~โอลิมปิกเกมส์ ไม่เคยเป็นเพียง ‘มหกรรมกีฬาระดับโลก’ เพราะเรื่องกีฬาไม่เคยเป็นเพียงเรื่องของกีฬา หากยังเป็นเรื่องเดียวกับอีกหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง ศิลปวัฒนธรรม นวัตกรรม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ไปจนถึงเพลง หรือแฟชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันถูกจัดโดยเมืองยานแม่แห่งโลกแฟชั่นอย่าง ‘ปารีส’ เจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 33
~แต่ก่อนอื่น ขอย้อนกลับไปยังโอลิมปิกโบราณสมัยก่อนคริสตกาลร่วมพันปี ซึ่งยังเป็นเพียงอีเวนต์หนึ่งในทางศาสนาของกรีกที่ใช้กีฬาเป็นสื่อกลาง เพื่อถวายความบูชาแด่เทพซุส (เนี่ย…กีฬาคือเรื่องเดียวกับทวยเทพและศาสนาซะงั้น) และกีฬาที่แข่งกันก็มีแค่ประเภทเดียว คือวิ่งแข่ง ก่อนจะค่อยๆ เสื่อมความนิยมและล้มเลิกไปราวปี ค.ศ. 393 (ด้วยเหตุผลหลักที่คนเขาเชื่อกันคือ โรมันที่เข้ามาอิทธิพลเหนือกรีซในตอนนั้นไม่ปลื้มการแก้ผ้าเล่นกีฬาแบบกรีกๆ)
~จนผ่านไป 15 ศตวรรษ โอลิมปิกสมัยใหม่ถึงได้ถือกำเนิด โดยมีขุนนางชาวฝรั่งเศสวัย 26 ปีนามว่า ปิแอร์ เดอ กูแบร์แตง เป็นตัวตั้งตัวตีในการรื้อฟื้นเอามหกรรมนี้กลับมาจัดอีกครั้ง (เพราะตัวเขาเองศึกษาค้นคว้าเรื่องโอลิมปิกโบราณและการกีฬาสมัยก่อนอย่างลึกซึ้งจนอิน) โดยจัดในเดือนเมษายน ปี 1989 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ
โอลิมปิกเกมส์ 1900 จุดเริ่มต้นความเท่าเทียม
~ปี 1900 ปารีสกลายเป็นเมืองที่ 2 ที่ได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกสมัยใหม่ต่อจากเอเธนส์ โดยได้จัดงานนานถึง 5 เดือน (14 พฤษภาคม – 28 ตุลาคม 1900) มีข้อสันนิษฐานว่า โอลิมปิกในครั้งนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการโลก World’s Fair ที่จัดขึ้นที่ปารีสระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายนในปีเดียวกัน เพราะแม้แต่โปสเตอร์โปรโมทยังไม่มีสัญลักษณ์ห้าห่วงของโอลิมปิกอยู่บนภาพเลย
~ความสำคัญของโอลิมปิกในปีนั้นคือการเปิดโอกาสให้นักกีฬาหญิงเข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรก รวม 22 คนใน 5 ชนิดกีฬา คือเทนนิส เรือใบ กอล์ฟ ขี่ม้า และโครเก (กีฬายอดฮิตจากสมัยวิคตอเรีย ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในโอลิมปิกเกมส์แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว) ซึ่งก็มีนักกีฬาหญิงที่สามารถคว้าเหรียญทองในการแข่งขันประเภทเดี่ยวได้เป็นคนแรกคือ ชาร์ล็อต คูเปอร์ นักเทนนิสสาวชาวอังกฤษ
~อย่างไรก็ตาม โอลิมปิกฉบับปารีเซียงครั้งนั้นก็ยังไม่ได้ถูกพูดถึงมากในระดับนานาชาติ เพราะตัวงานยังถูกทรีตเป็นเพียงการแข่งขันกีฬา ‘เพื่อความบันเทิง’ ภายในงาน World’s Fair เท่านั้น หรือประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศก็ไม่ได้มีอิมแพ็คต่อสังคมมากมายอะไร เพราะเอาจริงๆ สัดส่วนของจำนวนนักกีฬาหญิงก็ยังน้อยกว่านักกีฬาชายอยู่มาก
โอลิมปิกเกมส์ 1924 เร็วกว่า สูงกว่า แกร่งกว่า แมสกว่า
