Culture

บนเส้นทางการเป็นตัวละครที่แสนซับซ้อนใน ‘DOI BOY’ ของ ‘เป้ อารักษ์‘ กับตัวตนในวัย 40 ที่นิ่งขึ้น แต่รายล้อมด้วยความสุข

หลายๆ คนน่าจะได้ดู หรือได้ยินกระแสของ ‘DOI BOY’ ภาพยนตร์ไทยน้ำดีที่เล่าถึงประเด็นคนชายขอบ และมุมมืดของสังคมออกมาได้อย่างมีมิติ ซึ่งวันนี้เราก็มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘เป้’ – อารักษ์ อมรศุภศิริ หนึ่งในนักแสดงนำของเรื่อง ถึงบทบาทที่เขาได้รับใน DOI BOY และเบื้องหลังการทำงานในโปรเจกต์ ก่อนที่เราจะชวนเขาพูดคุยถึง Chapter ใหม่ในชีวิต กับก้าวย่างสู่วัย 40

Previously: 18 ปีในวงการบันเทิง

’การอยู่ในวงการมา 18 ปี ให้อะไรกับเป้อารักษ์บ้าง?‘ เราถามผู้ชายตรงหน้า ที่น่าจะทำมาแล้วแทบทุกบทบาทในวงการบันเทิง ซึ่งแน่นอนว่า ชื่อเสียง เงินทอง และแฟนคลับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข แต่อีกส่วนหนึ่งเป้ได้บอกกับเราว่า

“ก็น่าจะเป็นอาชีพที่สนุกที่สุดในโลกแล้วครับ ได้เปลี่ยนตลอดเวลาครับ ได้เจอคนใหม่ ก่อนหน้านี้เราอาจจะรู้จักแค่คนในวงการเดียวกัน แต่พอได้เล่นเป็นตัวนู้นตัวนี้ก็ได้ไปอยู่ในหลายวงการมากขึ้นครับ แล้วก็ได้เจอผู้คนมากมาย ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ครับ หลายที่ก็ไม่ได้คิดว่าชีวิตนี้จะได้ไปถ้าไม่ได้เป็นนักแสดงนะครับ” เขาเล่า

แน่นอนว่า ถึงแม้จะอยู่ในวงการมานานเกือบ 2 ทศวรรษ แต่เขาก็ยังคงมีไอเดีย และสิ่งใหม่ที่อยากทำอยู่เสมอ ซึ่ง ’งานเบื้องหลัง‘ คือบทบาทใหม่ที่เขาอยากทำ

“ผมอยากสร้างสรรค์ไอเดียที่เป็นของตัวเองครับ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าอยู่ในรูปแบบไหน แต่ถ้าเป็นวงการเพลง ผมก็ทำเบื้องหลังมาตลอด ผมก็โปรดิวซ์งานตัวเอง มีงานคนอื่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ มาตลอด แต่ว่างานตัวเองจะเป็นหลักตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ ตั้งแต่ทำกับวงสเลอครับ ส่วนวงการบันเทิงที่เป็นการแสดงออกไอเดียอีกแบบหนึ่ง ผมก็อยากจะทำครับ หวังว่าจะได้ชมกันครับ จริงๆ ผมเคยทำรายการมาเยอะอยู่ครับ หมายถึงว่าไม่กี่รายการนะ แต่จำนวนเทปเยอะอยู่ ก็สนุกดีครับ อยากจะก้าวไปทางอื่น ไปทำรายการ ทำเอ็มวี โฆษณาอะไรอย่างนี้ครับ อยากก้าวไปทำสื่ออย่างอื่นที่เราสร้างสรรค์ได้เต็มที่ครับ”

Now Showing: เมื่อความเป็นตัวเองใช้ไม่ได้กับบทบาทใหม่ใน ‘DOI BOY’

