Culture

อาหารมื้อสุดท้าย และความทรงจำที่ไม่มีวันล่มของ ‘เรือไททานิค’

‘ไททานิค’ เรือแห่งความฝันที่ถูกกล่าวขานโดยหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับว่า ‘ไม่มีวันจม’ ผ่านเวลามากว่าร้อยปีแล้ว แต่โศกนาฏกรรมนี้ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไร หรือเชื้อชาติอะไร การสูญเสียกว่า 1,500 ชีวิตไปกับเรือเดินสมุทรขนาดมหึมา เหลือผู้รอดชีวิตอยู่เพียงแค่หยิบมือ ทำให้โลกนี้มิอาจลืมเลือนความเศร้าโศกนั้นไปได้

ผู้โดยสารที่ขึ้นเรือไททานิคนั้นมาจากหลากหลายสถานที่ เรือสำราญลำนี้บรรจุผู้โดยสารทั้งสามชั้นมุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเลิศ และการบริการระดับสูง เป็นเหตุให้เรือลำนี้เป็นที่กล่าวขาน เลื่องลือ แน่นอนว่า อาหารที่เสิร์ฟบนเรือไททานิคนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนพูดถึงอย่างมาก ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปสำรวจอาหารของผู้โดยสารแต่ละชั้น และอาหารมื้อสุดท้ายก่อนที่ไททานิคจะจมลงสู่ท้องทะเล

ความหรูหราในแบบที่เหมาะสมกับ ‘ผู้โดยสารชั้นสาม’ ของเรือไททานิค

ตั๋วของผู้โดยสารชั้นสามมีราคาอยู่ที่ 8 ปอนด์ (คิดเป็นเงินราวๆ 35,000 บาทในปัจจุบัน) ซึ่งราคานี้ก็นับว่าสูงมากสำหรับครอบครัว หรือใครก็ตามที่ไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวย แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยินดีที่จะลงทุนกับตั๋วเดินทางไปสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกที่พวกเขาได้รับก็นับว่าดีเกินกว่าที่ในชีวิตประจำวันของพวกเขาจะได้พบเจอ ทั้งระบบประปาในทุกห้องพัก (สมัยนั้นคนชนชั้นล่างน้อยครอบครัวมากที่จะมีระบบประปาในบ้าน) หรือห้องสูบบุหรี่ (Smoke Room) ที่มีบาร์เล็กๆ สำหรับพูดคุย และสังสรรค์ ส่วนมื้ออาหารสำหรับผู้โดยสารชั้นสามนั้น ถึงแม้จะไม่หลากหลาย แต่ก็สามารถทานได้ไม่อั้น และเติมเต็มให้พวกเขาอิ่มหนำในทุกมื้อ

เมนูอาหารมื้อสุดท้ายของผู้โดยสารชั้นสาม (ในวันที่ 14 เมษายน 1912)

ต้องอธิบายก่อนว่า การเดินทางโดยเรือสำราญในยุคก่อนหน้านั้นผู้โดยสารระดับล่าง จะต้องเตรียมอาหารไปรับประทานเอง และต้องเตรียมให้เพียงพอกับการเดินทางด้วย เพราะบนเรือจะไม่มีอาหารเตรียมไว้ให้ ดังนั้นการที่เรือไททานิคเสิร์ฟอาหารให้กับผู้โดยสารชั้นสามเป็นจำนวนสองมื้อต่อวัน ก็ค่อนข้างจะฝืนธรรมเนียมอยู่พอสมควร ซึ่งอาหารที่พวกเขาได้ทานก็จะคล้ายคลึงกับของผู้โดยสารชั้นสอง เพียงแต่ลดความหรูหราลงมา ซึ่งผู้โดยสารเหล่านั้นก็ไม่ได้บ่น หรือไม่พอใจ เพราะอาหารการกินบนเรือไททานิคนี้แทบจะดีกว่าในชีวิตประจำวันปกติของพวกเขาอยู่แล้ว และว่ากันตามจริงแล้ว ชั้นสามของไททานิคนั้นก็คงเทียบได้กับชั้นสองของเรือเดินสมุทรลำอื่นเสียด้วยซ้ำ มื้ออาหารของผู้โดยสารชั้นสามจะประกอบไปด้วยอาหารเช้า, อาหารหลักสำหรับมื้อบ่าย ปิดท้ายด้วยชา และของว่างก่อนเข้านอน ซึ่งในแต่ละวันจะมีเมนูเพียงหนึ่งใบที่รวบรวมรายการอาหารที่จะเสิร์ฟในแต่ละมื้อเอาไว้ทั้งหมด