~กระทั่งปี 1924 งานโอลิมปิกเวียนกลับมาจัดที่ปารีสอีกครั้ง และมันก็กลายเป็นโอลิมปิกครั้งที่เริ่มได้รับความนิยมในวงกว้าง ในฐานะมหกรรมกีฬาระดับโลก โดยมีชาติที่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันเพิ่มจาก 29 ประเทศ เป็น 44 ประเทศ และยังมีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในงานครั้งนี้ ก่อนมันจะกลายเป็นแบบแผนที่ทำต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
~เช่น มีคำขวัญประจำการแข่งขันเป็นครั้งแรก คือ ‘Citius, Altius, Fortius’ มาจากภาษาละตินที่แปลว่า ‘เร็วกว่า สูงกว่า แกร่งกว่า’, มีหมู่บ้านนักกีฬาครั้งแรก เพื่อให้เป็นที่พักของนักกีฬาจากทุกประเทศ รวมถึงยังมีร้านแลกเงิน ร้านซักแห้ง ร้านทำผม ไปรษณีย์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมายภายในหมู่บ้านด้วย, มีนักกีฬาผิวสีคว้าเหรียญทองได้เป็นครั้งแรกคือ เดออาร์ท ฮับบาร์ด นักกีฬากระโดดน้ำชายชาวอเมริกัน, มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันด้วยเสียงผ่านวิทยุเป็นครั้งแรก, มีพิธีปิดการแข่งขันเป็นครั้งแรก เป็นการเชิญธง 3 ผืนคือ ธงประเทศเจ้าภาพปัจจุบัน (ฝรั่งเศส) ธงชาติประเทศเจ้าภาพครั้งต่อไป (เนเธอแลนด์) และธงโอลิมปิกสากล
~ทั้งยังเป็นโอลิมปิกเกมส์หนสุดท้ายที่กูแบร์แตงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงาน เมื่อเขาตัดสินใจลงจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ในปี 1925 ก่อนจะจากโลกนี้ไปในปี 1937
โอลิมปิกกับศิลปะ ฟ้าดินแยกเราเท่าไรไม่ขาด
~นอกจากการแข่งกีฬา ยังเคยมีการจัดแข่งขันประกวดศิลปะโอลิมปิก (Olympic Art Competitions) มาตั้งแต่ปี 1912 จากไอเดียของกูแบร์แตง ซึ่งเชื่อว่า core value ของโอลิมปิกไม่ใช่แค่การแข่งด้วยร่างกายหรือพละกำลัง หากแต่เป็นการผสานรวม ‘กล้ามเนื้อและจิตใจ’ เข้าด้วยกัน (โดยมีแรงบันดาลใจมาจากชาวกรีกโบราณที่เป็นเลิศทั้งทางกายภาพและศิลปะอย่างสูงสุด) หรือเรียกง่ายๆ ว่าต้องเก่งทั้งศาสตร์และศิลป์นั่นแหละ
~แข่งกัน 5 ประเภทศิลปะ ได้แก่ สถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรี จิตรกรรม และประติมากรรม เงื่อนไขของการลงแข่งขันคือ ต้องเป็นงานศิลปะที่ได้รับแรงบันดาลใจหรือมีความเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนกับกีฬาโอลิมปิก มีระยะเวลาให้ศิลปินได้สรรสร้างผลงาน 4 ปี และผู้ลงแข่งต้องเป็นศิลปิน ‘มือสมัครเล่น’ เท่านั้น
~ภายหลัง กฎเกณฑ์ทั้งหมดนี้กลายเป็นข้อถกเถียงในที่ประชุมของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ว่ามันเป็นการตีกรอบทางศิลปะเกินไปไหม (เพราะด้วยกฎหยุมหยิมๆ นี้เองที่ทำให้มีศิลปินฝีมือดีหลายคนส่ายหน้า ไม่ส่งผลงานเข้าประกวด)
~โดยประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากลในเวลาต่อมาอย่าง เอเวอรี่ บรันเดจ เห็นว่าโอลิมปิกควรเป็นการแข่งขันอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ควรมีอิทธิพลด้านการเงินใดๆ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งเขาเกรงว่าศิลปินที่ชนะศิลปะโอลิมปิกอาจใช้ชื่อเสียงหรือเหรียญรางวัลไปโฆษณาอวดอ้างอย่างเกินจริงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง สุดท้ายการแข่งขันศิลปะโอลิมปิกจึงยกเลิกไปในปี 1948 แล้วจัดเป็นเทศกาลศิลปวัฒนธรรมเพื่อเฉลิมฉลองกีฬาโอลิมปิกแทนในปี 1954 ชื่อว่า Cultural Olympiad
