ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เรามักเห็นการถกเถียงถึงเรื่อง ‘ปิตาธิปไตย’ กันอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ที่ประเด็นความเท่าเทียมทางเพศได้รับความสำคัญมากขึ้น และทำให้เกิดการถกเถียงกันอยู่เสมอ
การถกเถียงที่ว่ามีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการมองว่าไทยเป็นประเทศที่เปิดกว้าง และเท่าเทียมทางเพศมากที่สุดประเทศหนึ่ง ซึ่งก็มีเสียงคัดค้านว่าหากมองให้ลึกในรายละเอียด ความเท่าเทียมที่ว่าอาจไม่ได้มากอย่างที่คิด หรือกระทั่งการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างจริงจังว่าตกลงแล้ววลีที่พูดกันบ่อยๆ ว่า 'ชายเป็นใหญ่' ในที่นี้เป็นใหญ่จริงหรือไม่
พอเริ่มมีการพูดเรื่องชายเป็นใหญ่ จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าระบบสังคมแบบปิตาธิปไตยไม่มีจริง แต่สังคมที่เราอยู่เป็นสังคมแบบ 'หญิงเป็นใหญ่' หรือ ‘มาตาธิปไตย’ ต่างหาก
มาตาธิปไตยคืออะไร? ปิตาธิปไตยที่พูดกันบ่อยๆ แท้จริงแล้วหมายถึงอะไรบ้าง? ลองมาหาความหมายไปพร้อมกัน รวมถึงลองถามตอบกันเล่นๆ ในใจขณะอ่านบทความนี้เพื่อหาคำตอบของตัวเองว่า ตกลงแล้วสังคมที่เราอยู่นั้นเอียงไปทางชายเป็นใหญ่ หรือหญิงเป็นใหญ่มากกว่ากัน
ปิตาธิปไตย
ปิตาธิปไตย (Patriarchy) หมายถึง ระบบสังคมที่เพศชายเป็นผู้กุมอำนาจหลัก ทั้งสังคม, การเมือง, เศรษฐกิจ, กฎหมาย, ศาสนา, วัฒนธรรม ฯลฯ เป็นผู้นำในระบบการเมืองการปกครอง ไปจนถึงมีบทบาทหลักในพิธีกรรม และความเชื่อ โดยนามสกุล, ทรัพย์สินมรดก, ยศถาบรรดาศักดิ์จะสืบถอดต่อไปเรื่อยๆ ผ่านบุตรที่เป็นเพศชาย
หรือหากอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น ปิตาธิปไตย หมายถึงระบบสังคมที่เอื้อประโยชน์หลายด้านให้แก่ผู้ชายมากกว่าเพศอื่นๆ รวมถึงการให้คุณค่า และยกย่องเชิดชูความเป็นชาย ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ การมีเครื่องเพศเป็นเพศชายเท่านั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง โลกมีแนวคิดแบบปิตาธิปไตยเข้มข้นมากในหลายมิติ เห็นได้จากการที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิเรียนหนังสือเหมือนเพศชาย หากผู้หญิงต้องการทำกิจการจะต้องมีชื่อฝ่ายชายมาเซ็นเพื่อยืนยันฐานะให้ ไปจนถึงเรื่องง่ายๆ อย่างการเลือกตั้ง ที่เมื่อก่อนเพศหญิงก็ไม่มีสิทธิเหมือนกับเพศชาย จนผู้หญิงในบางพื้นที่ต้องลุกขึ้นประท้วงเพื่อให้ได้สิทธินั้นมา
ในบทความของสำนักข่าว BBC ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) นักเคลื่อนไหวเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ระบุว่า ผู้หญิงไม่ได้เป็นกุลสตรีมาตั้งแต่เกิด แต่ความเป็นกุลสตรีนั้นถูกบ่มเพาะภายหลัง ท่ามกลางความคาดหวัง บีบคั้น และค่านิยมที่สังคมอธิบายว่าผู้หญิงควรทำตัวอย่างไร ควรวางตัวให้เรียบร้อย และสงบปากสงบคำให้ได้มากที่สุด