สำหรับอาหารมื้อสุดท้ายของผู้โดยสารชั้นสาม จะเริ่มจากมื้อเช้าที่ประกอบไปด้วย ข้าวโอ๊ตต้ม และนม, ปลาเฮอร์ริ่งรมควัน, มันฝรั่งอบ, แฮมและไข่, ขนมปังสดและเนย หรือแยมส้ม, ชา และกาแฟ ส่วนมื้อบ่ายจะเป็นซุปข้าว, ขนมปัง, บิสกิต (ที่มักจะทานกันเพื่อลดอาการเมาทะเล), เนื้ออบและน้ำเกรวี่, ข้าวโพดหวาน, มันฝรั่งต้ม, พุดดิ้งพลัม และผลไม้ แม้ว่าจะไม่มีการเสิร์ฟอาหารเย็นให้กับผู้โดยสารชั้นสาม แต่ก่อนเรือจะจมพวกเขาก็ได้เพลิดเพลินกับการจิบชา (High Tea) ซึ่งจะมีชาเป็นพระเอกของมื้อ ประกอบด้วยอาหารอื่นๆ เช่น สตูว์ไอริช, อาหารเนื้อตัดเย็น (Cold Meat), ขนมปัง, ข้าว เป็นต้น

อีกระดับของความหรูหรากับมื้ออาหารของบรรดา ‘ผู้โดยสารชั้นสอง’

ด้วยราคาประมาณ 30 ปอนด์ (ประมาณ 67,000 บาทในปัจจุบัน) ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผู้โดยสารในชั้นนี้ส่วนมากจะเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง นักท่องเที่ยว และผู้ทำอาชีพเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งหากเทียบกันกับเรือเดินสมุทรลำอื่น ความหรูหราในระดับนี้คงเทียบได้กับชั้นหนึ่งของลำอื่นๆ เลยทีเดียว ไททานิคเป็นเรือลำแรกที่มีลิฟต์ไฟฟ้าให้บริการกับผู้โดยสารชั้นสอง ห้องสมุด รวมไปถึงห้องสูบบุหรี่ส่วนตัว ในขณะที่อาหารส่วนมากจะเป็นอาหารแบบดั้งเดิมของอังกฤษ อาจจะมีอาหารฝรั่งเศสโผล่มาในบางเมนู ถึงจะไม่ได้เทียบเท่ากับมื้ออาหารของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง แต่มาตรฐานอาหารในชั้นนี้ก็สูงมากแล้ว อย่างอาหารเช้าที่มีหลากหลาย และคล้ายกับของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง จะต่างกันก็แค่ในชั้นนี้ไม่สามารถสั่งให้เชฟทำออมเล็ต หรือเสต็กแบบสดๆ ได้

เมนูอาหารมื้อสุดท้ายของผู้โดยสารชั้นสอง (ในวันที่ 14 เมษายน 1912)