หนึ่งบทบาทที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ การรับบท ‘จิ‘ นายตำรวจหนุ่ม ใน ‘DOI BOY’ ตัวละครที่ซับซ้อน สะท้อนอำนาจ และการถูกกดขี่ ซึ่งเขาเป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงตัวละครหลักให้เข้าหา บนการนำเสนอด้านมืดของสังคมอย่างมีชั้นเชิงครั้งนี้ ซึ่งเป้เล่าถึงการมีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้ว่า

“ผมกับพี่เบิ้ล – นนทวัฒน์ นำเบญจพล เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนผมเล่นบอดี้ศพ 19 นะครับ เพราะพี่เบิ้ลเขาเป็นเด็กสเก็ตบอร์ดอยู่แก๊งเดียวกับเพื่อนผม แล้วเขาก็ทำหนังเรื่อง ‘โลกปะราชญ์’ เป็นสารคดีสเก็ตบอร์ดครับ ซึ่งก็เพื่อนๆ ผมก็อยู่ในนั้น ก็เลยรู้จักกัน เราก็คุยกันถูกคอ ทุกครั้งหลังเลิกกองเราก็จะมานั่งคุยกัน ยาวไปถึงเรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะลืม หรือว่าพี่เบิ้ลเขาไม่อยากให้พูดก็ไม่รู้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) ผมเคยเล่นหนังสั้นพี่เบิ้ลด้วยชื่อเรื่อง ‘ระเหย’ ครับ เล่นกับพี่โจ๊ก – อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ ในยูทูบก็ยังมีมั้งครับ แล้วผมทำซาวนด์แทร็กด้วยครับ ผ่านมา 18 ปี ผมกับพี่เบิ้ลก็เป็นเพื่อนกัน มีจังหวะที่ชนกันบ้าง มีจังหวะที่ห่างกันบ้าง อย่างตอนพี่เบิ้ลเขาเปิดหนัง จำได้ว่าผมเคยไปเล่นอะคูสติกเปิดหนังเรื่อง ‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ ครับ ผมก็พยายามสนับสนุนงานพี่เบิ้ลมาตลอด ผมจำได้ว่าผมดูรอบสื่อทุกเรื่องนะ ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง, สายน้ำติดเชื้อ, #BKKY แล้วเราก็จะได้ยินว่าเขาไปแฝงตัวอยู่ตรงนู้นตรงนี้ บางทีเขาก็ไปอยู่เหนือ บางทีเขาก็ไปม็อบ

แล้ววันหนึ่งผมเล่น 4KINGS กับทางเนรมิตรหนัง ฟิล์มครับ แล้วพี่เบิ้ลเขาก็บอกว่า อยากให้พาเข้ามาคุยที่เนรมิตรฯ ผมก็ ‘เฮ้ย! ได้ดิพี่ สบายอยู่แล้ว’ เพราะผมก็คิดว่าพี่เบิ้ลเป็นแก๊งอยู่แล้วไง แล้วเขาก็ส่งโปรเจกต์มาให้อ่าน พอส่งมาให้อ่านเสร็จ เขาก็พูดปลายเปิดว่า ‘อยากเล่นตัวไหนไหม’ ผมก็ ‘อ้าว เข้าทางสิ อยากเล่นอยู่ตัวหนึ่งอะ ขอเล่นได้ไหม?’ แล้วผมรู้ว่ามันไม่ใช่หรอก เพราะว่าเป็นนายตำรวจหนุ่มอายุ 40 กว่าๆ ตัวใหญ่ๆ แต่เราก็บอกว่า ‘เราขอเล่นเป็นจิได้ไหม เดี๋ยวผมจะเล่นกล้ามให้’ อะไรอย่างนี้ เขาก็บอกว่า ‘ได้สิ’ เราก็พาเขาไปที่เนรมิตครับ แต่วันแรกเท่านั้นแหละ เพราะว่าจริงๆ แล้วพี่เบิ้ลเขาส่งสายไว้เยอะครับ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นโปรเจกต์นี้ก็ผ่านฉลุยแบบที่ผมเข้าไปยุ่งแค่วันแรกนี่แหละ หลังจากนั้นเนรมิตรฯ ก็ช่วยพี่เบิ้ลพัฒนาใหม่ สุดท้ายก็ได้มาเป็นบทที่เราเริ่มทำงานกันครับ พอผมรู้ว่าโปรเจกต์ผ่าน ผมก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับงานนี้ครับ“

