Culture

เลือกแผ่นที่ชอบและใช่ ที่ ‘Hall of Fame Records’ ร้านแผ่นเสียงในตำนาน ที่ขับขานความทรงจำ ผ่านเสียงเพลงยาวนานกว่า 36 ปี

‘ยุคแอนะล็อก’ คือ ยุคเฟื่องฟูของเทปคาสเซ็ท, CD และแผ่นเสียง คำร้อง ทำนอง ผู้ประพันธ์ หรือแม้กระทั่งคนเรียบเรียงบทเพลง ยังคงมีความหมายและดีต่อใจของคนฟังเพลงเสมอมา ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีคุณค่าในทุกช่วงเวลาของชีวิต การได้ครอบครองเป็นเจ้าของแผ่นเสียง ก็เป็นอีก 1 ความสุขของคนฟัง

และเมื่อได้คนฟังเพลงที่มีความถ่องแท้ กว้างขวาง และลึกซึ้งจริงๆ อย่าง คุณกฤษณ์ สังขปรีชา เจ้าของร้านแผ่นเสียง Hall of Fame Records (ฮอลออฟเฟมเรคคอร์ด) ที่ช่วยชุบชีวิตและต่อลมหายใจให้เทปคาสเซ็ท, CD และ 'แผ่นเสียง' ยังคงอยู่กับผู้ที่มีใจรักในการฟังเพลงอีกต่อไป แผ่นเสียงชั้นนำจากทั่วโลก เพลงเก่าในตำนานหรือเพลงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแนว Jazz, Rock, Pop Classic หรือแนวไหน ก็มาเลือกดู เลือกซื้อ หรือจะทดลองฟังก่อนก็ได้ เพราะบางทีแผ่นที่คุณเล็งๆ ไว้ หรือแผ่นที่คุณไม่ได้ตั้งใจซื้อ อาจรอการจับจองเป็นเจ้าของอยู่ที่นั่น!  

“ตอนนั้นเรียนจบไทยวิจิตรศิลป์ ไม่มีอะไรทำ เลยไปถามเพื่อนๆ ว่าจะทำอะไรดี เขาเลยแนะนำห้องที่ห้างพันธุ์ทิพย์ ซึ่งเขาขายกิฟต์ช็อปอยู่ แต่ขายไม่ค่อยดีเพราะห้างเงียบ และไม่ค่อยมีลูกค้า เขาเลยจะย้ายออก แล้วชวนเราไปทำแทน เลยตัดสินใจไปหาเงินจากญาติเพื่อซื้อแผ่นเสียงจากคนที่เขาบินไปต่างประเทศ พวกแอร์โฮสเตส หรือสจ๊วตที่บินไปเมืองนอก เราก็ฝากพวกเขาซื้อจากคำแนะนำของเพื่อนๆ หลังจากได้แผ่นมาก็เช็กว่าของครบไหม ขาดเหลือตรงไหนก็สั่งใหม่ครั้งหน้า โดยสั่งซื้อจากต่างประเทศ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เราขายได้เรื่อยๆ แบบพออยู่ได้ อาศัยเพื่อนๆ คนรู้จักมาช่วยซื้อ มีลูกค้าด้วย”

จุดเริ่มต้น แรงบันดาลใจ ที่ทำให้ Hall of Fame Records ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้

