‘ปริม พัทธ์ณศิริ’ ก้าวออกจาก Comfort Zone สู่การค้นพบตัวตนที่บาลานซ์

การก้าวเดินออกจากบางสิ่งหรือทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมเป็นเรื่องที่ยากเสมอ เราอาจต้องใช้ความกล้าและพลังที่มหาศาลเพื่อให้เดินออกจากมัน แต่การเอาชนะความกลัวและเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ อาจทำให้ชีวิตของเราเกิดเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและค้นพบตัวตนในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม

ปริม - วิพาวีร์ พัทธ์ณศิริ นางแบบ นักแสดง และผู้กำกับวัย 24 ปี ที่พาตัวเองก้าวออกจาก Comfort Zone และความกลัวเพื่อออกเดินทางในเส้นทางที่ตนเองเลือก

ก้าวข้ามโรคซึมเศร้า

ปริมรู้สึกว่าไม่มีคำตอบที่แน่ชัดที่จะตอบได้ โมเมนต์นั้นเรารู้สึกซัฟเฟอร์ในสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างมาก แต่หลายๆ ครั้ง ปริมเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในเมื่อเรายอมรับว่าเราเป็นโรคนั้น แทนที่เราจะมานั่งหมกมุ่นกับสิ่งที่เราเป็น แล้วก็เอามันออกไป มีอยู่วันนึงตื่นขึ้นมา ปริมคิดว่าไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว เราไม่อยากทำให้ตัวเองรู้สึกซึมเศร้าและทำให้ตัวเองทุกข์อีกต่อไป มันทำให้รู้สึกว่าต้องทำอะไรต่อบ้าง ไปทางไหนดีถึงจะดีที่สุด ส่วนมากปริมเริ่มจากตัวเอง เริ่มอ่านหนังสือเยอะขึ้น เริ่มนั่งสมาธิเยอะขึ้น แล้วก็เริ่มมีกิจกรรมในแต่ละวันเยอะขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การนั่งสมาธิ การเขียนบันทึก การก้าวข้ามโรคนี้ปริมรู้สึกว่ามันไม่มีคำตอบโดยตรง แต่สิ่งเล็กๆ ที่เราทำในชีวิตประจำวันของเรา มันทำให้เราผ่านจุดๆ นั้นไปได้

“ปริมรู้สึกว่าการเป็นซึมเศร้ามันไม่เคยหายไป เราแค่เข้าใจวิธีการจัดการความคิดและความรู้สึกของตัวเองให้ดีขึ้น”

การเปิดใจพูดคุยกับคนรอบข้าง

ปริมว่าการพูดคุยก็เป็นบำบัดไปในตัวเหมือนกัน การที่เรามานั่งแล้วสามารถเปิดใจแล้วพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกที่เราเป็นจริงๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าคนเขาจะคิดยังไงหรือเขาจะว่าเราไหม นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราบอกเพื่อนหรือคนใกล้ตัวตลอด ถ้ามีอะไรให้คุยกับปริมได้ ปริมก็เป็นคนที่รับฟังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ปริมรู้สึกว่าคนรอบๆ ตัวรู้สึกอึดอัดมากที่จะต้องคุยเรื่องของตนเอง แต่การพูดคุยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากสำหรับปริม การที่เราจะเปิดใจ ทำตัวอ่อนแอกับคนรอบข้าง มันก็อาจเป็นฮีลลิ่งภายในตัวอีกแบบนึงก็ได้

กลัวบ้างไหมในการก้าวออกจาก Comfort Zone

กลัวตลอดเลยค่ะ จริงๆ มันไม่ใช่ความกลัว มันเป็นคำว่า ‘Doubt’ คือความไม่แน่นอนในตัวเองมากกว่าความกลัวค่ะ มันก็คงมีความกลัวผสมไปในนั้นด้วย ส่วนมากจะคิดว่าเราทำได้ไหม เราจะทำให้คนผิดหวังไหม เราจะทำให้ตัวเองผิดหวังไหม เป็นความกลัวจากทางนั้นมากกว่ากลัวที่จะก้าว เพราะปริมรู้สึกว่าความผิดหวังมันน่ากลัวกว่าคำว่ากลัวอีกนะ คำว่าทำให้ใครผิดหวังหรือตัวเองผิดหวัง 

“แต่ปริมว่าการก้าวออกจาก Comfort Zone เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่ก้าวออกจาก Comfort Zone เราก็ไม่มีวันรู้ว่าเราสามารถทำสิ่งที่มันแปลกใหม่ได้”

โปรเจกต์ใหม่ที่กำลังทำอยู่

ปัจจุบันปริมกำลังกำกับภาพยนตร์ที่เป็น Personal Project ร่วมกับ Moon Ducking ชื่อว่า Purple Dalha

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสามคนกำลังตกหลุมรักกันในช่วงโควิด - 19 

