เมื่อเดือนกรกฎาคม (ค.ศ. 2022) ที่ผ่านมา ทุกคนคงจะเคยได้เห็นข่าวการเสียชีวิตของอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่น ‘ชินโซ อาเบะ’ (安倍 晋三) ซึ่งถูกยิงด้วยฝีมือของนาย ‘เท็ตสึยะ ยามากามิ’ (山上 徹也) โดยสาเหตุมาจากการคับแค้นใจที่แม่ของเขาเคยบริจาคเงินจำนวนมากให้แก่ ‘ลัทธิมูน’ (통일교) หรือ ‘โบสถ์แห่งความสามัคคี’ (Unification Church) จนถึงขั้นล้มละลาย และเชื่อว่าอาเบะให้การสนับสนุนลัทธินี้อย่างลับๆ เพราะคุณตาของนายกท่านนี้เคยไปเยี่ยมเยือนโบสถ์ของลัทธิมูนในปี ค.ศ. 1970
แม้ในปัจจุบัน ลัทธินี้จะถูกพูดถึงเพราะเป็นสาเหตุหลักที่ขับเคลื่อนแรงแค้นของฆาตกรชาวญี่ปุ่น แท้จริงแล้ว ลัทธิมูนได้ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ในปี ค.ศ. 1954 โดยคำกล่าวของ ‘มุนซอนมยอง’ (문선명) ที่อ้างว่าตนเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ได้รับสาสน์จากพระเจ้า ให้นำทางหมู่มวลมนุษย์ในการชำระล้างบาปและหวนคืนสู่อ้อมอกของท่าน นายมุนได้เผยแพร่คำสอนไปทั่วโลก ไม่ว่าจะในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ไต้หวัน รวมถึงไทย ภายใต้ชื่อองค์กรต่างๆ ที่สับเปลี่ยนและเลี่ยงบาลีไปเรื่อยเพื่อป้องกันคำครหาจากสังคม ใครจะไปเชื่อว่าลัทธิที่มีประวัติยาวนานกว่า 68 ปีนี้ยังคงดำรงอยู่ได้ ต่อให้เจ้าของลัทธิจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ตาม
บาปนี้ต้อง ‘ชำระล้าง’ ด้วยการหวนคืนสู่ ‘พ่อแม่ที่แท้จริง’
กล่าวได้ว่าแก่นแท้ของลัทธิมูนนั้นมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ต้องหันหน้ากลับสู่พระผู้เป็นเจ้า หลังการกำเนิดบาปของอาดัมและเอวาที่กินผลไม้ต้องห้ามเข้าไป (เป็นนัยยะแฝงว่าพวกเขามีเพศสัมพันธ์ก่อนเวลาอันควร) ซึ่งคล้ายคลึงกับหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์มาก แต่ต่างกันตรงที่ว่า สาธุคุณมุนต้องการชำระล้างบาปแก่มนุษย์ที่มีสายเลือดของอีฟ ผู้ถูกซาตานในร่างงูล่อลวงทางเพศ เขาและภรรยา ‘ฮันฮักจา’ (한학자) จึงวางตัวเป็น ‘พ่อแม่ที่แท้จริง’ เพื่อสร้างครอบครัวอันไร้บาปและบริสุทธิ์
โดยการสร้างครอบครัวไร้บาปในแบบแผนของลัทธิมูน ก็คือการจัด ‘พิธีรับพรมงคลสมรส’ (The Blessing) อันเลื่องชื่อที่มีผู้เข้าร่วมเป็นสาวกจำนวนมาก สาธุคุณมุนจะจับคู่ให้กับคนโสดทุกคนในลัทธิโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติและศาสนา เพื่อทำลายเส้นแบ่งกั้นระหว่างพรมแดนและรวมผู้คนให้เป็นครอบครัวหนึ่งเดียว เมื่อเด็กของคู่สมรสเหล่านี้เกิดมาก็จะถูกเรียกว่า ‘เด็กผู้ได้รับพร’ (blessed children) เพราะเกิดมาจากพ่อแม่ที่เข้าพิธีรับพรและไร้ซึ่งบาปกำเนิด ด้วยความที่จำนวนสาวกของลัทธิมูนนั้นขยายกว้างอย่างมหาศาล พิธีรับพรนี้จะจัดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีคู่ที่สมรสกันในพิธีนี้ถึง 7,500 คู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
ภายหลังการล่วงลับของสาธุคุณมุน ลัทธินี้ก็ได้รับการสืบทอดโดยลูกชายคนเล็กของเขา ‘มุน ฮยองจิน’ (문형진) และแตกแขนงเป็น ‘ลัทธิศักสิทธิ์ สันติภาพและเอกภาพโลก’ (World Peace and Unification Sanctuary) ด้วยความที่สาธุคุณมุนคนใหม่นี้อาศัยในสหรัฐฯ และโอบรับวัฒนธรรมนิยมปืน พิธีรับพรก็มีความเปลี่ยนแปลงด้วยเล็กน้อย ผู้มีอำนาจและเหล่าสาวกจะถือปืนไรเฟิล AR-15 ซึ่งถูกตีความว่าเป็นแท่งโลหะ (Rod of Iron) ที่มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล พวกเขานับถือมันเป็น ‘คฑาศักดิ์สิทธิ์’ ที่มีไว้รักษาความสงบและสันติภาพของบุตรพระเจ้า ขัดกับหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์ทั่วไปอย่างชัดเจน
ล้างบาป หรือ ล้างสมอง?