เริ่มตั้งแต่ปี 2529 ปีนั้นผมเปิดร้านนี้ที่พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ อยู่ได้ปีกว่าๆ ก็ย้ายไปทำอย่างอื่น เพราะช่วงนั้นแผ่นเสียงเริ่มซา แต่ช่วงขาลงจริงๆ คือปี 2533-2534 คือหายไปเลยช่วงนั้น เพราะ CD มันเริ่มมา คนเลยหันไปซื้อ CD หลังปี 2540 CD เริ่มขาลงแล้วแผ่นเสียงก็กลับมาใหม่ เท่ากับว่าแผ่นเสียงหายไปตอนนั้น 10 กว่าปี (ตั้งแต่ปี 33-45) แต่แผ่นเสียงก็ยังกลับมาไม่มาก ค่อยๆ กลับขึ้นมาทีละนิด และตอนนั้นผมก็เปิดร้านใหม่ที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ปี 2546 เปิดเป็นห้องเล็กๆ เหมือนรังหนู (กว้างประมาณ 5 ตารางเมตร) ตอนนั้นห้างกำลังเปิดโซนใหม่บวกกับบ้านอยู่แถวนั้น โซนใหม่ที่เปิดทำให้มีคนเข้าห้างมากกว่าเดิม ร้านก็เลยมีมาเพิ่มในโซนใหม่ ผมอยู่ตรงนั้นประมาณ 1 ปี พอขายดีมีคนซื้อเยอะก็ย้ายมาเปิดห้องฝั่งตรงข้ามร้านเดิม เพราะมีขนาดที่ใหญ่กว่าประมาณ 4 เท่า ทำให้คนยิ่งมาเพิ่ม มีการบอกต่อ โพสต์ลงในเฟสบุ๊ก คนเยอะมากจนไม่มีเวลากินข้าว เพราะตอนนั้น CD กำลังมา ผมเลยขาย CD ไปก่อน ขายไปสักพักลูกค้าก็ขอให้หาหนังมาขายด้วย ทำให้ VCD หรือ DVD มาด้วย แต่ VCD ราคาถูกกว่า DVD คนเลยเลือกซื้อ VCD เป็นส่วนใหญ่ มีจอให้ดูหนังด้วยที่ร้าน ทำให้ต้องขยายร้านเลยตัดสินใจย้ายจากชั้น 2 (ที่เปิดมา 5 ปี) ไปเปิดที่ชั้นใต้ดินของห้างแฟชั่น (อีก 5 ปี)

ผมขายทุกอย่างเลยตอนนั้น ทั้งแผ่นเสียง CD หนัง คอนเสิร์ต VCD DVD ทำให้คนมาที่ร้านจากทั่วทุกสารทิศ เพราะตอนนั้นห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ถือว่าใหม่มาก เป็นห้างที่คนโหยหา (ตอนนั้นห้างที่ดังๆ มี ซีคอนสแควร์ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และแฟชั่นไอส์แลนด์) พอเปิดร้านที่แฟชั่นฯได้ประมาณ 10 ปี แต่น้ำก็ท่วมแฟชั่นไอส์แลนด์ ในปี 2554 ทำให้ต้องย้ายและขนของทั้งหมดออก ร้านเสียหายแต่ไม่มากเพราะเราเริ่มรู้ตัวแล้วว่ารอบๆ น้ำมาแน่ๆ แล้ว เลยเตรียมย้ายของไปไว้ที่อื่นๆ เหลือแต่ขอที่อยู่ด้านบนๆ ไว้ เพราะของมันเยอะมาก ขนไปหมดไม่ไหว มีแต่เคาน์เตอร์ร้านที่เสียหาย ผนังห้องบุบ หลังจากนั้นเขาก็ชวนต่อสัญญาใหม่ช่วงเดือนธันวาฯ ปี 2554 แต่ก็ไม่ได้ต่อเพราะเขาขึ้นค่าเช่าเยอะมาก เราสู้ไม่ไหว ถึงขายได้เยอะจริงแต่กำไรเราก็จะหาย เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ห้างธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ พอย้ายเข้าไปปรากฏว่าเงียบไม่มีคนเลย เลยอยู่ตรงนั้นแค่ประมาณ 1 ปี

จนในที่สุดก็ย้ายร้านมาเปิดที่ 'ฟอร์จูน' ในปี 2557 (เปิดมาเกือบ 10 ปีแล้ว) ชีวิตค่อนข้างสมบุกสมบันมากตอนนั้น พอดีห้องนี้เขาจะย้ายออกเป็นเพื่อนกันนี่ล่ะ แล้วเราก็ย้ายมาอยู่แทนเขา ตอนแรกขายแผ่นเสียงเป็นหลัก สักพักก็เอา CD ที่เคยขนไปฝากเขาเก็บไว้ตอนน้ำท่วมมาขาย เลยได้เป็น 2 ฝั่งอย่างที่เห็นคือ CD ฝั่งหนึ่ง แผ่นเสียงอีกฝั่งหนึ่ง แต่ ณ ตอนนี้ยอดขายแผ่นเสียงก็เริ่มแซงหน้า CD แล้ว เพราะมีคนรุ่นใหม่ซื้อ เด็กๆ อายุ 15 -16 ขึ้นไป เขาจะนิยมซื้อแผ่นเสียงกัน แต่ CD ก็ยังขายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเก่าซื้อ