สำหรับอาหารเย็นมื้อสุดท้ายของผู้โดยสารชั้นสองของเรือไททานิคคือ การดัดแปลงเมนูของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และทำให้กลายเป็นอาหารสามคอร์ส (Three Courses Meal) โดยจานแรกคือ ซุปใส ตามด้วยจานหลักที่ให้เลือกระหว่าง ปลาแฮดดอกอบ กับซอสชาร์ป (ซอสกลิ่นฉุนที่มีน้ำส้มสายชูเป็นเบส), แกงกะหรี่ไก่และข้าว, เนื้อแกะกับซอสมิ้นท์ หรือ ไก่งวงอบกับซอสแครนเบอร์รี ส่วนเครื่องเคียงก็สามารถเลือกได้ระหว่าง ถั่ว, หัวเทอร์นิปพิวเร (นำไปเคี่ยวจนข้น), มันฝรั่งอบและต้ม หรือข้าว ก่อนที่จะเสิร์ฟของหวานปิดท้ายด้วยพุดดิ้งพลัม, เยลลี่ไวน์, แซนด์วิชมะพร้าว, ไอศกรีมอเมริกัน, ถั่ว, ผลไม้สด, ชีส, บิสกิต และล้างปากด้วยกาแฟ

ที่สุดแห่งความหรูหราบนเรือแห่งความฝันของเหล่า ‘ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง’

‘First Class’ แค่ได้ยินคำนี้ภาพความหรูหราก็ลอยขึ้นมาในจินตนาการของใครหลายๆ คนแล้ว สำหรับผู้โดยสารของเรือไททานิคเองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าในชั้นหนึ่งนี้จะมีหลายประเภทห้องให้เลือกสรรค์ แต่การจะได้นอนในห้องสวีทดีๆ สักห้องหนึ่งก็สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 850 ปอนด์ (ประมาณ 4,700,000 บาทในปัจจุบัน) ด้วยราคาขนาดนี้ การบริการทุกอย่างก็ดีมากพอที่จะทำให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งบนไททานิคแทบจะสุขสบายอย่างราชาผู้ครองแคว้น ทั้งระเบียงส่วนตัว ห้องอ่านและเขียนหนังสือ ยิมออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ทันสมัย โถงทางเดิน และบันไดใหญ่ที่รับแสงจากธรรมชาติผ่านโดมแก้ว ที่เป็นหนึ่งในตำนานเลื่องลือถึงความสวยงามที่สุดเท่าที่เรือเดินสมุทรลำหนึ่งจะมีได้

เรื่องของอาหารการกินก็คงไม่ต้องพูดถึง เพราะผู้โดยสารชั้นหนึ่งจะมีร้านอาหาร และคาเฟ่ที่สามารถใช้บริการได้ตามใจต้องการ (ค่าอาหารในร้าน และคาเฟ่ไม่รวมอยู่ในค่าตั๋ว) พร้อมด้วยห้องอาหารขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนเรือสำราญ และมีวงออร์เคสตร้าคอยเล่นเพลงคลอตลอดมื้ออาหาร อาหารในเมนูก็มีมากมายเสียจนเลือกไม่หวาดไม่ไหว มื้อที่เป็นที่ตั้งตารอ และเป็นหน้าเป็นตาให้กับไททานิคมากที่สุดคือ อาหารมื้อเย็น ที่จะเสิร์ฟในรูปแบบอาหารคอร์สสไตล์ฝรั่งเศส ซึ่งผู้โดยสารสามารถรับประทานได้มากสุดถึงสิบคอร์ส เรียกว่าใช้เวลากันมากกว่าสี่ถึงห้าชั่วโมงเลยทีเดียว โดยทุกคอร์สจะมาพร้อมกับไวน์ที่เข้ากัน อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ในมื้อเช้า ผู้โดยสารชั้นหนึ่งสามารถสั่งสเต๊ก หรือออมเล็ตแบบทำสดๆ ได้ และประเภทของเมนูไข่ที่สั่งได้มีทั้งหมดสี่แบบ เมนูมันฝรั่งสามแบบ และเมนูปลาอีกมากมาย

เมนูอาหารมื้อสุดท้ายของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง (ในวันที่ 14 เมษายน 1912)