“Purple Dalha มาจากดอกดาหลา ปริมชอบเพราะรูปร่างมันแปลกดี ปริมหาข้อมูลเกี่ยวกับดอกดาหลาเยอะมาก ดอกดาหลาชื่อภาษาอังกฤษคือ Torch lily แล้วมันนำเสนอถึง Furious Passion หรือ Unforgettable Love ปริมก็ไปทำรีเสิร์ชมาเรื่อยๆ จนเจอตำนานเรื่องนึงคือ มีผู้หญิงไทยคนนึงตกหลุมรักผู้ชายมาเลเซีย เขาอยู่คนละประเทศกัน พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจึงไม่ให้สองคนนี้อยู่ด้วยกัน ผู้หญิงเลยสาบานกับฟ้าว่าตอนที่เขาตายเขาอยากเกิดเป็นดอกดาหลา โตขึ้นมาระหว่างชายแดนมาเลเซียกับไทยเพื่อรอผู้ชายคนนี้”

“ส่วนสีม่วงเป็นสีที่ผสมระหว่างชมพูกับฟ้า สีฟ้าให้ความรู้สึกเศร้าๆ สีชมพูก็เกี่ยวกับความรัก ความอ่อนไหว แต่พอสีฟ้ากับสีชมพูผสมกันกลายเป็น Purple Feeling เป็นสิ่งที่ประสมระหว่างความเศร้ากับความสุข ความสวยงาม ผสมกันกลายเป็นสีม่วง ซึ่ง Purple Feeling เป็นความรู้สึกที่หลายๆ คนรู้สึกอยู่ตอนนี้ ทั้งหมดนำเสนอผ่านความสัมพันธ์ของเพื่อน 3 คนในหนัง ที่เกิดคำถามว่าจะทำยังไงต่อกับความรู้สึกนี้ ความสัมพันธ์ที่ประหลาดระหว่างตัวพวกเขาเองกับโลก ซึ่งมันก็มีความสวยงามในแทร็กของมัน”

ขั้นตอนและความยากในการทำงาน

“ภาพยนตร์ตอนนี้อยู่ในช่วง Post Production ซึ่งแต่ละกระบวนการทำงานก็จะยากคนละแบบ Pre Production ก็สนุกดี ตอนถ่าย Production จริงๆ ยากมาก เพราะต้องแก้ปัญหาในโมเมนต์นั้น ทุกอย่างอยู่บนไหล่เรา เราต้อง เป็นคนเริ่มก็เลยรู้สึกว่ากดดัน ในการคุมกองมันยากมาก แต่ตอนนี้รู้สึกว่า Post Production ยากที่สุดเลย ตอนช่วง Production เรามีพี่ๆ มีคนทำงานกับเรา แต่ตอน Post Production ทุกคนไปหมดแล้ว เหลือเราคนเดียว ต้องทำอะไรคนเดียวโดยไม่มีคนอื่นคอยแนะนำ ตอนนี้ปริมคนเดียวที่จะนำพาฟุตเทจที่เราถ่ายไปเป็นหนังให้เป็นชีวิตจริงมากขึ้น จริงๆ ก็ยากทุกตอน แต่ตอนนี้คิดว่า Post Production ยากสุด เรารู้สึกโดดเดี่ยวและรู้สึกกดดัน”

“การทำโปรเจกต์นี้ break out of comfort zone มากเลย เราไม่เคยเป็นผู้กำกับหนังใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เรากลัวมากว่าจะทำได้ไหม จะทำให้คนรอบข้างเราผิดหวังไหม แล้วที่ไทยมี Hierarchy of Age เยอะมาก คือคนที่เขาโตกว่า เขาจะคิดว่าเขามีประสบการณ์มากกว่า แล้วปริมก็รู้สึกว่าไม่ค่อยกล้าพูดอะไร แต่ชาเลนจ์ของปริมในหน้าที่นี้คือการเป็นผู้กำกับกับพี่ๆ ที่โตกว่าปริม 10-20 ปี ผู้กำกับต้องสามารถบอกความคิดเห็นตนเองว่าต้องการอะไร หรือทำอะไรบ้าง เราต้องควบคุมกองทุกอย่าง ที่ผ่านมาส่วนมากจะเป็น One Project ทำคนเดียว แต่นี่คือทำกันประมาณ 20-30 คน เป็นอะไรที่แบบยากมาก เครียดมากแต่ก็สนุกมาก รู้สึกเหมือนเรียนมหาลัย 3 ปี ภายใน 3 เดือน แต่ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้เพื่อที่จะกำกับหนังในอนาคตต่อไป และทำให้เราโตขึ้นเยอะมากแล้วก็เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิตแน่ๆ”  

ความกดดันจากการทำงาน เรามีวิธีการปลดปล่อยออกมายังไง?