~ซึ่งปารีส ในฐานะเจ้าภาพโอลิมปิก 2024 ก็เริ่มเปิดโอกาสให้ศิลปิน องค์กรไม่แสวงผลกำไร สถาบันทางวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ ส่งไอเดียหรือโปรเจกต์เข้าร่วมโปรแกรม Cultural Olympiad ตั้งแต่ปี 2022 โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกเช่น ต้องเป็นโปรเจกต์ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและศิลปวัฒนธรรม, จัดแสดงในสนามกีฬาหรือสถานที่แข่งกีฬา, มุ่งเน้นค่านิยมหรือคุณค่าที่ศิลปะและกีฬามีร่วมกัน อาทิ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความเป็นเลิศทางนวัตกรรม หรือความเป็นสากล
~อย่างนิทรรศการฟรี A nous les stades ! Une histoire du sport au féminin ที่จัดแสดงที่หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม ถึง 13 ตุลาคม 2024 ก็ว่าด้วยประวัติศาสตร์ของกีฬากับผู้หญิงตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เน้นไปที่ความท้าทายที่ผู้หญิงต้องเผชิญในการแข่งขันกีฬา ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียมเมื่อเทียบกับผู้ชาย ไปจนถึงเรื่องของสรีระ ทรงผม ชุดแข่งขัน และข้อจำกัดอีกมากมาย
โอลิมปิกเกมส์ 2024 มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าปารีสจัด
~เมื่อพูดถึงความเท่าเทียม ซึ่งเป็น General Issue ของยุคสมัยนี้ โอลิมปิกเกมส์ ฉบับปารีเซียงในปี 2024 ก็คำนึงถึงประเด็นนี้เป็นสำคัญ รวมถึงอีกหลายๆ Issue ที่สังคมให้คุณค่า โดยไม่ลืมที่จะสอดแทรกความ ‘ติดแกลม’ แบบปารีสและฝรั่งเศส ในแง่ของศิลปวัฒนธรรม แฟชั่น แสงสี และประวัติศาสตร์ เข้าไปในทุกๆ element (แบบเนียนบ้าง แบบตะโกนบ้าง)
~เริ่มจาก CI ของงาน มาในธีมสีน้ำเงิน แดง เขียว และม่วง เพื่อเป็นตัวแทนของความหลากหลาย (เราจะได้เห็นลู่วิ่งของสนามกรีฑาเป็นสีม่วงครั้งแรกในประวัติศาสตร์โอลิมปิก) โดยจุดมุ่งหมายของการออกแบบมี 4 ข้อ คือ Celebration การรวมตัวของคนที่รักกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เต็มไปด้วยความสุขที่สุด, Transfer ส่งต่อความเป็นปารีสไปสู่ชาวโลก, Rationalization ออกแบบธีมของโอลิมปิกและพาราลิมปิกให้เหมือนกัน เท่าเทียมกัน และ Personalization ให้การแข่งขันนี้เป็นของทุกคนทั่วโลก
~ส่วนสัญลักษณ์ของงาน (ซึ่งทั้งโอลิมปิกและพาราลิมปิกจะใช้สัญลักษณ์เดียวกัน) ก็สะท้อนถึงตัวตนและคุณค่าของฝรั่งเศสได้ตั้งแต่แว้บแรกที่เห็น ประกอบไปด้วยเหรียญทอง (แทนความสำเร็จ) เปลวเพลิง (แทนพลังของนักกีฬา) และหญิงสาว ผู้เป็นตัวแม่แห่งเสรีภาพและประชาธิปไตยของชาวปารีเซียงอย่าง มารีแอนน์
~หากไม่รู้จัก เธอคือผู้หญิงบนภาพวาดจิตรกรรมชิ้นเอกอย่าง “Liberty Leading The People” ของ ยูจีน เดอลาครัว ที่วาดเพื่ออุทิศให้กับความพยายามอย่างเด็ดเดี่ยวห้าวหาญของประชาชนชาวฝรั่งเศสในเหตุการณ์ปฏิวัติประเทศเมื่อปี 1830