ในสารคดี ‘Blessed Child’ ที่ตีแผ่ชีวิตของ ‘คาร่า จอห์นสัน’ (Cara Johnson) หญิงสาวที่เกิดและโตในครอบครัวชั้นนำที่ภักดีต่อลัทธิมูน จนเธอและน้องชายถอนตัวออกมา คาร่าได้อธิบายว่าสาวกหลายๆ คนชื่นชอบแนวคิดของลัทธิเรื่องการเป็นครอบครัวเดียวกันภายใต้การปกครองของพระเจ้า ทุกคนในลัทธิมูนมีความสามัคคีแน่นแฟ้นโดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ และเคารพรักสาธุคุณมุนราวกับเป็นพ่อแท้ๆ แต่หลังจากเริ่มมีข่าวลือว่าเจ้าลัทธิทำการหลีกเลี่ยงภาษี รวมถึงการที่ทางโบสถ์ต่อต้านความหลากหลายทางเพศ คาร่ากับสาวกบางส่วนก็คลางแคลงใจและหมดศรัทธาในที่สุด
https://www.youtube.com/watch?v=ebrbLTlalV0&t=381s
สำนักข่าว Al Jazeera ที่เคยได้ไปเข้าชมพิธีรับพรมงคลสมรสเองก็ทำการพูดคุยกับอดีตสมาชิก ‘อียองซัน’ (이영산) ผู้เคยคลุกคลีอยู่กับลัทธิมากกว่า 30 ปี เธอเผยว่าลูกๆ ของสาธุคุณมุนนั้นใช้ชีวิตหรูหราอยู่บนกองเงินกองทอง มีคฤหาสน์ส่วนตัวในนิวยอร์ก แถมยังลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจมากมาย ในขณะที่เธอเรี่ยไรเงินบริจาคอย่างหนักเพื่อรายได้ของลัทธิ ยิ่งได้ฟังคำพูดชักชวนสาวกให้บริจาคเงินเป็นการไถ่บาปแก่บรรพบุรุษในนรก ความเชื่อของยองซันต่อคำสอนเหล่านั้นก็ถดถอยลง กลุ่มผู้ศรัทธาในประเทศญี่ปุ่นที่สัมผัสได้ถึงการรีดไถและฟ้องร้องขอเงินบริจาคคืนก็มีเช่นกัน
https://www.youtube.com/watch?v=slFUtQQM1Ow
นอกจากนี้เองก็มีเรื่องเล่าของ ‘สตีเวน ฮัสซัน’ (Steven Hassan) นักเขียนชาวอเมริกันที่เคยเป็นหนึ่งในผู้นำของลัทธิมูน เขาถูกชักชวนเข้า “องค์กร” เมื่อตอนอายุ 19 ปีด้วยคำกล่าวที่ว่า “จะทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ดีขึ้น” ภายในระยะเวลา 3 เดือนที่เขาถูกเหล่าสาวกเกลี้ยกล่อมและชวนกึ่งบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในโบสถ์ สตีเวนก็ได้กลายเป็นผู้นำ โดยถูกบอกให้ดรอปเรียนจากมหาวิทยาลัย บริจาคเงินให้แก่ลัทธิ ถูกล้างสมองให้มองพ่อแม่ทางสายเลือดเป็นซาตาน และถูกบังคับให้ทำงานในโบสถ์ทุกวันเป็นเวลา 21 ชั่วโมง เพราะต้องทำยอดบริจาคให้ถึงขั้นต่ำ 100 ดอลล่าร์สหรัฐต่อวัน ไม่อย่างนั้นทุกคนในทีมของเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้นอนหลับพักผ่อน เมื่อตัดขาดจากทางลัทธิมาได้ สตีเวนก็เปิดโปงความโหดร้ายนี้ผ่านการเขียนหนังสือมากมายเกี่ยวกับลัทธิ ถึงอย่างนั้นลัทธิมูนก็ยังแฝงตัวภายใต้นามขององค์กรต่างๆ และยังคงมีผู้ศรัทธาอยู่ทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
ลัทธิมูนเองก็มีอยู่ในประเทศไทย