แผ่นเสียงแรกที่เริ่มทำให้สนใจและอยากซื้อ หรืออยากสะสม

'Pink Floyd' อัลบั้มแรก 'The Piper at the Gates of Dawn' (5 สิงหาคม ค.ศ. 1967) แต่ผมเริ่มซื้อแผ่นเสียงตอนปี 1972 แต่ก่อนหน้านี้ผมซื้อเทปกล่อง ซึ่งต้องฟังในเครื่องเล่นของแม่ แต่มันมีลักษณะเป็นเทปกล่องใหญ่ๆ 4 แทร็กแบบปิดทึบ จะบอกว่าแม่เขาเล่นแผ่นเสียงมาก่อนรวมทั้งเทปพวกนี้ด้วย

เน้นวงดัง วงที่คนฟังเยอะๆ ทั้งเก่า-ใหม่ ไทย-เทศ หลากหลายแนว

ร้านเราเน้นวงดังๆ ที่คนไทยรู้จัก ถ้าวงไหนคนไทยไม่รู้จักเราจะไม่เอามาขาย เพราะโอกาสขายได้น้อยและไม่อยากเสี่ยง เลยเลือกซื้อแผ่นที่นำมาขายต่อได้แน่นอนและมีฐานลูกค้าเป็นคนไทยที่ซื้อ เราหาซื้อแผ่นเสียงดังๆ ที่คนไทยรู้จักจากสถานีวิทยุ เพราะคนไทยสมัยก่อนฟังวิทยุเป็นหลัก ฟังและอัดเพลงจากวิทยุ แล้วไปหาซื้อแผ่นเสียงตามร้าน แรกเริ่มเราขายวงเก่าๆ ก่อนเพลงยุคใหม่เพราะมันเพิ่งมี และเขาทำแต่ CD ช่วง 10 ปีที่แล้วถึงทำแผ่นเสียง เราเลยไปตามหาแผ่นเสียงยุคใหม่อย่าง Taylor Swift, Norah Jones, Adele เราก็เริ่มตามวงพวกนี้แล้วหาแผ่นเสียงมาขาย โดยเราจะสั่งของทุกชุดของศิลปินที่มีชื่อเสียง

“ณ ปัจจุบัน ในร้านมีแผ่นเสียงทั้งหมดประมาณ 15,000 กว่าแผ่น ร้านเรามีทุกวงที่คนส่วนใหญ่รู้จัก“

ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มไหน?

วัยรุ่น อายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป ถึงอายุประมาณ 25 ปีมีเยอะสุด เขามีตังค์ ซื้อทีครั้งละ 5,000 บาท แผ่นคู่ก็แผ่นละ 1,700 บาทแล้ว แผ่นเดี่ยวก็ตกแผ่นละประมาณ 1,500 บาท ซื้อคนละ 2-3 แผ่น ก็เกือบหมื่นแล้ว

“ที่คนรุ่นใหม่ซื้อแผ่นเสียงมากกว่า CD เพราะ CD เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด แต่แผ่นเสียงเขาเพิ่งเคยเห็นและรู้จัก และในสื่อโซเชี่ยลเขาก็โพสต์เรื่องแผ่นเสียงเยอะ พูดถึงเสน่ห์ของมันบ้าง เสียงที่ไพเราะ รูปที่สวย ทำให้อยากลองและลองกัน ลองฟังแล้วติดใจ ติดใจก็บอกต่อ และซื้อกันในหมู่เพื่อนๆ ทำให้ได้ลูกค้ารุ่นใหม่เพิ่ม”