“จิ เป็นบทที่ท้าทายครับ แล้วก็ซับซ้อน ไม่เหมือนตัวเอง ต้องบอกว่า พอเป็นนักแสดง อยู่ในวงการมานานๆ มันจะเริ่มอยากเล่นอะไรที่มันไม่เหมือนตัวเองแล้ว มันไม่มีตัวเองแล้ว การเป็นตัวเองมันใช้ไม่ได้แล้วในงาน เพราะมันใช้ไปหลายรอบแล้วครับ ก็เลยอยากจะลองอะไรที่มันไม่เหมือนตัวเองที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบทอะไรก็ตาม”

ซึ่งบทบาทที่ซับซ้อน และไม่เป็นตัวเองนี้ก็ทำให้เป้ต้องใช้เวลากว่า 4 เดือน ในการสร้างกล้ามเนื้อของนายตำรวจหนุ่มที่เขาจินตนาการไว้

“ตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่า ต้องเตรียมตัวหนักแค่ไหน แต่ถ้าให้ผมพูดถึงตอนนั้น ผมก็จำได้ว่า ผมอยู่กับความปวดตัวตลอดทั้ง 4 เดือน ผมชอบออกกำลังกายนะ แต่ผมไม่ชอบเล่นกล้าม เพราะผมรู้สึกว่าการเล่นกล้ามมันอะไรที่ต้องมีวินัยมากๆ เลย แต่ว่าในช่วง 4 เดือนนั้น ตอนแรกผมก็เริ่มเล่นเองครับ แต่มันไม่ใหญ่ขึ้น เพราะว่ามันต้องการเทรนเนอร์ เราก็เลยเอาเพื่อนที่โตมาด้วยกันมาสอน ตอนแรกก็คิดว่าฉันจะซื้อของทุกอย่างไว้ที่บ้าน แต่กลายเป็นว่าสุดท้ายก็ต้องไปสมัครยิมที่มีแต่คนกล้ามๆ เพราะว่าของครบกว่า แล้วก็ต้องกินข้าวแล้ว 5 มื้อ แต่ 5 มื้อนี่รวมเวย์โปรตีนกับอกไก่ด้วยนะครับ ก็จะมีอกไก่ปั่นวันละ 1-2 ขวด แล้วก็มีไข่ต้มอะไรพวกนี้ครับ ผมเป็นคนผอมง่าย ก่อนที่รับเล่นเรื่องนี้ผมหนัก 65-66 กก. เอง ก็เป็น Walking Weight (น้ำหนักปกติ) ของผมในยุคนั้นครับ หลังจากชก 10Fight10 ผมก็จะหนักประมาณนั้นมาตลอด แล้วตอนที่เล่น DOI BOY ผมขึ้นไปถึง 75 กก. ตั้งใจจะให้ใหญ่แบบใหญ่ที่สุด แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าพอแล้ว รู้สึกยังผอมอยู่เลย จะถ่ายแล้วทำไมยังผอมอยู่เลย จนผ่านมา 6-7 เดือน มาดูรูปตอนนั้น โอ้โห มันคนละคนกับตอนนี้เลยนี่หว่า ที่หลังจากถ่ายเสร็จกลับไปต่อสู้ปกติมันก็ลดลงมาเยอะครับ”

