รูปแบบของความฝันและหน้าตาของมันจะออกมาเป็นแบบไหน? วันนี้ฝันอีกอย่าง พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้อาจเปลี่ยนไปก็ได้ เหมือนกับ ‘จี๊ป – สาธิยา ศิริพจนากร’ อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Esquire ที่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนตั้งแต่อายุ 16 ปี ในวันที่ความฝันเดินทางมาจนถึงจุดสูงสุดและถึงเส้นชัยการทำงานแล้ว การก้าวออกมาจากเซฟโซน และเริ่มต้นลงมือทำอีกหนึ่งความฝัน กับการเปิดร้าน ‘Madi BKK’ ในช่วงเดียวกับสถานการณ์โควิดที่กำลังระบาด
เมื่อพูดถึงย่านเจริญกรุง หลายคนคงนึกถึงร้านอาหาร ร้านขนม และของกินละลานตา เรียกได้ว่าเป็นย่านเก่าแก่ที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะเวียนไปซื้อหาของอร่อยหรือร้านโปรดที่ตัวเองชอบ แต่ครั้งนี้เราจะพาไปเยือนคาเฟ่สุดมินิมอล สีขาวสะอาดตา ตัดกับสีน้ำตาลของประตูไม้ เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็พบกับคุณจี๊ปที่รอต้อนรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและทักทายอย่างเป็นมิตร พร้อมด้วยน้องบาริสต้า และลูกค้าที่นั่งดื่มกาแฟประมาณ 2-3 โต๊ะ กลิ่นเมล็ดกาแฟที่กำลังบดและคั่วหอมคละคลุ้ง ประหนึ่งว่าเป็นน้ำหอมปรับอากาศของทางร้าน ซึ่งมันเข้ากับบรรยากาศเอามากๆ
คุณจี๊ปเล่าให้ฟังว่า "อยากทำอะไรเป็นของตัวเองในวัย 36 ปี” ด้วยความที่เป็นคนชอบเขียน ชอบถ่ายรูป ชอบดูงานแกลเลอรี และติดกาแฟ จึงตัดสินใจชวนเพื่อนสนิทอย่าง ‘เมย์ – เมธิกานต์ ขวัญเมือง’ ที่กำลังออกจากงานประจำมาทำคาเฟ่ด้วยกัน ตอนเปิดร้านคือช่วงสถานการณ์โควิดได้ประมาณ 1 ปี คนรอบข้างเตือนเรื่องทำร้านเยอะมาก แต่คุณจี๊ปมองว่า ถ้าวันหนึ่งมองกลับมา ถ้าต้องเลือกระหว่าง ‘ไม่คิดที่จะทำ’ กับ ‘ทำแล้วเจ๊ง’ คงเสียดายมากกว่าที่ไม่ได้ทำ
Madi BKK กับการเปิดร้านช่วงสถานการณ์โควิด
"ช่วงนั้นก็ไม่มีใครบังคับเรา การตัดสินใจจึงมาพร้อมความเสี่ยงอยู่แล้วในสถานการณ์นั้นๆ แต่เราเดินเข้ามาในรูปแบบที่รับได้ถ้ามันจะเสี่ยง จี๊ปทำร้านมาจนใกล้ช่วงเปิดร้านประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็มีประกาศล็อกดาวน์ทันที แต่เรามองว่าคาเฟ่มีความโชคดีกว่าร้านอาหารตรงที่ซื้อแล้วกลับได้เลย เพราะในช่วงล็อกดาวน์ ลูกค้าก็สั่งเครื่องดื่มกลับ คาเฟ่มันมีความง่ายกว่า แน่นอนว่ามันก็ได้รับผลกระทบ เพราะถ้าไม่มีล็อกดาวน์ก็คงดีกว่านี้มากๆ แต่เราไม่เคยทำร้านมาก่อน ซึ่ง 4 เดือนแรกค่อนข้างดีเลยสำหรับร้านที่เพิ่งเปิด ถ้าเราเตรียมใจไว้ว่ามันต้องแย่ แล้วมันดีกว่าที่คิดว่าต้องแย่ จี๊ปก็โอเคแล้ว เราต้องมี worst case ที่แย่ที่สุดว่า ถ้าต้องเกิดขึ้น ขายไม่ได้เลย คนไม่ออกจากบ้าน ขายได้ 10 แก้ว จะอยู่ยังไง เราก็ต้องมีแพลน B แพลน C ไว้ เราก็เลยโอเคกับมัน"
Take It or Leave It