โดยมื้อสุดท้ายของผู้โดยสารชั้นหนึ่งคือ มื้อเย็นของวันที่ 14 เมษายน 1912 (เชื่อกันว่า ไททานิคชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งเพียงแค่ไม่กี่นาทีหลังจากจบมื้ออาหารนี้) และนี่คือรายการอาหารทั้งสิบจานนั้น

จานที่หนึ่ง: ‘เมนู Hors D’oeuvre’ หรืออาหารเรียกน้ำย่อยที่เสิร์ฟก่อนจานหลัก เป็นหอยนางรมสด ท็อปด้วยมะเขือเทศสด และเลม่อน

จานที่สอง: ‘เมนูซุป’ มีให้เลือกระหว่าง Consommé Olga (น้ำซุปใสจากสต็อกลูกวัว และไขกระดูกปลาสเตอร์เจียน) หรือซุปครีมบาร์เลย์

จานที่สาม: ‘เมนูปลา’ เสิร์ฟเป็นแซลมอนแอตแลนติกที่นำไปลวกเล็กน้อย โปะด้านบนด้วยซอสครีมมูสลีน (เป็นซอสที่ทำจากซอสฮอลันเดส ตีเข้ากับน้ำมันเมล็ดชา ผสมกับวิปครีม)

จานที่สี่: ‘เมนูหลัก’ หรือ Main Course สามารถเลือกได้ระหว่าง Filet Mignon Lili (สเต๊กเนื้อแดงที่โปะด้านบนด้วยตับห่าน และเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งถือว่าเป็นวัตถุดิบที่ดี และแพงที่สุดสำหรับยุคนั้น), Chicken Lyonnaise (อกไก่ และหัวหอมที่เคี่ยวจนไหม้ กับไวน์ขาว และซอสมะเขือเทศ) หรือ Vegetable Marrow Farci (คล้ายคลึงกับซุคินีทั้งรูปร่าง และรสชาติ ในจานมีส่วนประกอบของหัวหอม ใบกะเพรา ออริกาโน ซอสมะเขือเทศ เห็ด และโรยเกล็ดขนมปังและชีส)

จานที่ห้า: ‘เมนู Relevé’ หรือเมนูเนื้อชิ้นใหญ่ที่หั่นเสิร์ฟในห้องอาหาร สามารถเลือกเป็น เนื้อแกะซอสมิ้นท์, เป็ดย่างซอสแอปเปิ้ล หรือสเต๊กเนื้อเซอร์ลอยน์อย่างดีคู่กับมันฝรั่ง เครื่องเคียงเป็นถั่ว, ครีมแคร์รอต, ข้าว หรือ มันฝรั่งต้ม

จานที่หก: ‘เมนูพันช์ หรือซอร์เบต์’ เสิร์ฟเมนู Punch Romaine (เครื่องดื่มตัดเลี่ยน ทำจากน้ำแข็ง ไวน์ รัม และแชมเปญ)

จานที่เจ็ด: ‘เมนูอบ’ เสิร์ฟเป็น Roast Squab & Cress (ทำจากลูกนกพิราบ ซึ่งเป็นอาหารของผู้ดีในสมัยยุคกลาง โดยสูตรของไททานิคจะมีกระเทียม และเบค่อนด้วย)

จานที่แปด: ‘จานเย็น’ เสิร์ฟ Cold Asparagus Vinaigrette (หน่อไม้ฝรั่งแบบเย็น)

จานที่เก้า: ‘เมนู Savoureux’ เสิร์ฟเป็น Pâté de Foie Gras (ตับห่านบนขนมปัง)

จานที่สิบ: ‘เมนูของหวาน’ มีให้เลือกระหว่าง Waldorf Pudding (พุดดิ้งชั้นดีจากโรงแรม Waldorf ในนิวยอร์ก เบสเป็นคัสตาร์ดและแอปเปิ้ล), Peaches in Chartreuse Jelly (เยลลีจากเหล้าสมุนไพรฝรั่งเศสและพีช), Chocolate Vanilla Eclaire (เอแคลร์ไส้คัสตาร์ด โปะด้วยช็อกโกแลต) หรือ French Ice Cream (ซึ่งในยุคนั้นไอศกรีมมีราคาสูงมากจะเสิร์ฟเฉพาะในโอกาสสำคัญเท่านั้น)