“นอกจากเรื่องกล้าม เรื่องตัวใหญ่ ก็จะเป็นเรื่องของการรีเสิร์ช หมายถึงว่าในงานแสดง ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ไปเรียนต่อสายการแสดงนะ แต่ว่าผมรีเสิร์ช และทำความเข้าใจกับอาชีพนั้น ก็เป็นอะไรที่สนุกครับ ผมก็ไปอยู่เชียงใหม่อาทิตย์หนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นผมเคยรีเสิร์ชการเป็นตำรวจมาแล้วรอบหนึ่งในบทบาทอื่นๆ ผมก็พอจะรู้ท่าทางของตำรวจประมาณหนึ่ง แต่คราวนี้ผมไปรีเสิร์ชตำรวจตอนไปเชียงใหม่ แล้วก็ไปเที่ยวครับ เป็นอีกจุดที่สนุกที่สุด ซึ่งไปกับเพื่อนแก๊งเกย์พอดี ก็ได้ลองไปเที่ยว ตอนแรกก็เป็นบาร์โฮสต์ก่อน แล้วตอนหลังก็เป็นบาร์เปลื้องผ้า ถ้าได้ไปเที่ยวสถานที่จริง แล้วคุณจะเห็นว่า DOI BOY ซอฟต์มาก (หัวเราะ)” เป้เล่า

“ตัวละครจิเป็นตัวที่ดีไซน์เยอะครับ ท่าเดิน การมอง การพูดเสียงต่ำๆ จังหวะการพูดที่ผมจะพยายามไม่ใช้จังหวะตัวเองครับ คือซ้อมแล้วก็ลองเป็นจังหวะอื่นดู มันจะไม่ได้พูดแบบนี้ มันจะพูดอีกแบบหนึ่ง”

“พี่เบิ้ลเขาเทสต์ดีครับ“ เป็นสิ่งที่เป้บอกเราเกี่ยวกับการทำงานของเบิ้ล นนทวัฒน์ ซึ่ง DOI BOY คือโปรเจกต์การกำกับภาพยนตร์ฟิกชั่นเรื่องแรกของเขา โดยเป้เล่าบรรยากาศการทำงานร่วมกับผู้กำกับมือรางวัลคนนี้ให้เราฟังว่า

”พี่เบิ้ลเขาจะไม่ใช่ผู้กำกับสายฟิกชั่นนะ เพราะฉะนั้นการบรีฟของเขามันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันก็ได้ผลนะ แล้วเขาก็จะใช้คนที่เก่งๆ รอบตัวเขามาทำให้โปรเจกต์มันสำเร็จ มันไม่ใช่เพราะโชคดีหรอก แต่พี่เบิ้ลเลือกคนเก่ง เอาง่ายๆ แค่เลือกน้องเอมกับน้องอัดมา ก็ช่วยหนังได้เยอะมากๆ เพราะว่าสองคนนั้นเป็นนักแสดงที่เข้าใจงานภาพยนตร์ แบบอยากจะทำให้ภาพยนตร์ดี แล้วก็มี Input มากมายรวมถึงการทำการบ้าน“

”แต่ว่าตัวพี่เบิ้ลเองก็จะปล่อยให้ทีมงานทุกคนทำตามที่ตัวเองอยากทำ แล้วมันก็จะออกมาดีเอง มันก็มีบ้างที่ตะกุกตะกักในการถ่าย แต่ว่าสุดท้ายแล้วด้วยความที่พี่เบิ้ลเขาเทสต์ดีอะ ถ่ายทำภาพยนตร์ออกมาก็น่าดูอยู่ดี หมายถึงว่าตอนที่ตัดเสร็จแล้วผมได้ดูกันที่ปูซานก็ยังบอก ‘โอ้โห หนังดีจังเลย’ แฮปปี้ แต่ตอนแรกก็ยังมีความไม่แน่ใจ เพราะว่ามันตัดนานมาก ไม่รู้มันจะออกมาท่าไหน พอดูแล้วก็แฮปปี้กันหมดทั้งสามคนครับ ก็ดีครับ” เป้เล่า

อีก 2 คนสำคัญที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ‘อัด’ – อวัช รัตนปิณฑะ ในบท ‘ศร‘ และ ’เอม‘ – ภูมิภัทร ถาวรศิริ ในบท ‘วุธ‘