ที่มาที่ไปของชื่อ Hall of Fame Records

มันผุดขึ้นมาเองตอนจะเปิดร้าน เราคิดนานมากหลายเดือนว่าจะใช้ชื่ออะไร ก่อนจะเปิดร้านมีอยู่วันหนึ่ง ตอนกลางคืนก็คิดขึ้นได้ว่า ศิลปินดังๆ ของโลก เขาอยู่ใน Hall of Fame ที่สหรัฐอเมริกา มันน่าจะเอาชื่อนี้มาใช้ได้กับพวกศิลปินขึ้นหิ้ง เพราะศิลปินดังๆ ที่ขึ้นทำเนียบ Hall of Fame เขาจะให้รางวัลเกียรติยศของศิลปินระดับโลก และเป็นชื่อที่คนทั่วโลกรู้จัก เวลาประกาศรางวัล Hall of Fame ชื่อนี้มันรู้สึกแกรนด์ เป็นสถาบันที่ให้เกียรตินิยมและรางวัลที่คนทั่วโลกรู้จักไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนๆ เลยนำคำนี้มาลองใช้ ตอนแรกใช้ Hall of Fame แบบเต็มๆ ก่อน หลังๆ ลูกค้าถาม เลยเพิ่มตัวย่อ HOF อยู่ช่วงหนึ่ง แต่คนก็ถามว่าคืออะไร พอมาทำร้านที่ฟอร์จูนเลยตัดสินใจใช้ชื่อเต็มๆ ดีกว่า

เสน่ห์ของ CD แผ่นเสียงมือสอง หรือไวนิลคืออะไร

CD เสน่ห์ของมันคือ ความสะดวกสบาย เรียบง่าย และมีเสียงที่ดีในระดับหนึ่ง แต่แผ่นเสียงดีกว่าในแง่ของความพลิ้วของเสียง ความนุ่มนวล ละเมียดละไม ได้อารมณ์ฟีลแบบซอฟต์ลง ฟังแล้วสบายหู ฟังได้ทุกวันไม่มีเบื่อ เสียงมีความละเอียดสูง มีมิติ ตอนบันทึกจะมีความลึก ความกว้างของเสียง ทั้งซ้ายและขวา ตำแหน่งการเล่นตอนยืน เขาจะทำการบันทึกระยะเอาไว้ เสียงจะเป็นตัวบอก เพราะเวลาฟังต้องห่างจากลำโพง 3 เมตร ทำให้เสียงเขามา ทั้งลำโพงซ้าย-ขวา เข้าหูซ้าย-ขวา ถ้าฟังไกลกว่านั้นเสียงจะรวมตัวกันก่อน แต่ถ้าฟังใกล้ไป เสียงอาจเลยไปบางเสียง ทำให้ได้ไม่ครบ เขาถึงเรียกว่า มิติเสียง และมีภาพที่สวยงาม เปิดดูมีสมุดเป็นเล่มก็มี โปสต์การ์ดก็มี สติ๊กเกอร์ก็มี แถมโน่นนี่มาได้ แล้วกลิ่นของกระดาษแผ่นเสียงมันจะมีกลิ่นของเนื้อกระดาษที่ไม่เหมือนกัน เพราะบางคนก็ชอบดม ฟัง ดู และอ่านไปด้วย หอมนะกระดาษแผ่นเสียงเนี่ย

CD กับ แผ่นเสียง คุณรักสิ่งไหนมากกว่ากัน?

ความรักใน CD กับ แผ่นเสียง ใกล้เคียงกัน เพราะ CD ได้ความสะดวก แต่ที่เลือกเก็บจริงๆ คือ แผ่นเสียง เพราะมีความใหญ่ เนื้อของแผ่นที่จับได้เต็มที่ ดูแล้วมีคุณค่า เพราะความใหญ่มีค่าแบบหนึ่งนะ แล้วต่อไปในอนาคตราคาก็จะพุ่งขึ้นไปอีก เพราะความสวยงามที่ดึงดูดผู้คน ทำให้ประทับใจแผ่นเสียงมาก แผ่นที่ฟังบ่อยคือ วง Yes, Genesis, Pink Floyd, Deep Purple คือ สายของผม ผมชอบ Progressive Rock เพราะฟังตั้งแต่เด็ก ฟังจากวิทยุแล้วมันเข้าหูพอดี วัยรุ่นสมัยโน้นจิ๊กโก๋ (หัวเราะ)

แผ่นที่เป็น Best Seller ของร้านคืออะไร

Best Seller คือ เพลงปัจจุบัน Taylor Swift อันดับ 1 Adele ก็ด้วย ตอนนี้ก็ Joji, John Mayer วงพวกนี้มียอดขายทุกวัน ยอดขายสูงสุด (หัวเราะ) ถ้าไม่มีพวกนี้ยอดก็ไม่ค่อยขึ้นเท่าไร

