"มันจะจริงไม่จริงมันจะฟินไม่ฟินฉันก็ไม่รู้
เพียงแค่เคยได้ยินแต่ยังไม่ค่อยอินอย่างไรไม่รู้
อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลก
ฉันยังคงภาวนารอใครคนนั้น
คนที่ไม่ใช่ใครก็ได้…
มันไม่ได้ง่ายเลยกับรักดีๆ หนึ่งครั้ง"
'เค้าว่า' อีก 1 ซิงเกิ้ลที่น่าสนใจ ด้วยเมโลดี้ และ ท่อนแร็ปที่ติดหู บวกกับเนื้อหาของเพลงที่ PUN เขียนขึ้นและ Arrange เอง ด้วยความอยากรู้ว่า 'ความรักดีๆ ที่แท้จริงเป็นอย่างไร?' สไตล์การร้องที่โดดเด่น บวกกับดนตรีที่มีกลิ่นอายของความเป็น Pop ที่ผสมผสานกับ HipHop และ R&B เพลงนี้จึงออกมากลมกล่อมและลงตัว ทำให้ ‘ปัน’ – สรณวรรธ พิชัยรณรงค์สงคราม หรือ PUN แจ้งเกิดในฐานะศิลปินภายใต้สังกัด Universal Music อย่างเต็มตัวเป็นที่เรียบร้อยแบบไม่มีข้อสงสัย EQ เลยอยากชวนผู้อ่าน ไปทำความรู้จักกับเด็กหนุ่มมากความสามารถคนนี้ไปพร้อมๆ กัน
จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจที่ทำให้เป็น ‘PUN’
เริ่มแรกเหมือนเด็กทั่วๆ ไป ผมฟอร์มวงทำกับเพื่อนที่โรงเรียน แล้วอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เลยเริ่มทำเพลงช่วงมัธยม ก็ทำไปเรื่อยๆ เพื่อนๆ ก็ค่อยๆ หายไปทีละคน เราก็ยังมีเราที่ทำอยู่ ผมเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมและเล่นดนตรี ถ่ายวิดีโอ ตัดต่อคลิป ทำเพลง ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว จนมันค่อยๆ พัฒนาและกลายมาเป็นศิลปินอย่างทุกวันนี้
ผมรักดนตรีและรู้จักกับดนตรีเร็วมากๆ คือ พ่อแม่ผมอยากให้ไปเรียนพิเศษเยอะๆ ถ้าอยากเรียนหรืออยากทำอะไรก็ให้ทำ ผมก็ไปเรียนคุมอง เรียนบาส ฟุตบอล และเรียนกีตาร์ สุดท้ายแล้วดนตรีอยู่กับผมได้นานที่สุด ถึงแม้จะเรียนแล้วเลิกไป แต่พอเรียนแล้วอยากเรียนอีกและอยากเรียนเพิ่ม แต่เครื่องดนตรีแรกที่หัดเล่นคือกลอง เพราะเราเคยอยู่วงโยฯ และเคยไปนั่งดูพี่ที่โรงเรียน เหมือนเราสงสัยว่าเขาตีอย่างไรเลยเข้าไปนั่งฟังบ่อยๆ จนมาสเตอร์เห็นเขาเลยพาไปสอนตีกลอง
“ผมมาเริ่มเรียนร้องเพลงจริงๆ จังๆ ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านี้ผมฝึกร้องเพลงจากการเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ และทำเพลงซะมากกว่า พอเวลาทำเพลงทำให้เราฟังเพลงเยอะ ฟังหลายๆ แนว พอเราชอบใครสักคนที่เป็นศิลปินเราก็อยากร้องได้แบบเขา ไปดูเขาว่าเขาใช้เทคนิคอย่างไรบ้าง เราก็มาปรับใช้กับตัวเรา ทำอย่างไรให้มันสุดกับเรา โดยเรียนรู้จากยูทูบ”