“อย่างแรกเลยอัดนี่ก็น่าจะได้รับทุกคุณค่าที่เขาคู่ควรนะครับ เพราะเขาตั้งใจมากๆ เลย แล้วด้วยบอดี้ แล้วก็หน้าตามันถูกต้องกับบทนี้ด้วย มันก็เลยยิ่งติดปีกเข้าไปใหญ่ แล้วเขาก็โชว์ความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ครับ ส่วนเอมก็อย่างที่เห็นในหนังเลยครับ เขาจะโดนพูดประโยคยากๆ เต็มไปหมด พูดประโยคแบบที่เป็นนักวิชาการเหลือเกิน ซึ่งเอมก็สามารถปรับคำพวกนี้ให้เข้าปากได้ครับ ก็เก่งครับ เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม แล้วก่อนเข้าฉาก ด้วยความที่เวลาถ่ายทำมันน้อย เราจะสื่อสารกัน 3 คนค่อนข้างเยอะ ตอนซ้อมก็จะ ‘เฮ้ย จะเอาแบบไหนดี’ เพราะก็รู้ว่าจัดไฟยาก แล้วก็เข้าไปอาจจะได้เทคน้อย เพราะฉะนั้นก็เลยต้องขอบคุณ 2 คนนี้มากๆ ครับ“

เราชวนเป้พาทุกคนย้อนกลับไปถึงเบื้องหลังของ DOI BOY กับ 3 โมเมนต์ ‘ที่สุด‘ ในมุมของเขา

ยากที่สุด สำหรับผมก็คงเป็นการกินของผมตลอด 4 เดือนครับ กินยากสุดแล้วอกไก่เนี่ย ผมเข้าใจคนที่เล่นกล้ามแล้วครับ แล้วสนุกที่สุดก็คงเป็นการไปถ่ายต่างจังหวัดครับ เพราะว่ามันได้ไปอยู่กับคาแร็กเตอร์แล้วก็งาน เอาจริงๆ งานมันไม่ได้หนักไปสำหรับนักแสดงหรอกครับ นักแสดงและการไปถ่ายนอกสถานที่มันสนุก แล้วมันก็ง่ายด้วย เพราะว่าเราทำงานแค่ 12 ชั่วโมง ตามหลักการสากล แล้ว Call Time ก็ต้องเว้นไปอีก 12 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นมันไม่ได้หนักเกินไป มันก็ได้เที่ยวด้วย แล้วก็ได้หาอะไรแปลกๆ กินด้วย แต่ว่าก็มีไนท์ซีน 4 วันติด ที่มันหนักครับ เราถ่าย 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้า แล้วก็6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้า หยุดกลางวันแล้วมีถ่ายกลางคืน ก็เลยเป็นวันที่ทำให้ Jet Lag ได้ง่ายๆ ครับ ส่วนประทับใจที่สุดนี่น่าจะเป็นที่ฝางนะครับ คือตอนเช้าๆ ความสุขของเราก็คือการสูบบุหรี่กัน เพราะว่า ตัวละครความจริงแล้วเหมือนจะสูบกันหมดเลยนะ ตัวละครในเรื่อง ตัวผมเองก็สูบ ตัวอัดก็สูบ ตอนแรกผมก็พยายามเลิกบุหรี่ครั้งที่ 84 ไปแล้ว แล้วก็ไปเลิกอีกทีครั้งที่ 85 ที่นั่นพอดี”

ในขณะนี้ทุกคนสามารถรับชม DOI BOY ได้แล้วบน Netflix กว่า 190 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเป้ก็เผยกับเราว่า เขาดีใจที่ทุกคนได้รับชมโปรเจกต์นี้แล้ว