CD หรือไวนิลที่หายากที่สุดในร้าน (ตั้งแต่ขายมา)

หายาก แต่หาได้ Tracy Chapman แต่ก่อนหายาก แต่ตอนนี้หาไม่ได้แล้ว คนถามหาทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละคนสองคน เพลงยุค 90 หายากและแพงมาก มือสองแผ่นละประมาณ 4-5 พันแล้ว

CD หรือไวนิลที่แพงที่สุดของที่ร้าน

ที่แผงน่าจะเป็นเพลงไทย ราคาขึ้นสูง เพราะคนเล่นเยอะ แผ่นมีน้อยเพราะผลิตหลักร้อย แค่ประมาณ 300 แผ่น ทำให้ราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในแต่ละปี แต่ถ้าผลิตหลักหมื่นถึงแสนมันมีเยอะ คนเลยไม่รู้สึกว่าต้องรีบโหยหาซื้อเมื่อไรก็ได้ แต่แผ่นเสียงของไทย พวก silly fools, Bodyslam, Moderndog จะแพง แต่แบบไม่แพงก็มี พวกอัลบั้มที่มียอดขายไม่มากจะไม่แพง Moderndog หลักหมื่น พวกวงเก่าๆ หายากๆ ถ้าเป็นเพลงไทยหลักหมื่นขึ้นทั้งนั้น สุนทราภรณ์ก็เป็นหมื่น สุรพลก็หลักหมื่น คนเอาแผ่นพวกนี้ไปสร้างกันต่อ หรือไปขายลูกค้าต่อ ซื้อมาขายไป

การนำเข้าหรือเลือก CD, ไวนิล รวมทั้งเทปคาสเซ็ท ฯลฯ เราใช้เกณฑ์อะไรในการเลือก

เลือกแผ่นหรือวงที่คนรู้จักมาขาย ถ้าวงไหนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเราก็จะไม่นำมาขาย และจะบอกลูกค้าไปตรงๆ ว่าเราไม่ได้สั่งมาขาย เราคงไม่สั่งมาขายทั้งหมด เพราะแผ่นเสียงออกมาวันละเป็นร้อยๆ วง เดือนหนึ่งก็หายวง ซื้อหมดก็เจ๊งพอดี (หัวเราะ) ช่วงปลายปีหรือคริสต์มาสฝรั่งเขาจะชอบออกแผ่นในช่วงนั้น ตุลาฯ พฤศจิกาฯ ธันวาฯ โรงงานผลิตแผ่นเสียงก็จะเร่งผลิตในช่วงนั้น วงไหนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงก็ต้องรีบหาที่ผลิตเพื่อนำมาขายก่อนในช่วงกลางปีหรือต้นปี (ช่วงกลางปีคนซื้อน้อย ช่วงปลายปีคนซื้อไปเป็นของขวัญด้วย)

CD, ไวนิล รวมทั้งเทปคาสเซ็ท ฯลฯ ที่ทางร้าน Hall of Fame Records จัดจำหน่าย มีสัดส่วนระหว่างเพลงไทย-เพลงสากล อย่างไร?

เพลงสากลร้านเราขายเยอะกว่า เพลงไทยตอนนี้เริ่มซาแล้ว เพราะเพลงดังๆ ออกไปแทบจะหมดแล้ว ถ้ามีออกมาใหม่ก็ไม่ดังเท่าที่ออกมาก่อนหน้านี้ ลูกค้าเลยไม่ค่อยอินเท่าไร ที่ดังๆ พวก อัสนี-วสันต์, silly fools, Bodyslam วงพวกนี้ออกมาขายไปหมดแล้ว เหลือแต่ที่ไม่ค่อยรู้จักหรือรู้จักน้อย และขายได้น้อยแล้วถ้าเป็นเพลงไทย แต่เพลงฝรั่งใหม่ๆ มีออกมาเยอะ ศิลปินฝรั่งเขาออกแผ่นเสียงเป็นหลัก เลยมีออกอยู่บ่อยๆ แต่ศิลปินไทยออก CD เยอะ ออกแผ่นเสียงน้อย และน้อยลงกว่ายุค 5-6 ปีที่แล้ว วงใหม่ๆ ที่ออกแผ่นเสียงมาตอนนี้ก็ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องทำใจอะ วงไทยปัจจุบันก็ยังมีออกผลงานแต่เขาอาจจะออกมาน้อย และไม่ค่อยสนใจ หรือโปรโมต ผมว่าอย่างนั้นนะ

“ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นเพลงยุคใหม่ อีก 30 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นแผ่นเสียงแนวอื่นๆ และแผ่น CD อีก 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าเพลงไทยเพลงเก่าขายดี ถ้าเพลงสากลเพลงเก่าขายดี เพลงป๊อปปัจจุบันของวงสากลที่ออกมาตอนนี้ขายดีและขายได้”

ร้านขาย CD แผ่นเสียงมือสอง ของต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับบ้านเรา?

มันคล้ายๆ กันครับ รูปแบบร้านมันก็เหมือนๆ กันครับ ที่ร้านมีชาวญี่ปุ่นรับแผ่นไปขาย เพราะเขามีชมรมเพลงไทยที่ญี่ปุ่นประมาณหลักพันคน แลกเปลี่ยนซื้อขายเพลงไทยกัน ต่อไปคงขยายและใหญ่ขึ้น แล้วแต่เด็กรุ่นใหม่ เขาก็ซื้อเพลงไทยรุ่นใหม่ๆ ไปฟังกัน พวกวงอินดี้ไทยไปดังที่ญี่ปุ่นหลายวง

สาเหตุอะไรที่ทำให้ร้านขาย CD และแผ่นเสียงเก่า ยังคงอยู่ได้ในยุคนี้?

เสน่ห์ความเก่า ความคลาสสิกของ CD ก็มีอยู่พอควร แต่อาจไม่มากเท่าแผ่นเสียง CD เกิดขึ้นมาหลายสิบปี เด็กยุคใหม่ๆ เพิ่งเคยเห็น เพราะเขาเพิ่งโต เขาก็เริ่มจับ CD ก่อน เพราะราคาถูก ซื้อไปลองฟังสักพักก็อยากซื้อแผ่นเสียง เหมือนคนสมัยก่อนที่เลือกฟังเพลงจากเทปก่อนเพราะราคาถูก พอซื้อไปแล้วชอบวงไหนมากๆ ค่อยหาซื้อแผ่นเสียง เทรนด์มาจะเป็นแบบนี้

เคยคิดไหมว่า สักวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้มันอาจจะหายสาบสูญไป?

น่าจะสักวันหนึ่ง แต่เมื่อไรไม่รู้ เพราะไม่มีอะไรอยู่ตลอดกาลอยู่แล้วคนเรา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อีก 500 หรือพันปีสิ่งเหล่านี้อาจไม่มีแล้ว โลกมีคนที่คิดเปลี่ยนไป รูปแบบการผลิตเปลี่ยนไป ความชอบเปลี่ยนไป เพลงอาจไม่ใช่สาระสำคัญของคนยุคอนาคต บางคนซึมซับแต่เทคโนโลยีมากเกินไป ทำให้ความสุนทรีย์เริ่มหายไป เด็กรุ่นใหม่อาจไม่ค่อยได้เห็นแล้วเพราะคนผลิตเริ่มหายไป คนฟังก็หายตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วเพราะเป็นสัจธรรมของมนุษย์ เราแค่ทำใจและอยู่กับมันไปให้นานที่สุด เป็นความสุขของเราเท่านั้นแหละ ไม่ต้องไปสนใจใคร เพราะมันไม่มีทางที่จะควบคุมได้ ไม่มีเพลงฟังเขาอาจจะคิดว่าก็ดี คนแต่ละยุคความคิดจะไม่เหมือนกัน อาจเลือกวิธีการสันทนาการอย่างอื่นแทนได้ หรืออาจเป็นดนตรีนิ่มๆ ซอฟต์ๆ อาจไม่เป็นเพลง

“อาจเป็นรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่แบบที่เป็นตอนนี้ นักดนตรีอาจไม่ใช้เครื่องดนตรีแบบตอนนี้  เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการบอกยุคสมัยเท่านั้นเอง พอในอนาคตคนยุคหน้าก็บอกว่าของพวกนี้คือของยุคเก่า เขาก็ต้องทำของยุคของเขาให้ตรงยุค”