~ซิลแวง บอยเยอร์ ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบโลโก้นี้บอกว่า ในวันที่เริ่มออกแบบเมื่อปี 2018 เขาได้เห็นการประท้วงหรือเคลื่อนไหวทางสังคมในประเด็นต่างๆ มากมายชนิดสัปดาห์ชนสัปดาห์ เลยเริ่มคิดถึงการออกแบบอะไรที่ต่างไปจากเดิม เพื่อให้สอดรับกับบริบทของสังคมสมัยใหม่ อย่างการใช้ใบหน้าของผู้หญิงมาเป็นโลโก้
~“เพราะปารีสเป็นเมืองแรกที่จัดโอลิมปิกโดยให้นักกีฬาหญิงเข้าร่วมได้ ซึ่งเมื่อผมนำเสนอไอเดียนี้ต่อคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ผมก็มาพร้อมเซอร์เวย์ที่โชว์ให้เห็นว่า วิวัฒนาการของผู้หญิงต่อการมีส่วนร่วมในโอลิมปิก ตั้งแต่ปี 1924 เป็นต้นมานั้นน่าทึ่งแค่ไหน และนั่นก็ทำให้กรรมการอึ้งทั้งห้อง” บอยเยอร์กล่าว
~ไม่ใช่แค่โลโก้ มาสคอตของงานก็มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับมารีแอนน์ด้วย เมื่อมันได้อินสไปร์จากหมวกฟรีเจียนสีแดงที่สวมอยู่บนศีรษะของมารีแอนน์ กลายมาเป็นน้อง ‘ฟรีจีส’ แสนน่ารัก เพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่ามาสคอตเป็นอะไรได้มากกว่าแค่สัตว์หรือสิ่งมีชีวิต จะเป็นหมวกก็ได้หากมันมีความหมายที่หนักแน่นพอ
~แต่ความเก๋ยิ่งกว่านั้นคือ มาสคอตของพาราลิมปิกก็เป็นน้องฟรีจีสเหมือนกัน แต่เป็นฟรีจีสที่สวมขาเทียมไว้ที่ข้างขวา นับเป็นครั้งแรกที่มาสคอตพาราลิมปิกถูกออกแบบให้เห็นความไม่สมบูรณ์แบบของร่างกายอย่างชัดเจน
~อีกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ปารีส คือการจัดพิธีเปิดการแข่งขันนอกสนามกีฬา ซึ่งเปิดกันที่แม่น้ำแซน ณ ใจกลางเมือง โดยจัดเต็มทั้งแสงสีเสียง การแสดง และนักกีฬาประเทศต่างๆ ก็อยู่บนเรือพาเหรดที่ล่องผ่านเมือง ชุมชน สถานที่สำคัญ จนไปสิ้นสุดที่หน้าจัตุรัส Trocadéro เป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร โดยที่ผู้ชมสามารถเข้าชมพิธีเปิดนี้ได้อย่างใกล้ชิดที่สองข้างทาง
~จะเห็นว่าฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับการพรีเซนต์แลนด์มาร์คของตัวเองสุดๆ ในทุกๆ ดีเทล
~อย่างการเปิดตัวเพลง ‘Parade’ เพลงธีมประจำการแข่งขัน (ซึ่งประพันธ์โดย วิคตอร์ เลอ มาสเน่) ก็เล่นใหญ่สุดๆ ด้วยการแสดงสดโดยคณะ Marseille Symphony Orchestra ที่ Palais du Pharo ในมาร์กเซย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2024 เพื่อเป็นการรับคบเพลิงโอลิมปิกที่ถูกจุดขึ้นที่วิหารศักดิ์สิทธิ์บนเทือกเขาโอลิมเปียในกรีซ โดยมีแมรี มินา นักแสดงหญิงชาวกรีก เป็นบาทหลวงหญิงถือไฟคบเพลิง แล้วส่งต่อให้สเตฟานอส เอ็นตูกอส นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกพายเรือปี 2020 และลอเร มาโนดู นักว่ายน้ำชาวฝรั่งเศส
~ก่อนจะเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วยเรือเรือใบสามเสากระโดงแบบโบราณ ‘เบแลม’ ซึ่งมีอายุกว่า 120 ปี มาเทียบท่ายังท่าเรือในมาร์กเซย เป็นสัญญาณการเริ่มโอลิมปิกเกมส์ฉบับปารีเซียงอย่างเป็นทางการ
