลิเช่ ต้องยกให้คำนี้เลย มันไม่ผิดอะไรที่คุณจะคิดบวก แต่หากคุณยังไม่ยินยอมให้ความสำคัญต่ออารมณ์ลบเมื่อมันเกิดขึ้น คุณก็เปรียบเสมือนกับคนที่อ่านหนังสือเพียงครึ่งเล่มแล้วเข้าใจว่าอ่านมันจบแล้ว สิ่งที่ไลฟ์โค้ชยุคก่อนโควิดพยายามพร่ำบอกให้คนคิดบวกตลอดเวลา ทุกวันนี้ล้วนถูกกล่าวถึงในฐานะ “bypassers” ซึ่งหมายถึงคนที่หลีกเลี่ยงการทำงานภายในแล้วเลือกที่จะอยู่กับอารมณ์ที่พึงปรารถนาเพียงอย่างเดียวเพราะเข้าใจว่านั่นคือทางลัดไปสู่จุดหมายปลายทางของงานจิตวิญญาณ แม้ว่ามันจะมาในรูปของการทำสมาธิและโยคะก็ตาม (ที่จริงแล้วมันคือ การทำสมาธิและโยคะเลยแหละ รวมทั้งการใช้ยาหลอนประสาทจำพวก psychedelics หรือการอ่านหนังสือแนวนี้แล้วคุณรู้สึก “อิน” ก็ใช่!) 

Photo credit: Olivier Miche

อะไรก็ตามที่คุณทำหากมันเป็นไปเพื่อการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปมปัญหาที่เกิดจากบาดแผลทางอารมณ์ในอดีตล้วนแล้วแต่ถูกนับว่าเป็นการบายพาสทางจิตวิญญาณทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะมันยังไม่ช่วยให้คุณไปสู่ความเป็นอิสระภาพที่แท้จริงนั่นเอง ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณเหล่านี้จึงมีหน้าที่เพียงเพื่อปกปิดความไม่มั่นคงในด้านอารมณ์ที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาเท่านั้น แล้วอะไรกันล่ะที่เป็นงานจิตวิญญาณแห่งอนาคต? ทาง EQ มีคำตอบให้คุณแล้ว

1. ทำงานด้านอารมณ์ (Emotional work)

สิ่งแรกที่คุณจะต้องเรียนรู้คือความหมายของคำว่าอีโก้ (Ego) อีโก้คือสิ่งที่ปรากฏในบุคลิกภาพของคุณอันเป็นผลลัพธ์จากการเวียนว่ายตายเกิดภายใต้เงื่อนไขอันสลับซับซ้อนของสังคมมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า the matrix การทำงานด้านอารมณ์จะทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้นและลดพฤติกรรมที่เกิดจากการทำงานของ triggers หรือการตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างด้วยปมที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา งานด้านอารมณ์ประกอบไปด้วย 3 หัวข้อหลักคือ 

1.1 งานสอบอารมณ์ (Shadow work) หากคุณต้องการเพียงจะมองไปที่ๆ มีแสงส่องสว่างโดยไม่หันหลังไปมองเงามืดที่ทอดยาวไปข้างหลัง คุณก็เตรียมตัวรับมือกับภาวะทางอารมณ์ที่ต้องเผชิญได้เลย 

แต่คุณจะไม่รู้หรอกว่าคุณจะรับมือกับมันได้อย่างไร หากไม่รู้จักกับ shadow work มาก่อน หลายคนอาจไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเงามืดของตัวเองเพราะที่นั่นเป็นที่เก็บกักบาดแผลที่ไม่เคยได้รับการเยียวยาไว้ตั้งแต่วัยเด็ก แต่การยอมรับความเจ็บปวดเหล่านั้นและทำงานไปกับมันคือหนทางเดียวของคุณในการเดินบนเส้นทางสายนี้ ข่าวดีคือคุณไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเก่งกว่าใคร หรือทำท่า headstand ได้ คุณก็สามารถทำงานด้านอารมณ์ได้โดยการตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งที่เกิดภาวะที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาว่าสาเหตุเกิดจากอะไรโดยที่ไม่ต้องโทษคนอื่น เมื่อคุณทำมันบ่อยเข้าหรือใช้เวลากับมันในระหว่างนั่งสมาธิคุณจะได้พบกับโพรงกระต่ายที่รอให้คุณกระโดดดำดิ่งลงไป และ ณ ก้นหลุมกระต่ายนี่เองเป็นที่ๆ คุณจะได้พบกับ…

Photo credit: Su San Lee

1.2 ฟังเสียงเด็กน้อยข้างใน (Inner child work) ไม่ว่าเด็กน้อยคนนั้นจะเคยรู้สึกด้อยค่า หรือถูกทำร้ายไม่ว่าจะทางกายทางใจจากครอบครัว สังคมภายนอก หรือว่าร่าเริงสดใสและเต็มไปด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ โอบกอดเขาซะแล้วพาเขาออกมาเล่นกับคุณ เมื่อคุณเริ่มต้นเยียวยาบาดแผลที่เกิดจากการเลี้ยงดูภายใต้เงื่อนไขของ the matrix ที่ถูกส่งทอดกันต่อๆ มา ยินดีด้วย คุณยิงปืนนัดเดียวได้นกอีกสองตัวและหนึ่งในนั้นคือ…