ขณะเดียวกัน แนวคิดแบบปิตาธิปไตยก็กดดันให้เพศชายจำนวนมากต้องทำงานหนัก ต้องดูแลครอบครัวของตัวเองให้ดีที่สุด มีการสอนสั่งเรื่องการเร่งสร้างฐานะ, อำนาจ และความมั่งคั่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะดูแลหญิงภายใต้ปกครองของตัวเอง และเพื่อการยอมรับในสังคม โดยจะต้องแสดงออกถึงทัศนคติ หรือความมาดแมนสมชายตามกรอบของสังคม
มาตาธิปไตย
หากตีความคร่าวๆ คำว่า มาตาธิปไตย (Matriarchy) หมายถึง สังคมที่มีการปกครองโดยผู้หญิงเป็นหลัก ผู้หญิงจะมีบทบาทหน้าที่ในสังคมมากกว่าเพศชาย เป็นผู้มีสิทธิในการจัดการเรื่องทรัพย์สิน และมรดกของครอบครัว, มีบทบาทหลักทางพิธีกรรมความเชื่อ, เกิดการบูชาความเป็นเพศหญิง หรือการบูชาเครื่องเพศหญิงที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ไปจนถึงสิทธิในการสืบสายวงศ์ตระกูล ยกตัวอย่างง่ายๆ คือสิทธิของบุตรจะอยู่กับเพศแม่ บุตรจะใช้นามสกุลแม่สืบต่อไปเรื่อยๆ แตกต่างจากสังคมปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ลูกจะใช้นามสกุลของพ่อมากกว่า
สังคมแบบมาตาธิปไตยเคยมีอยู่จริงในยุคโบราณที่มนุษย์ยังแบ่งเป็นชนเผ่าต่างๆ โดยค่านิยมดังกล่าวสามารถพบเห็นได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบางพื้นที่ในทวีปแอฟริกา และหมู่เกาะหลายแห่งในแปซิฟิก
งานเสวนา ‘พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริงและภาพแทน’ ในปี 2559 สุจิตต์ วงษ์เทศ กวี, นักเขียน, นักหนังสือพิมพ์ และผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม มองว่าในวัฒนธรรม และพิธีกรรมศาสนาผี แต่เดิมผู้หญิงมีอำนาจเหนือผู้ชาย สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออุษาคเนย์ ผีบรรพชนก็เป็นผู้หญิง เป็นผีมีคุณช่วยคุ้มครองคนเป็น ส่วนผีผู้ชายมาทีหลัง และได้รับแนวคิดจากตะวันตก
คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า ความคิดเรื่องประจำเดือนเป็นของน่าเกลียด เป็นความคิดแบบผู้ชายมากๆ ในศาสนาพื้นบ้านอย่าง ‘ตันตระ’ เดิมเป็นศาสนาแบบผู้หญิงคือ การไม่รังเกียจเรื่องเพศ เพราะนำไปสู่การเกิด อันเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ศาสนาแบบผู้ชาย มองเรื่องเพศเป็นกิเลสมากกว่า
เสวนานี้ยืนยันว่า ระบบแบบมาตาธิปไตยเคยเกิดขึ้นจริงในหลายพื้นที่ และจากข้อมูลในเอกสารหลายชิ้น ระบุตรงกันว่า มาตาธิปไตยเริ่มเสื่อมความนิยมลงจากการเข้ามาของศาสนาต่างๆ ที่ยึดมั่นนับถือกันในปัจจุบัน ไปจนถึงการเข้าครอบครองพื้นที่ของชาวยุโรปในยุคล่าอาณานิคม นำค่านิยมแบบฉบับตะวันตกที่เน้นบทบาทเพศชาย เข้ามายังพื้นของชนเผ่าต่างๆ มากขึ้น ก่อนจะโดนกลืนไปเป็นค่านิยมหลักในหลายสังคม
การถกเถียงในประเด็นที่ว่า ตกลงแล้วใครเป็นใหญ่ในสังคม?