~หรือเหรียญรางวัล ทั้งทอง เงิน และทองแดงทั้ง 5,084 เหรียญ ก็จะประดับด้วยแผ่นโลหะทรงหกเหลี่ยมที่ได้มาจากหอไอเฟล ตรงกลางเหรียญ ซึ่งชุดของผู้อัญเชิญเหรียญรางวัลออกแบบโดย Louis Vuitton โดยได้แรงบันดาลใจจากชุดนักกีฬาโอลิมปิกที่ปารีสเมื่อปี 1924 ขณะที่ถาดเชิญเหรียญก็ดีไซน์โดย Louis Vuitton เช่นกัน ให้ดูหรูหราและเข้ากับเหรียญรางวัลทั้งสาม
~ส่วนตัวสนามที่ใช้จัดแข่งกีฬา ก็จะเป็นที่ๆ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีสตอรี่ที่ผูกพันกับเมือง ที่สำคัญคือต้องดูสวยงามอลังการ เพื่อเวลาถ่ายทอดสดออกมาแล้วจะได้ดูปังๆ เราจึงจะได้ชมการแข่งกีฬาชนิดต่างๆ ของโอลิมปิก ในสถานที่เหล่านี้
-วอลเลย์บอลชายหาด แข่งที่หน้าหอไอเฟล
-กรีฑา ไตรกีฬา ปั่นจักรยาน แข่งที่ Pont d’Iéna สะพาน ข้ามแม่น้ำแซน
-วิ่งมาราธอนกันบนถนน Champs Elysees
-ยิงธนูกันที่ Hôtel des Invalides
-ฟันดาบและเทควันโด แข่งที่ Grand Palais สถานที่จัดแฟชั่นโชว์ของ Chanel หลายต่อหลายครั้ง
-ยูโด มวยปล้ำ และเบรกแดนซ์ แข่งที่ Champ de Mars Arena
-สเก็ตบอร์ด จักรยานผาดโผน บาสเก็ตบอล 3x3 แข่งที่จัตุรัส la Concorde
-ขี่ม้าข้ามสิ่งกีดขวาง และปัญจกีฬาสมัยใหม่ แข่งที่ลานพระราชวังแวซายน์
-รักบี้ แข่งที่สนาม Stade de France ที่เคยใช้แข่งฟุตบอลโลกปี 1998
~หนึ่งในงานที่สะท้อนคอนเซปต์นี้ของปารีสได้ดีมากๆ คือเซตภาพถ่ายของศิลปินช่างภาพและนักเต้นชาวฝรั่งเศส มาตีเยอ ฟอร์เกต ที่ให้นักกีฬาชาวเฟรนช์มาโพสต์ท่าสนุกๆ ในชุดและอุปกรณ์กีฬาตัวเอง ณ แลนด์มาร์คที่ปารีส อาทิ Plaza Athénée, Musée d'Art Moderne de Paris, Théâtre des Champs-Élysées ฯลฯ เพื่อเป็นการยืนยัน (อีกครั้ง) ว่ากีฬาและศิลปะคือเรื่องเดียวกัน พร้อมๆ กับได้อวดความงดงามของสถานที่สำคัญในเมือง (ชมภาพถ่ายเซตนี้ได้ที่ instagram.com/forgetmat/)
~โดยที่อาณาบริเวณโดยรอบของสถานที่สำคัญต่างๆ โดยเฉพาะที่ๆ ถูกใช้จัดการแข่งขัน ปารีสก็ปรับภูมิทัศน์ให้มีพื้นที่สีเขียวรายล้อมมากขึ้น และปรับถนนหนทางในเมืองให้คนสามารถเดินเท้ามายังสถานที่จัดการแข่งขันทุกชนิดกีฬาได้อย่างสะดวกสบาย
~นี่คือส่วนหนึ่งของนโยบายด้านความยั่งยืนและการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม (aka รักษ์โลก) ซึ่งนอกจากเรื่องพื้นที่สีเขียว ปารีสยังตั้งเป้าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยกว่าโอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอน 50% ไม่ว่าจะเป็นการผลิตไฟฟ้า อาหาร ระบบขนส่งภายในเมือง หรือการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งตัวอาคารที่ก่อสร้างใหม่ก็จะต้องถูกใช้ได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังติดแผงโซลาร์เซลล์ไว้ในอาคารด้วย
~นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้เสียชื่อเมืองหลวงแห่งแฟชั่น เราจะไม่พูดถึงเรื่องยูนิฟอร์มก็คงไม่ได้