“ก่อนจะเปิดร้าน จี๊ปกับเมย์เคยคุยกันว่าช่วงนี้ยังไม่มีใครกล้าเปิดอะไรใหม่ๆ แล้วถ้าเราจะเปิดกันช่วงนี้ ก็ต้องทำให้สุดไปเลยนะ เราไปดูมาหลายโลเคชั่นที่เขาว่าดี แต่ก็ยังไม่ชอบ ฟีลมันไม่ตรงกับภาพที่คิดไว้ เลย์เอาท์ร้านมันยังไม่ fit in จนมากับเจอที่นี่ ครั้งแรกที่มาคือมันเก่าและร้างมาก น่าจะไม่มีคนอยู่มาเป็น 10 ปีได้ แต่ภาพในหัวเรามันตรงกับที่นี่พอดีเลย เราก็เลยเริ่มต้นด้วยการเอาชั้น 2 ออก แล้วเปิดเป็น double volume ให้แสงธรรมชาติเข้า ทำให้สุดอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก”
หัวใจสำคัญของการทำ Madi BKK
“เราทำร้านนี้ด้วยแพชชั่นของเราล้วนๆ มันเหมือนกับว่าเราได้ออกจาก safe zone ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 10 กว่าปีที่เราทำงานบริษัทมาตลอด ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตต้องมารองรับความเสี่ยงอะไร ไม่มีความคิดลบๆ ในการทำงานที่ผ่านมาด้วย เพราะได้ทำงานในองค์กรที่ดี มีงานที่ดี ซึ่งชีวิตงานประจำเราไม่ได้แย่ เป็น safe zone ที่รู้สึกว่าถ้าอยู่ไปเรื่อยๆ ก็อยู่ได้ แต่เราคิดทบทวนกับตัวเองตลอดว่า ยังมีอะไรบ้างที่อยากทำ และยังไม่ได้ทำ ถ้าเริ่มทำตอนอายุเยอะๆ ก็อาจจะไม่อยากทำแล้วก็ได้ เราก็เลยมาทำฝันที่ทบไว้อยู่ในใจ ถือว่าได้ทำก็คือสำเร็จแล้ว"
ที่มาของชื่อร้านและโลโก้ร้าน
"จริงๆ แล้วจะอ่านว่า 'มาดิ' หรือ 'มาดี' ก็ได้ เราอยากเปิดร้านที่เราสามารถเป็นเพื่อนกับลูกค้าได้ ตอนที่เริ่มทำร้าน ตั้งแต่ระบบการจัดการ กาแฟ โครงสร้าง ดีไซน์ และอินทีเรียของร้าน ก็ได้เพื่อนๆ มาช่วยกันทำ พอจะตั้งชื่อร้านก็อยากให้มันง่ายและมีความเป็นเพื่อนมากๆ แล้วลูกสาวจี๊ปชื่อ ‘มาดี’ บวกกับคอนเซ็ปต์ร้านที่ก็คือความเป็นเพื่อน เลยตั้งเป็น ‘มาดิ’ เพราะร้านเราจะให้ความรู้สึกประมาณ “Come on มาดิ” คนใกล้ตัวที่สนิทกันก็จะเรียกเป็นชื่อลูกสาว ส่วนโลโก้ร้าน ก็จะมีทั้งโลโก้หลัก และโลโก้โปรดักส์ โทนของร้านจะเน้นเป็นสีฟ้ากับส้ม เพราะเพื่อนจะมีความเป็นน้ำ ส่วนเรามีความเป็นไฟ เลยใช้สองสีนี้เป็นหลัก"
คาเฟ่ฟีลเพื่อนแวะมาหาเพื่อน
"มันคงไม่ได้มีคาเฟ่ทุกที่ ที่เจ้าของร้านมานั่งคุยกับเรา อยากให้ร้านมีความเป็นเพื่อนกับลูกค้า เราเชื่อว่าคาเฟ่ทั่วไปไม่ได้เป็นแบบนี้ ถ้าคนมาตามเทรนด์คาเฟ่เปิดใหม่ ต้องมาถ่ายรูป อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่มันจะมีลูกค้าประจำที่มาแล้วรู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกัน นั่นคือสิ่งที่เราอยากให้เป็น พอเปิดได้สักพักก็มีลูกค้าซื้อหอยจ๊อมาฝาก ปีใหม่แวะมาแฮงค์เอาท์ ซื้อของขวัญมาให้ ทักมาถามขอคอนแท็กต์ส่วนตัวเพื่อมาหาเราโดยเฉพาะ เป้าหมายของร้านคือแบบนั้น และมันเป็นแล้ว"
Circle of Friends
"ร้านเรามีความเฟรนด์ลี่อยู่เยอะ ด้วยความที่เราอยากเป็นเจ้าของร้านที่เป็นเพื่อนกับลูกค้า มันก็เลยเป็นที่มาของคอนเซ็ปต์ร้าน เพราะเราเชื่อในวงจรของเพื่อนมาก ส่วนตัวเป็นคนติดเพื่อน แล้วความสัมพันธ์แบบเพื่อนมันเป็นวงกลม มีทั้งวงที่ใกล้เราที่สุด แล้วก็วงที่ไกลออกไป มันจึงมีการจัดวงกลมในชีวิต ซึ่งร้านนี้เป็นหนึ่งในวงกลมของเรา พอเจอคนแบบเดียวกัน เราก็จะถูกดึงดูดให้มารู้จักกันเอง"
เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน
Madi Culture Coffee – กาแฟเบลนด์ผสมนมที่ให้รสชาติคล้ายกับลาเต้ แต่จะมีความหอมหวานของกาแฟ และความมันจากนมที่ติดลิ้นกว่าเล็กน้อย
Yuzu Americano by MR.B – เมนูเครื่องดื่มที่ผสมผสานระหว่างรสขมของอเมริกาโน และรสหวานอมเปรี้ยวของน้ำส้มยูซุ เข้ากันได้อย่างลงตัวจนเผลออีกทีก็หมดแก้ว
Truffle Mushroom Pie – พายนี้ของทางร้านหอมอบอวลด้วยกลิ่นของเห็ดทรัฟเฟิล แถมยังอร่อยด้วยผิวสัมผัสภายนอกที่มีความกรอบและเนื้อในนุ่มละมุน
Croffle – นับว่าเป็นเมนูยอดฮิตซึ่งเหมาะจะทานคู่กับกาแฟสักแก้วมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ด้วยเนื้อสัมผัสที่หอม นุ่ม ชุ่มเนย ผสมกับความกรอบเบาๆ จากภายนอก
วัตถุดิบที่ทางร้านเลือกใช้ มาจากไหนบ้าง?
"ทุกอย่างที่เอามาต้องเป็นของที่เราชอบ แล้วก็เป็นของที่เรารู้สึกว่ามันดีที่สุด เพราะเรากินทุกวัน เมล็ดกาแฟร้านเรามาจากแม่จันใต้ จากฟาร์มที่สูงที่สุดของจังหวัดเชียงราย ไม่มีสารเคมี ใช้เบลนด์เป็นหลัก และเป็นเมล็ดกาแฟที่เอาไปทำเมนูไหนก็อร่อย จะผสมกับนมหรือไซรัปก็อร่อย เป็นกาแฟที่อยู่ตรงกลาง ส่วนขนมก็ได้เพื่อนเป็นคนทำให้"
ที่มาที่ไปของ ‘Creator Hub’ และการสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คน
"ที่ใช้ชื่อ ‘Creator Hub’ เพราะไม่อยากจำกัดความว่าเป็นแค่แกลเลอรี มันคือพื้นที่ที่เราสามารถทำให้เป็นอะไรก็ได้ บางสัปดาห์อาจมีเวิร์กชอป จัดดอกไม้ วาดรูปสีน้ำ ถ่ายแบบ จัดอีเวนต์ หรือมินิคอนเสิร์ตก็สามารถทำได้ ทุกวันนี้เราคุยกับเพื่อนสนิทว่า เราโชคดีมากที่ตัดสินใจทำข้างบนเป็นลักษณะคล้ายแกลเลอรี เพราะคาเฟ่มันทำงานด้วยตัวมันเอง แต่ด้านบนเพิ่งมีอีเวนต์จบไปไม่นาน และจากนี้ก็จะมีเวลาอีก 2-3 วันเพื่อเซตงานขึ้นมาใหม่ ซึ่งเรารู้สึกสนุกเพราะได้ทำงานกับศิลปิน เพราะตอนที่เรามาทำร้านก็ยังไม่มีร้านไหนเปิด ก็เลยคิดว่าต้องทำออกมาให้เป็นเรามากที่สุด และอยากให้คนนึกถึงร้านเราเวลาอยากจะทำเวิร์กชอปหรือกิจกรรมต่างๆ เราเชื่อว่าทุกคนที่ทำงานศิลปะก็อยากให้งานของตัวเองเป็นแรงบันดาลใจต่อใครสักคน”
“งานที่จัดโชว์ใน Creator Hub ของเรา หลักๆ จะเป็นรูปจากช่างภาพเด็กๆ ที่ยังไม่ค่อยมีชื่อ อย่างช่างภาพเทคนิคที่เพิ่งเอาผลงานมาโชว์ ภาพของเขาดูสวยและอบอุ่นมาก มันเหมือนเพชรในตม คือบางคนก็ไม่รู้ว่าจะพรีเซนต์ตัวเองยังไง พอมีช่วงที่พื้นที่จัดแสดงว่าง เราก็จะบอกต่อเพื่อให้คนเก่งๆ เหล่านี้เอาผลงานมาวางโชว์ เราให้ใช้พื้นที่แบบฟรีๆ ไปเลย"
“เพราะประเทศไทยไม่ค่อยมีพื้นที่สำหรับคน no name เลยคิดว่าพื้นที่ด้านบนของร้านน่าจะใช้งานได้ในส่วนนั้น โดยใช้วิธีการบอกต่อแบบปากต่อปาก”
‘Lifestyle Shop’ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหน?