เพราะรู้เรื่องเพลงเยอะและ 'อดทน' จึงทำให้ Hall of Fame Records ยังคงอยู่…

ต้องอดทน เพราะต้องใช้ความพยายามในการค้นหาของ การสืบเสาะ การเช็กของจากทั่วโลก เช็กจากศิลปินทั้งหมดซึ่งมันต้องเหนื่อย ต้องตามของ สั่งของ รับของ ปัญหาต่างๆ ทั้งของมีปัญหา ลูกค้ามีปัญหา มันเยอะแยะไปหมดเลย ยิ่งช่วงที่มีลูกค้าเยอะๆ จะพบกับปัญหาสารพัดอย่าง ปวดหัวไปหมดเลย เพราะทำหลายอย่างมันเลยต้องอดทน และมีความรู้เยอะในการหาเพลง ว่าเพลงไหนที่คนสนใจและต้องการซื้อ มันต้องคัดแล้วคัดอีกจากร้อยกว่าวง บางวันอาจไม่มีเลยก็ได้ อาจได้แค่วงสองวง ต้องฟังเยอะๆ รู้เยอะๆ วันๆ ฟังเพลง ขายของ แก้ปัญหาต่างๆ ลูกค้ามีหลากหลายมากครับ (หัวเราะ)

หัวใจสำคัญของการทำ Hall of Fame Records คืออะไร?

‘สิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด’ คือหัวใจ ต้องไปหามา ต้องไปสั่งมา พวกนี้สำคัญสุด ของมันต้องมีทุกอาทิตย์ แล้วมีอยู่ 6-7 เจ้าที่มาส่งเรา ถ้าลูกค้ามาแล้วเหมือนเดิม ไม่มีอะไร เขาก็ไม่มาแล้ว ถ้าไม่มีอันนี้ก็ไม่มีหัวใจและตาย (หัวเราะ)

ได้รับอะไรจากการทำ Hall of Fame Records บ้าง?

อันดับ 1 คือ ความสนุกในชีวิต เพราะไม่งั้นชีวิตมันน่าเบื่อ ไปทำอย่างอื่นก็ไม่สนุก เพราะเราเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง เราก็ผ่อนคลายในระดับหนึ่ง ฟังเพลงด้วย คุยด้วย มันก็ผ่อนคลาย ชีวิตมันก็มีความสุข คนอื่นๆ ที่ทำร้านแผ่นเสียงเขาก็เป็นแบบผมนี่ล่ะ ชีวิตเราก็ไปเรื่อยๆ มีลูกน้องช่วยงานบ้าง เราก็มีเวลาไปทำอย่างอื่น ตอนนี้กำลังสร้างบ้านที่หัวหิน ไปๆ มาๆ เหมือนเราได้กลับไปชาร์จแบต และไปเที่ยวด้วย กลับบ้านไปเล่นกับหมากับแมวก็คลายเครียด

Hall of Fame Records ในอนาคตจะเป็นอย่างไร?

มันยังไม่รู้อ่ะ ทำไปเรื่อยๆ ก่อน ขยายสาขาอาจจะมี แต่คงเป็นที่หัวหิน ประมาณนั้น แต่ยังไม่มีอะไรแน่นอนครับ

“อยากให้คนได้ฟังเพลงเยอะๆ และหลากหลาย หลายรูปแบบ หลายวงเป็นหลัก และเราก็ได้เงินมาใช้”

อยากให้ Hall of Fame Records แนะนำแผ่น CD หรือแผ่นเสียงที่น่าสนใจ ให้ชาว EQ

มันแล้วแต่คนว่าชอบแบบไหน ถ้าแนวป๊อปก็ Taylor Swift, Adele, Cigarettes After Sex ซึ่งคนฟังเพลงเขาก็รู้ๆ กันอยู่ ส่วนวงปัจจุบันที่ฟังและอยากแนะนำคือ Safeplanet, Blackbeans, T_047, Polycat ที่ฟังอยู่ตอนนี้ครับ

Hall of Fame Records (HOF-Records)

ห้องเลขที่ 3058 (ชั้น 3) Fortune Town ถ.รัชดาภิเษก
เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400 (Google Map)

เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 11.30 - 19.30 น.

Facebook: Hall of Fame Records - HOF