~ชุดที่ใช้ในพิธีเปิดการแข่งขัน ออกแบบใหม่โดยแบรนด์ Berluti ในเครือ LVMH ร่วมกับทีมคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งฝรั่งเศส ส่วนชุดที่จะใช้ลงแข่งออกแบบโดย สเตฟาน แอชพูล ดีไซเนอร์ชื่อดังชาวเฟรนช์ ทำร่วมกับแบรนด์กีฬาชั้นนำของฝรั่งเศสอย่าง Le Coq Sportif บนความตั้งใจว่าอยากให้นักกีฬาฝรั่งเศสดูเปล่งประกาย สะท้อนความเป็นชาวปารีเซียงได้อย่างสง่างาม และจะได้มั่นใจว่า เขาจะดูดีที่สุดในโมเมนต์ที่อยากจดจำไปตลอดชีวิต
~ขณะเดียวกันก็จะเป็นชุดที่มีความ Unisex ไม่ออกแมนหรือออกสาวเกินไป จะเพศไหนก็ใส่สวย เพราะประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศก็เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ปารีสใส่ใจสุดๆ
~เชื่อไหมว่า นี่คือโอลิมปิกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถเรียกว่าเป็นงานโอลิมปิกที่เท่าเทียมทางเพศได้อย่างเต็มปาก เพราะจากนักกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 10,500 คน ถูกแบ่งเป็นนักกีฬาชายและหญิงจำนวนเท่ากันเป๊ะ คืออย่างละ 5,250 คน
~อะ…แล้วถ้าถามว่าซีนของ LGBTQ+ อยู่ไหน ก็นี่เลย นิกกี้ ดอลล์ Drag ตัวมัมชาวปารีเซียงที่เคยเข้าร่วมแข่งขันรายการ RuPaul’s Drag Race ซีซั่น 12 ได้ซีนใหญ่เบิ้ม ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ถือคบเพลิงประจำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 แสดงให้เห็นว่าฝรั่งเศสให้การยอมรับและซัพพอร์ตเรื่องความหลากหลายทางเพศอย่างเต็มที่
~และเพราะโอลิมปิกเกมส์ไม่ใช่แค่เรื่องของการแข่งกีฬา แต่ยังเป็นเรื่องการวางแผนและเตรียมพร้อมของเจ้าภาพปัจจุบัน ตั้งแต่เริ่มรับไม้ต่อจากเจ้าภาพก่อนหน้า ซึ่งปารีสก็ทำให้เราเห็นแล้วว่า พวกเขาพร้อมสุดๆ ที่จะนำเสนอความเป็นตัวเองแก่สายตาชาวโลก ด้วยการสอดแทรกศิลปวัฒนธรรมที่แสนจะรุ่มรวยของตัวเองเข้าไปในทุกๆ element ของงาน
~ขอฝันเอาสนุกๆ ว่าถ้าวันหนึ่งกรุงเทพได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกบ้าง ก็หวังว่าเราจะวางแผนและเตรียมพร้อมอย่างดีในการจัดอีเวนต์ที่จะเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ส่วนตัวอยากเห็นการสนับสนุนศิลปิน ดีไซเนอร์ และคนทำงานครีเอทีฟเก่งๆ ในประเทศเรา ให้เข้ามาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนางานให้ดูดีมีรสนิยมชนิดที่เราจะกล้าโอ้อวดกับชาวโลกได้อย่างเต็มปาก โดยมีความร่วมมือกันอย่างไหลลื่นไร้ปัญหาของภาครัฐและเอกชนเป็นแบ็คอัพ ช่วยกันผลักดันให้โอลิมปิกแบบไทยๆ ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ย้ำอีกทีนะว่า…ฝัน
ที่มา:
https://olympics.com/en/olympic-games/paris-1900
https://olympics.com/en/news/paris-1924-the-olympic-games-come-of-age
https://thestandard.co/olympics-game-short-history/
https://www.silpa-mag.com/history/article_83267
https://www.sarakadeelite.com/brand-story/olympic-paris-1900/
https://www.gqthailand.com/culture/art-and-design/article/cultural-olympiad
https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/104478
https://www.thecreativefactor.co/articles/paris-olympic-logo-designer-sylvain-boyer
https://thestandard.co/paris-olympic-2024-gender-parity/