“ดีใจมากๆ เลยครับที่คนได้ดู เพราะว่าผมภูมิใจกับมัน ผมเคยบอกหลายๆ คนไปว่า เราดูหนังเรื่องหนึ่งเพราะว่ามันสนุก ซึ่งในชีวิตผมก็เล่นหนังมาหลายแบบครับ หนังที่ผมดูแล้วผมสนุกผมก็จะบอกต่อ เรื่อง DOI BOY ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ แต่ต้องยอมรับว่า จริงๆ แล้วมันไม่ใช่หนังที่แมสขนาดนั้น แต่เอาจริงๆ หนังแมสมันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบ เพราะอย่างดอยบอยมันก็มีกลุ่มคนที่จะชอบแน่นอน แล้วก็มีกลุ่มคนที่ไม่เข้าใจด้วยเช่นกัน ก็ขอบคุณแล้วกันครับ ดีใจที่ทุกคนได้ดูครับ อย่างน้อยก็เป็นสีสันที่แปลกใหม่” เป้กล่าว

“DOI BOY เป็นหนังที่สนุกมาก แปลกใหม่มาก แล้วก็ดีมากๆ ถ้าคุณบอกว่าคุณรักหนัง คุณบอกว่าหนังไทยไม่มีอะไรดีๆ ให้ดู คุณน่าจะลองดูเรื่องนี้ครับ แล้วผมกับพี่เบิ้ลคิดตรงกันว่า มันไม่ได้ช้าเลย มันไม่ได้อาร์ตเลย มันเร็วมากๆ แล้ว นี่น่าจะเร็วที่สุดในชีวิตพี่เบิ้ลแล้ว (หัวเราะ) ไม่ต้องเปิดใจหรอกครับ ก็เปิดทีวีนี่แหละ ให้โอกาสสักครึ่งชั่วโมง ถ้าไม่อยู่ก็เปลี่ยนได้ครับ“

Up Next: วัย 40 กับตัวตนที่นิ่งขึ้น แต่รายล้อมด้วยความสุข

เมื่อมีโอกาสได้คุยกันแล้ว เราเลยชวนเป้ อารักษ์ คุยต่อถึงตัวตน และเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตเขา โดยเราให้เป้เริ่มจากการสะท้อนบทเรียนในชีวิตเรื่องล่าสุดของตัวเอง

“ช่วงหลังสุขภาพผมเริ่มไม่ค่อยดีครับ แล้วคนชอบมาบอกผมว่า เพราะผมใช้เยอะไง ผมก็บอกว่าเออ จริง บางทีการใช้เยอะไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องครับ บางทีเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราใช้เยอะไป เราคิดว่าเราใช้ปกติ แต่ว่าคุณหมอเขาก็สอนว่า ความเครียดมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจิตใจนะ บางทีเราไม่ได้เครียด แต่กระเพาะเราหลั่งสารเราก็จะเครียดขึ้นมาได้ แต่ว่าบางทีเราใช้ร่างกายในการบังคับตัวเองให้ตื่น ในการท่องบท ในการแสดง ร่างกายเราไม่รู้ว่ามันปลอมหรือมันจริง เพราะสมองเราสั่งมาแบบนั้น มันก็เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องดูแลตัวเองมากขึ้น พออายุมากขึ้นคุณจะได้บทเรียนมากมายเลยครับ เพราะว่าเราจะเริ่มช้าลงทั้งในเรื่องร่างกาย ในเรื่องความคิด แล้วพอคุณช้าลงคุณก็จะเจ็บ พอคุณบาดเจ็บ คุณยิ่งมีเวลาคิดมากขึ้นอีก น่าจะได้บทเรียนอะไรประมาณนั้นครับด้วยอายุที่มากขึ้น“

พูดถึงอายุที่มากขึ้น เราจึงคุยกันถึงตัวตนของเป้ อารักษ์ ในวัย 40 ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า