การถกเถียงเรื่องเพศ หรือการสร้างกลุ่มในโซเชียลมีเดีย ยิ่งเร้าให้การพูดคุยเริ่มจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ คนบางกลุ่มเชื่อว่าในสังคมส่วนใหญ่ของมนุษย์ปัจจุบัน ผู้หญิงมักได้ประโยชน์กว่าเพศชายหลายด้าน โดยเฉพาะด้านสวัสดิการ เช่น สิทธิลาคลอด, สวัสดิการผ้าอนามัย (ที่หลายพรรคการเมืองกำลังผลักดัน), การฝังยาคุมกำเนิด, รวมถึงผู้หญิงเป็นเพศที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร ฯลฯ
หากมองออกจากกรอบการเมือง เมื่อสังเกตดูแล้วจะพบว่าโลกใบนี้มีที่จอดรถแบบเฉพาะแค่กับเพศหญิง (Lady Parking), คนท้อง, คนพิการ, และคนชรา ไม่มีที่จอดรถสำหรับผู้ชายเท่านั้น หรือประเด็นเรื่องห้องน้ำ ที่ผู้ชายไม่สามารถเข้าห้องน้ำผู้หญิงได้ แต่ผู้หญิงสามารถเข้าห้องน้ำผู้ชายได้
ยังมีเสียงวิจารณ์อีกว่า ผู้หญิงไม่ต้องแบกรับความคาดหวัง หรือการเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่จะต้องหาเลี้ยงตัวเอง คู่สมรส และลูก ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าสินสอดก่อนแต่งงาน หรือเวลาใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ผู้ชายก็มักจะต้องเสียสละที่นั่งให้กับผู้หญิง, เด็ก, พระ หรือคนชราก่อน ไปจนถึงเรื่องการใช้กำลังแบกหาม ที่คนส่วนใหญ่มักขอแรงจากผู้ชายก่อนเสมอ
ไหนจะการที่ผู้ชายต้องเป็นสุภาพบุรุษเพื่อบริการความสะดวกสบายแก่ผู้หญิง, ต้องทำความสะอาดบ้าน และเป็นรองในความสัมพันธ์คู่รัก เห็นได้จากภาพยนตร์ ละคร หรือซิตคอมที่เหล่าแฟนหนุ่มต่างต้องดิ้นรนหาทางออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรือคิดหาวิธีว่าทำอย่างไรที่จะออกมาพบปะเพื่อนฝูงได้ โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ห้าม, ไม่ด่าทอ, หรือไม่ทุบตี เพราะไม่อย่างนั้นจะมีมุกกลัวเมียหรือพ่อบ้านใจกล้าขึ้นมาได้อย่างไร หากชายนั้นเป็นใหญ่กว่าจริงๆ
ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นเพราะ รากฐานสังคมที่เป็นระบบมาตาธิปไตย ที่ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ เพราะเพศหญิงได้ประโยชน์มากมายจากสังคมอยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สังคมไทยจะเป็นปิตาธิปไตยได้อย่างไร?
ขณะเดียวกัน ฝั่งที่มองว่าผู้ชายได้ประโยชน์ และมีความสะดวกสบายกว่าหลายด้าน ก็หยิบยกเหตุผลมาชี้แจงเป็นต้นว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลจากมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ที่ทำร่วมกับสมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ พบว่าผู้หญิงไทยถูกทำร้ายร่างกาย จิตใจ โดยอัตราการล่วงละเมิดทางเพศเกิดกับผู้หญิงไม่น้อยกว่า 7 คนต่อวัน ซึ่งมีผู้หญิงเข้าแจ้งความ และต้องเข้ารับการบำบัดจากการถูกล่วงละเมิดเฉลี่ยปีละ 30,000 ราย เป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
“ผู้หญิงอยู่ในกลุ่มเปราะบาง ต้องเผชิญความเหลื่อมล้ำจากอคติทางเพศ, จารีต, ประเพณี และวัฒนธรรม ที่ถูกฝังรากลึกมานาน ทำให้บางคนสูญเสียโอกาส และได้รับผลกระทบในชีวิตอย่างหนัก” ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. ระบุถึงความรุนแรงต่อเพศหญิง
ด้านการมีส่วนร่วมทางการเมือง อย่างที่ระบุไว้ข้างต้นว่าผู้หญิงไม่มีสิทธิเลือกตั้งมาตั้งแต่แรก และต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธินั้นมา ในปัจจุบัน สัดส่วนทั่วโลกระบุตรงกันว่า เพศหญิงยังเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยกว่าเพศชาย