ช่วงที่ผ่านมามีอาการวิตกกังวลหนักมาก กดดันและเครียดกับเรื่องงาน วิตกกังวลแบบตัวสั่น แล้วก็รู้สึกอึดอัดมาก เราก็เลยพยายามนั่งสมาธิ 20 นาที พอนั่งสมาธิก็รู้สึกว่าสมองมันโล่งขึ้น ความคิดเริ่มไม่หมกมุ่นเท่าเดิม แล้วมันก็ทำให้อาการวิตกกังวลค่อยๆ หายไป เราก็เริ่มตัดสินใจว่าพยายามออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง หรือถ้าไม่ออกกำลังกายก็นั่งสมาธิทุกวัน วันละ 10 - 20 นาที ไม่ก็เขียนบันทึกบ่นกับตัวเอง แต่ที่ปริมแนะนำสุดเลยคือการนั่งสมาธิ แล้วอยู่กับตัวเองและความรู้สึก Uncomfortable ของตัวเอง

ปริมเป็นคนไฮเปอร์มากแล้วก็ความคิดคือคิดหลายเรื่องพร้อมกันตลอดเวลา แล้วมันทำให้รู้สึกว่าสมองมันเป็นเร็วกว่าชีวิต บางครั้งต้องหยุดตัวเองให้ใจเย็น ค่อยๆ ทำทีละสเต็ปไป ไม่ต้องรีบทำ ไม่ต้องกดดันตัวเองมาก ค่อยๆ ทำ และใจเย็นๆ

“จริงๆ แล้วเราไม่ต้องรีบทำอะไรเลย เราแค่ค่อยทำ step by step ไปอย่างดีที่สุด และบางครั้งการนั่งสมาธิ ออกกำลังกาย เขียนบันทึก มันจะทำให้เราหยุดเวลาหรือเบนความสนใจจากโลกที่หมุนเร็วแล้วมาอยู่กับตัวเองได้”

ตั้งแต่ที่เราเริ่มทำงานมาจนถึงปัจจุบัน คิดว่าเราอยู่ช่วงไหนของชีวิต

ตอนนี้อยู่ Transition Moment ตอนนี้กำลังงงๆ กับชีวิตอยู่ สมัยก่อนเป็นนางแบบประมาณ 10 ปี แล้วชอบการเป็นนางแบบนะ แต่รู้สึกดีลกับสุขภาพจิตยากมาก ตอนนี้สิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เรารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่ พยายามคิดจะทำยังไงให้อยู่ในจุดที่เรามีความสุขกับตัวเอง หรือว่าเราจะทำยังไงให้เราทำงานด้านนี้ได้ดีขึ้น มันเป็นเหมือนช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนแปลง และกำลังรู้สึกเยอะมากช่วงนี้ ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เราทำอะไรไม่ได้เลย ออกไปทำงานก็ยาก งานก็เงียบๆ เริ่มทำโปรเจกต์ถ่ายหนังอะไรก็ยาก จะออกจากประเทศก็ยาก อะไรหลายๆ อย่างทำให้เรารู้สึกว่างง แล้วก็ต้องมานั่งดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง แล้วถ้าเราทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ เราหาอะไรที่ทำให้เราเรียนรู้มากขึ้นได้ไหม กิจกรรมอะไรที่เราทำได้ เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ที่มันจะช่วยพัฒนาให้จิตใจแข็งแรงขึ้นในช่วงเวลาที่มันเปลี่ยนแปลง และช่วงเวลาที่มันโคตรงง

ฝากถึงผู้คนที่ยังไม่กล้าก้าวออกจาก Comfort Zone

“ปริมคิดว่าคนกลัวที่จะออกจาก Comfort Zone เพราะเขากลัวความล้มเหลว เราต้องคิดว่าไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป เราอาจจะประสบความสำเร็จ ล้มเหลว และประสบความสำเร็จอีกครั้ง ชีวิตเราเริ่มต้นและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลามันคือประสบการณ์ที่สำคัญ และนี่แหละคือชีวิต”

การที่เราเริ่มทำอะไรมันไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งใหญ่มาก อาจจะเป็นสิ่งเล็กๆ หรือเป้าหมายเล็กๆ ที่มันค่อยๆ ดึงเราออกจาก Comfort Zone แล้วทำให้เรามีประสบการณ์ใหม่ๆ ปริมรู้สึกว่ประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญ ประสบการณ์ที่เรียนรู้ทำให้เราโตขึ้นทุกๆ วัน และการที่เราต้องการโตขึ้นทุกๆ วัน มันเป็นสิ่งที่พิเศษมาก เพราะเราไม่ได้โตขึ้นเพราะใคร แต่เพราะตัวเอง มันทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น แล้วทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น

ตลอดการสนทนาเราจะเห็นได้ว่าปริมเป็นคนมีความมุ่งมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำมาก และด้วยประสบการณ์ต่างๆ สอนให้ปริมรู้จักการหาบาลานซ์ในตัวเอง แม้จะเจอความทุกข์หรือความกดดันมากขนาดไหน แต่ปริมสามารถออกจากสิ่งเหล่านั้นได้ และพร้อมที่จะก้าวต่อไป

ติดตามและอัพเดทผลงานของ ปริม พัทธ์ณศิริ ได้ที่ primpatnasiri