คอร์สปิดท้าย: เสิร์ฟเป็นชีส ผลไม้ และแยม

ต้นแบบของอาหารบนเรือสำราญในปัจจุบัน

สำหรับมื้ออาหารบนเรือสำราญในปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญ และเป็นหน้าเป็นตาให้กับบริษัท รากฐานมาจากบริการอาหารชั้นเลิศของไททานิค ผู้โดยสารสามารถรับประทานอาหารฟรีสามมื้อ หรือจะจ่ายเพิ่มสำหรับร้านอาหารเฉพาะ (Specialty Restaurants) ก็ได้

ร้านอาหารญี่ปุ่น Kaito Teppanyaki & Sushi Bar บนเรือ MSC Meraviglia

ห้องอาหารที่รวมมากับค่าตั๋ว มักจะเป็นห้องอาหารหลักที่มีบริการอาหารที่หลากหลายไม่ว่าจะเสิร์ฟอาหารเป็นคอร์ส หรือเป็นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งก็จะมีตั้งแต่โซนสลัดบาร์, พาสต้า, ของหวาน และอื่นๆ ทั้งที่ผู้โดยสารต้องเดินไปตักเอง หรือมีพนักงานยืนคอยให้บริการตามแต่ละจุด บางสายการเดินเรือ เช่น Royal Carribbean, Celebrity Cruises หรือ Holland America ก็จะมีร้านอาหารพิเศษสำหรับแขกวีไอพี (ซึ่งรวมอยู่ในค่าตั๋วแล้ว แต่ก็ยังต้องจองโต๊ะสำหรับมื้อเย็นอยู่ดี)

ร้านอาหารเฉพาะ (Specialty Restautants) เป็นร้านอาหารที่เสิร์ฟเฉพาะเมนูอาหารจากเชฟผู้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ซึ่งในเรือแต่ละลำก็จะมีหลากหลายประเภท และสไตล์ บางเรืออาจมีร้านอาหารอิตาเลียนสำหรับครอบครัว ร้านเทปปันยากิสไตล์ญี่ปุ่น หรือร้านอาหารฝรั่งเศสสำหรับคู่รัก แต่ส่วนมากที่พบจะเป็นสเต๊กเฮาส์ (Steakhouses) ที่มีทั้งสไตล์อเมริกัน บราซิเลียน และอิตาเลียน รวมไปถึงร้านซูชิ และอาหารฟิวชั่นสไตล์เอเชี่ยน ที่เน้นหนักไปทางอาหารทะเล

ตำนานที่ไม่มีวันจมหายไป

ในปัจจุบันเมนูอาหารของผู้โดยสารชั้นหนึ่งบนเรือไททานิคมีมูลค่าสูงกว่า 4,000,000 บาท ซึ่งผู้คนก็ยังคงสะสมสิ่งของ และให้ความสนใจกับเรื่องราวบนเรือลำนี้มาตลอด แม้เหตุการณ์จะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม แต่หายนะครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ก็ไม่อาจลบเลือนออกไปจากความทรงจำของทุกคนได้ ถึงในปัจจุบันจะมีเรือเดินสมุทรมากมายที่ทั้งหรูหรากว่า และปลอดภัยกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เรือไททานิคถือเป็นต้นแบบของเรือสำราญในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของความหรูหราอลังการ และการเป็นสิ่งเตือนใจที่ให้ระแวดระวังเรื่องความปลอดภัยในทุกๆ น็อตที่เรือแล่น เพื่อความหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อันน่าสลดเช่นไททานิคขึ้นอีกในอนาคต

อ้างอิง

Titanic Belfast
Irish Central
History
Geography Scout
The Points Guy