ข้อมูลจากเว็บไซต์ iLaw ระบุว่า ในปีพ.ศ. 2565 มี ส.ส. ในสภา 474 คน ซึ่งเป็นเพศชายกว่า 398 คน คิดเป็น 83.97% ขณะที่ ส.ส. หญิง มีเพียง 73 คน คิดเป็น 15.40% และมี ส.ส. เพียง 3 คน ที่เปิดเผยต่อสาธารณะว่าเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ
ส่วนด้านเศรษฐกิจ เรายังสามารถเห็นความเหลื่อมล้ำของค่าแรงในปัจจุบันนี้ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่างบางงาน ที่ทำงานเหมือนกัน ตำแหน่งเดียวกัน แต่ผู้หญิงจะได้รับเงินเดือนน้อยกว่าผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุผลหลากหลายแตกต่างกัน เช่น นายจ้างกังวลว่า การรับผู้หญิงเข้ามาทำงานแล้วอาจอยู่ไม่นาน เพราะต้องลาออกไปแต่งงาน เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก หรือมีปัญหาเรื่องการลาคลอดที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือน ไปจนถึงสถิติที่ยืนยันว่าผู้ชายได้รับโอกาสในการเลื่อนขั้นมากกว่าผู้หญิง
ส่วนเรื่องที่จอดรถสำหรับผู้หญิง เดิมทีที่จอดรถไม่ได้มีการแยกเพศชัดเจน จนกระทั่งหลายพื้นที่บนโลกเกิดเหตุการณ์ที่ ผู้หญิงถูกดักปล้น ทำร้าย หรือล่วงละเมิดทางเพศโดยเพศชายขณะใช้บริการที่จอดรถ เป็นสาเหตุให้เกิดลานจอดรถสำหรับผู้หญิง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ พร้อมสร้างความรู้สึกปลอดภัย และกันเพศชายออกจากการมองเห็นผู้หญิงที่ขับรถมาคนเดียว
ขยับมาเรื่องที่ดูซีเรียสน้อยลงกว่าสถิติสักหน่อย ฝ่ายที่เชื่อว่าสังคมนี้ยังเป็นแบบชายเป็นใหญ่ ได้หยิบการบูลลี่รูปร่างหน้าตามาสนับสนุนแนวคิดนี้ เช่น ผู้หญิงที่มีรูปร่างอ้วน มักถูกเรียกว่า ‘สาวอวบ’ ‘สาวอ้วน’ ‘สาวร่างใหญ่’ เพื่ออธิบายว่า ผู้หญิงเหล่านี้มีรูปร่างที่ผิดไปจากกรอบความงาม ทว่าพอเป็นฝ่ายชายที่ตัวอวบอ้วน กลับมีคำศัพท์ที่ลดทอนทำให้เบาลง เช่น ‘หุ่นหมี’ ‘กอดอุ่น’ ซึ่งหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าอวบ หรืออ้วนอย่างเห็นได้ชัด
บางคนมีคำถามว่าทำไมถึงมีแค่ผู้หญิงที่จำเป็นต้องดูแลตัวเองมากกว่าเพศชาย การที่ผู้หญิงจำเป็นต้องอยู่ในกรอบความงามที่สังคมกำหนด ต้องกำจัดขนบนเรือนร่างทั้ง ขนรักแร้, ขนขา, และขนแขน สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้เป็นผลพวงจากปิตาธิปไตยกับทุนนิยม ที่สร้างค่านิยมบางอย่างมาครอบให้ผู้หญิงทุกยุคทุกสมัยต้องเป็นแบบนั้นหรือไม่
เรื่องของหน้าอกหน้าใจก็เช่นกัน สื่อออนไลน์ The Matter เคยเขียนบทความ ‘#มองนมไม่ผิด? เมื่อปิตาธิปไตยกดทับให้ผู้หญิงต้องปิดเพื่อไม่ให้คนอื่นเกิดอารมณ์’ โดยท่อนหนึ่งระบุว่า
“หน้าอกที่เป็นอวัยวะของพวกเธอเอง แต่กลายเป็นพื้นที่ที่ผู้อื่นเข้ามาจัดการนิยามคุณค่าอีกที เหมือนกับที่นักเรียนหญิงต้องสวมเสื้อทับยกทรงอีกทีเพื่อป้องกันใครกวาดสายตาไปเห็นแล้วไปยั่วยุกำหนัดเค้า กลายเป็นการจัดการอารมณ์ทางเพศผู้ชาย ด้วยการกำกับที่ผู้หญิงแทน ซึ่งนั่นก็เป็นลักษณะของปิตาธิปไตย”
สิ่งที่กลุ่มต่อต้านเฟมินิสต์ (Anti-feminism) ในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้รวมถึงไทย มีการพูดคุยแบบเหมารวมว่า ‘ผู้หญิงที่ไว้ผมสั้นจะต้องเป็นรักร่วมเพศ’ หรือ ‘ผู้หญิงที่ไว้ผมสั้นคือเฟมินิสต์’ ทั้งที่เรื่องของทรงผมอาจเป็นแค่ความพึงพอใจด้านความงามแบบส่วนตัว หรือผู้หญิงบางคนเลือกไว้ผมสั้นเพราะ อากาศที่ร้อนจัดเท่านั้นเอง
เมื่อฝ่ายที่เชื่อว่า หญิงเป็นใหญ่ยกเรื่องพ่อบ้านใจกล้าขึ้นมา ฝ่ายที่มองว่าชายเป็นใหญ่จึงหยิบยกการเปรียบเทียบที่ลดทอนความเป็นชายด้วยการเบลมเป็นเพศหญิง หรือเพศหลากหลายขึ้นมาบ้าง
'อ่อนแอเหมือนผู้หญิง'
'ขับรถกากเหมือนผู้หญิง'
'หน้าตัวเมีย ไปใส่กระโปรงไป'
'ไอตุ๊ด ไอ้กะเทย'