“ก็น่าจะนิ่งขึ้นนะครับ ผมก็พยายามทำให้บรรยากาศของคนที่อยู่รอบๆ ผมมีความสุขแหละ แต่ว่าตัวผมเองก็อาจจะค่อนข้างเห็นแก่ตัว ในแง่ที่ว่า ไม่อยากเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของตัวเอง แล้วปัญหาของตัวเองก็ไม่ได้อยากจะไปทำให้คนอื่นเขารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ยิ่งเราอยู่ในวงการ เราอยู่กับแสงสี อยู่กับการฉลอง การออกอีเวนต์ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในชีวิตส่วนตัว ถ้าเลือกได้เราก็จะพยายามไม่ไปอีเวนต์นะครับ อายุ 40 มันจะน่าจะประมาณนั้นมากกว่า เราไปเฉพาะที่ๆ เขาต้องการเรา หรือว่าเป็นหน้าที่การงานจริงๆ ครับ ถ้าให้พูดย้อนกลับไปที่ BUSAN International Film Festival 2023 ผมรู้สึกว่ามันเป็นที่ของผู้กำกับมากกว่า หรืออัดที่เขาเหมาะสมกับตรงนั้นมากจริงๆ แต่ถ้ามันเป็นหน้าที่ของเรา เราก็อยู่ได้ครับ“

มาจนถึงจุดนี้ เราคงเห็นแล้วว่า นักร้อง นักแสดง และวงการบันเทิง เป็นคำที่อยู่ติดกับเป้ อารักษ์ มาเสมอ ซึ่งเจ้าตัวก็บอกเราว่า ถ้าจะให้ตัด 3 คำนี้ออกจากตัวตนของเขา ก็คงจะตัดลำบากแล้ว

“มันก็ครึ่งชีวิตแล้วนะ หรืออาจจะเรียกว่าหนึ่งในสามของชีวิตผมอยู่ในกองถ่าย มันอาจจะเยอะประมาณนั้นเลยนะครับ ในส่วนที่เหลือผมคงจะเป็นคนที่บ้างานเหมือนกันนะ ผมไม่ได้รักสนุกเกินไป เวลาผมรักสนุกทีไร ผมจะรู้สึกอยากกลับมาทำงาน ด้วยความที่ผมมีงานหลักอยู่ 2 อย่างด้วยแหละครับ งานหนึ่งก็คือ การแสดง ซึ่งมันก็ใช้เวลาในการถ่ายทำ ในการเตรียมตัว แต่มันมีงานหนึ่งที่มันทำเท่าไรก็ไม่จบ ก็คือการเป็นนักดนตรี มันสามารถเก่งกีตาร์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ร้องเพลงเก่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ เล่นแบนโจเก่ง เล่นเปียโนเก่ง เก่งได้อีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นมันไม่มีวันจบ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ไม่สามารถหยุดได้นานขนาดนั้นครับ อย่างเวลาผมไปเที่ยวผมก็จะต้องซ้อมกีตาร์ หรือไม่ก็ซ้อมฮาร์โมนิก้า หรือไม่ก็ซ้อมร้องเพลง”

ก่อนจากกันเราเลยให้เป้พูดถึงอนาคตที่เขามองเอาไว้สำหรับตัวเอง

“ก็อย่าไปโดนแคนเซิลแล้วกันฮะ แล้วก็จะทำงานต่อไป ในปีหน้าก็ยังมีงานแสดงที่ยังต้องรับผิดชอบอยู่ครับ แล้วก็อยากทำงานแสดงให้ดี ดีเสมอไปครับ ถ้ามีใครจ้างเรา หรือถ้ามีคนเห็นว่าเราทำงานโอเค อยากจะจ้าง เราก็อยากจะรับ ใช้ทั้งค่าตัว ทั้งเวลาให้มันดีที่สุดครับ ในขณะเดียวกันก็อยากจะสร้างผลงานเบื้องหลัง ซึ่งจริงๆ ก็ได้เริ่มไปบ้างแล้วครับ ก็หวังว่าจะได้ชมกันในภายภาคหน้า แล้วก็หวังว่ามันจะกลายเป็นอาชีพใหม่ของผมครับ“

“แล้วก็ฝากดอยบอยด้วยนะครับ น่าดูครับ น่าดูมากๆ ดูแล้วก็บอกต่อด้วย เพราะว่าผู้กำกับเรารอแชร์อยู่นะครับ (หัวเราะ)” เป้ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

รับชม DOI BOY ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix กว่า 190 ประเทศทั่วโลก