แน่นอนว่าในเมื่อมีโบสถ์ของลัทธินี้ตั้งกระจัดกระจายไปทั่วโลก ประเทศไทยเองก็มีเช่นกัน โดยมีชื่อองค์กรใหญ่ว่า ‘สหพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลก’ (Family Federation for World Peace and Unification) จากคำกล่าวของผู้ที่เคยอยู่ในลัทธิ โบสถ์หลักนั้นตั้งอยู่ในซอยหนึ่งของถนนรามคำแหง และยังคงมีการจัดพิธีสมรสหมู่เช่นกัน จากการสำรวจกระทู้ ‘สาธุคุณ ซัน เมียง มูน’ บนเว็บไซต์พันทิปซึ่งหนึ่งในสาวกโพสต์ไว้เมื่อ ค.ศ. 2017 ก็ได้รับรู้ว่าสาวกของลัทธิต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าร่วมพิธีรับพรมงคลสมรสเป็นจำนวน 20,000-200,000 บาทต่อคน แต่ได้รับเพียงที่นั่งในงานเป็นเก้าอี้พลาสติกและผ้าคลุมไหล่ 1 ผืนเท่านั้น (ข้อมูลนี้อัปเดตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021) นอกจากนี้ยังใช้ชื่อองค์กรมากมายในการหาคนเข้าร่วมลัทธิและเรี่ยไรเงินบริจาคเข้าสู่โบสถ์ ทั้งในภาคกลาง เหนือ และอีสาน
นอกจากนี้ นักเขียนเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนใกล้ชิดของผู้ศรัทธาในลัทธิมูน เขายืนยันว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นความจริง “คนในลัทธิสามารถนับถือได้ทุกศาสนา เพราะทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี แต่ว่าศาสนาคริสต์คืออันดับหนึ่ง และจะเคารพนับถือศาสนานี้มากกว่าศาสนาอื่น” เขาเสริมว่า “เพื่อนของเรา (ที่อยู่ในลัทธิ) ไม่มีแฟนเลย เพราะเชื่อว่าพอถึงเวลาก็จะถูกจับคู่ให้เอง ส่วนเวลาเลือกคู่จะมีพิธีอะไรสักอย่างที่คล้ายกับของศาสนาคริสต์ ซึ่งต้องผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะลงเอยได้ อีกอย่างคือตัวลัทธิก็มีทุนการศึกษาให้คนในไปเรียนที่เกาหลีทุกปีด้วย”
จากคำบอกเล่าและการที่ผู้คนบนโซเชียลมีเดียจำนวนหนึ่งออกมาพูดถึงประสบการณ์ของตนที่เคยถูกเชิญชวนเข้าลัทธิหรือมีคนรู้จักเป็นสาวก ก็พอจะยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่าลัทธิมูนในไทยนั้นมีอยู่ภายใต้นามขององค์กรและโครงการจิตอาสาเพื่อสังคม สตีเวน ฮัสซันผู้เคยหลงเข้าสู่ลัทธิมูนเคยได้บอกเอาไว้ว่า “ผู้คนมักไม่รู้ตัวว่ากำลังเข้าร่วมลัทธิ” เพราะมันจะมาในรูปแบบของสังคมที่มีอุดมการณ์หนึ่งเพียงเท่านั้น ซึ่งกว่าใครสักคนจะรู้ตัวว่าตนอยู่ในลัทธิ ก็ทุ่มเททั้งใจและกำลังทรัพย์ไปมากมายเสียแล้ว – คุณล่ะ แน่ใจหรือเปล่าว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิไหน?
Fun fact: สาวกของลัทธิมูนจะกล่าวว่า “อาจู อาเมน” (아주 아멘) เมื่อจบคำอธิษฐาน เทียบเท่ากับอาเมนในศาสนาคริสต์ ‘อาจู’ เป็นภาษาเกาหลีแปลว่า ‘มาก’ ส่วน ‘อาเมน’ เป็นภาษาฮีบรูแปลว่า ‘ขอให้เป็นเช่นนั้นเทอญ’
อ้างอิง