"มันมาจากความชอบส่วนตัวของเรา เราชอบอะไร เราใช้อะไร ทุกอย่างที่ขายก็มาจากสิ่งเหล่านี้หมด รวมไปถึงขนมและเครื่องดื่มเองก็เป็นสิ่งที่เราชอบ ส่วนตัวเราอยากทำอะไรที่ง่าย จับต้องได้ เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งร้านนี้ก็เป็นไลฟ์สไตล์คาเฟ่ ซึ่งจะมีโปรดักส์ของร้านวางขายด้วย อย่างเช่น เทียน สบู่เหลวล้างมือ กระเป๋าผ้า หมวก และเสื้อยืด เราออกแบบและทำสินค้าขึ้นมาขายเอง ให้ฟีลเหมือนไปเดินพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศแล้วเขามีของที่ระลึกขาย ซึ่งเราชอบอะไรแบบนี้มาก"
ยามค่ำคืนของ Madi BKK ที่แปลงโฉมจาก ‘คาเฟ่’ เป็น ‘ไวน์บาร์’
"เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเองค่ะ ด้วยความที่ร้านอายุครบ 1 ปีพอดี และไลฟ์สไตล์เราคือเป็นคนชอบดื่ม เพื่อนก็ชอบดื่ม แล้วบังเอิญว่ามีรุ่นน้องที่เป็นเพื่อนกัน เขาเก่งเรื่องบาร์ไวน์ ก็เลยมาลองทำและสามารถช่วยเราได้ในตอนเย็นกับตอนกลางคืน หลักๆ คือมันเกิดขึ้นได้เพราะเราดื่มและมีคนช่วยดูแล เพราะชีวิตที่ทำร้านกาแฟตั้งแต่เช้าและจัดการงานจนถึงเที่ยงคืน ร่างกายมันไม่ไหว ซึ่งพาร์ทนี้จะมีขึ้นสัปดาห์ละ 4 วัน ในวันพฤหัสบดี-อาทิตย์ เริ่มตั้งแต่หลัง 5 โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน ถ้าอยากเจอเราก็มาได้"
ความคาดหวังในการทำ Madi BKK
"จี๊ปเปิดมาได้หนึ่งปีแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ที่ทุกคนเตือนไม่ให้ทำ แต่เราตัดสินใจโดดมาทำ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ได้ด้วยตัวมัน และยังคงหล่อเลี้ยงตัวมันไป ซึ่งเรารู้สึกว่าถึงเส้นชัยตั้งแต่ได้ทำ แค่เริ่มก็ที่สุด เพราะเมื่อคนเราได้ทำในสิ่งที่อยากทำ มันคือที่สุดแล้ว"
วางแผนธุรกิจในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง?
"เปิดมาครึ่งปีแรกก็มีห้างชวนเข้าไปเป็นแฟรนไชส์ แต่เรายังไม่เห็นตัวเองแบบนั้น และยังอยู่ในช่วงตัดสินใจ ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้แค่รู้สึกว่าอยากเป็นตัวเอง อยากทำตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ ก่อน แล้วค่อยขยายไปตามที่คิดว่าสามารถทำได้ เพราะเรามองตัวเองว่าแตกต่าง ถ้าคุณอยากมาก็ ‘มาดิ’"
ติดตามคาเฟ่ Madi BKK ได้ที่
Facebook: Madi Bkk
Instagram: madi_bkk