Photo credit: Sourabh Gijare

1.3 งานบรรพบุรุษ (Ancestral work) คุณสามารถยุติความเจ็บปวดที่คนรุ่นก่อนหน้าส่งต่อผ่านดีเอ็นเอของคุณเพื่อไม่ให้มันถูกส่งต่อไปให้คนรุ่นหลังได้ด้วยการทำสมาธิเพื่อสื่อสารกับพลังงานของท่านที่ยังไหลวนอยู่ในร่างกายของคุณ บรรพบุรุษของคุณได้พยายามทำดีที่สุดแล้วในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเลี้ยงดูคุณมา เมื่อคุณเข้าใจและให้อภัยพวกเขาคุณกำลังทำในสิ่งที่คนรุ่นหลังจะต้องขอบคุณ โปรดจำไว้ว่าคุณไม่ได้เป็นเพียงลูกหลานแต่วันหนึ่งคุณก็จะอยู่ในสถานะของบรรพบุรุษเช่นกัน เพราะฉะนั้นสื่อสารกับบรรพบุรุษคุณซะ อาจจะทำหิ้งสวยๆ เพื่อวางรูปพวกท่าน จัดอาหาร น้ำ หรือข้าวของที่ท่านเคยชอบแล้วกระซิบบอกให้ท่านช่วยให้คุณทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้

Photo credit: Gian D. 

2. สื่อสารกับไกด์ของคุณ (Communicate with your guides)

หมดยุคแล้วในการพึ่งพาผู้อื่นเป็นพาหนะในการเข้าสู่ความศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่พระพุทธเจ้าที่ละสังขารไปเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วยังฝากทิ้งท้ายไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ไม่ใช่เพราะใครมาปลุกเสกอะไรให้หรือใช้วัตถุต่างๆ เป็นทางลัด (แม้มันจะเป็นหินคริสตัลรูปทรงพีระมิดก็ตาม!) สิ่งที่คุณต้องทำคือ หาเวลานิ่งๆ อยู่กับตัวเองให้ได้ในทุกๆ วันเพื่อสื่อสารกับไกด์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะจุดเทียนบอกกล่าว เขียนสิ่งที่ต้องการจะสื่อลงสมุดบันทึก หรือใช้ความพยายามใดๆ ที่จะสื่อสารกับพวกเขา หากคุณมีความตั้งใจที่จะพูดคุยกับพวกเขาอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ คุณจะพบว่าพวกเขาอยู่ใกล้ๆ และคอยช่วยเหลือคุณมาโดยตลอด

Photo credit: Fernand De Canne

3. สร้างความสมดุลให้แก่พลังงานของทั้งสองเพศ (Balancing feminine and masculine energy)

พลังงานหญิงและชายปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่งโดยไม่จำกัดว่ามันจะอยู่ในรูปร่างลักษณะแบบไหน รวมทั้งในการดำเนินชีวิตของเราด้วย วิธีง่ายๆ ในการสร้างความสมดุลของสองพลังนี้ในชีวิตประจำ เช่น ลองฝึกที่จะเป็นผู้ให้ (พลังงานเพศชาย) พอๆ กับเป็นผู้รับ (เพศหญิง) เรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ของตัวเองดี (เพศหญิง) พอๆ กับที่เชี่ยวชาญในการใช้เหตุผล (เพศชาย) เป็นผู้นำได้ (เพศชาย) เช่นเดียวกับเป็นผู้ถูกนำได้ (เพศหญิง) หากคุณรู้สึกถึงความไม่สมดุลของพลังใดให้ลองหากิจกรรมมาช่วย เช่น ทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อน (เพศชาย) ก็จงลองทำกิจกรรมสร้างสรรค์สนุกๆ หรือทำงานศิลปะ (เพศหญิง) เพื่อให้เกิดความสมดุลมากขึ้น แม้แต่การทำงานจิตวิญญาณโดยตรงเช่นการนั่งสมาธิ (เพศหญิง) ยังจำเป็นต้องอาศัยการทำโยคะหรือชี่กง (เพศชาย) ควบคู่ไปด้วย

Photo credit: Jonathan Borba

ถึงแม้ผู้เขียนจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานด้านอารมณ์แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะมีความสำคัญเหนือไปกว่าการปฏิบัติสมาธิ ทำโยคะหรือวิธีอื่นๆ ที่คุณเคยทำมา แต่ในอดีตที่ผ่านมาผู้คนที่เดินบนเส้นทางสายนี้น้อยคนนักจะกล้าเผชิญกับความมืดในใจของตัวเอง หรือ the dark night of the soul ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ด้านลบที่ถูกกดไว้ มันจำเป็นต้องใช้ความกล้าที่จะเผชิญกับความเปราะบางข้างในที่อาจนำมาแม้แต่ความรู้สึกว่าหัวใจกำลังจะแตกสลาย (ซึ่งที่จริงมันคือการตายอีกชั้นหนึ่งของอีโก้-ขอแสดงความยินดีด้วย) แต่ไม่ต้องกลัวเพราะคุณมีไกด์ทั้งทีมคอยส่งความช่วยเหลือมาให้อยู่ตลอด หากคุณตั้งใจเลือกที่จะทำงานด้านอารมณ์ควบคู่ไปกับการปฏิบัติอื่นๆ อย่างซื่อตรงต่อตัวเองแล้วล่ะก็ คุณกำลังเดินทางเข้าสู่ลำแสงแรกแห่งมิติที่ 5 มิติที่คุณสามารถเชื่อมโยงความมหัศจรรย์ระหว่างจิตคุณเข้ากับจักรวาล ที่ๆ คุณสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานอันสมดุลของทุกสรรพสิ่งและปราศจากการแบ่งแยกตัวตนออกจากผู้อื่น รวมทั้งยังเป็นที่ๆ อะไรก็ล้วนเป็นไปได้ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบโลกคู่ขนานหรือเดินทางข้ามมิติแห่งกาลเวลา ขอให้สนุกกับยานลำนี้นะทุกคน

“LADIES AND GENTLEMEN, WE ARE FLOATING IN THE SPACE.”

Photo credit: engin akyurt