นิยามศิลปินในแบบของ PUN
ผมคิดว่าเป็น Pop นะ แต่ผสมกับ HipHop R&B เข้าไป เพราะก่อนหน้านี้ผมทำเพลงแนว HipHop R&B มาก่อน พอมาอยู่กับค่ายก็อยากลองแนวใหม่ๆ ทำให้มีความเป็น Pop มากขึ้น
สไตล์ที่ได้จากการปลดล็อกตัวเอง
ผมคิดว่าเหมือนการเรียนรู้ตัวเองไปเรื่อยๆ หมายถึงว่า ทุกครั้งที่ได้ทำเพลงเหมือนเราได้ปลดล็อกอะไรในตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนกัน เรารู้สึกว่าเราเขียนเพลงได้ลิมิตเท่านี้ เหมือนพอเราโตขึ้นอีกสักปี ชุดความคิดในสมองเรามีการอินพุตมากขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะเวลาเราเขียนเพลง เราได้ Topic ใหม่ๆ และกว้างขึ้น หรือ เราไปฟังเพลงมากขึ้น ทำให้ได้สกิลต่างๆ มาโดยที่เราไม่รู้ตัว ผมคิดว่ามันค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ
“สไตล์การเขียนเนื้อเพลงและเสียงร้องของผมครับ รวมไปถึงการใช้เมโลดี้ เพราะผมไม่ได้ฟังเพลงไทยเยอะขนาดนั้น และด้วยความที่เราอยากทำเพลงไทยให้ออกมาแบบเพลงฝรั่ง เราเลยเอาสิ่งที่เราไปฟังมาทำในสไตล์ของเราที่ออกมาเป็นภาษาไทย การใช้เมโลดี้หรือเสียงร้องมันอาจจะแตกต่างกับคนอื่น เพราะเราไม่แคร์ว่าโน้ตนี้เป็นอย่างไร เราร้องตามอารมณ์ของเรา”
การทำงานในซิงเกิ้ลล่าสุด ‘เค้าว่า’
เพลงนี้เขียนตั้งแต่อายุ 17 ปีครับ มันคือเพลงที่ผมดองเอาไว้แล้วไม่ได้ปล่อย และเอากลับมาทำใหม่ โปรดิวซ์ใหม่ คิดคอนเซ็ปต์หรือธีมต่างๆ ใหม่ แต่เนื้อร้องและ Topic ของตัวเพลงก็ยังเหมือนเดิม ซึ่ง ณ ตอนนั้นที่ผมเขียนเป็นเวอร์ชั่นที่ไม่รู้ว่าความรักคืออะไร สงสัยในความรัก เพราะด้วยความที่เรายังเด็กด้วย เรารู้สึกว่า…ความรักที่ 'เค้าว่า' กันมันเป็นอย่างไร เพราะคำนี้ผมได้ยินบ่อยมากจากแม่ผม เค้าว่าแบบนี้ดี เค้าว่าแบบนี้ไม่ดี และผมก็งงว่าเค้าคือใคร เลยเอามาเปรียบเทียบกับความรักที่มันเพ้อฝันว่า เค้าว่าความรักเป็นแบบนี้แต่ผมยังไม่เคยเจอเลยว่ามันเป็นอย่างไรกันนะ
เพลงนี้เป็นเพลงแรกเลยที่ผมลองทำกับโปรดิวซ์เซอร์หน้าใหม่ ซึ่งปกติผมจะมีแวดวงของโปรดิวเซอร์พี่ๆ ในวงการที่รู้จักอยู่ไม่กี่คน ซึ่งก็จะรู้มือกันว่าผมต้องการแบบนี้ แล้วเขาจะช่วยพุชสิ่งนี้อย่างไร แต่เพลงนี้มันต่างไปเพราะผมได้มารู้จักกับพี่ยู (YUU) เป็นโปรดิวซ์เซอร์ของพี่วี ไวโอเล็ต เหมือนเราคุยกันและถูกคอ เลยชวนพี่เขามาทำเพลงกับผม ผมก็บอกเขาไปว่าอยากได้ซาวนด์ประมาณนี้ ก็เข้าไปสตูดิโอแล้วคุยกัน โดยที่มีรุ่นพี่ที่ผมรู้จักเป็นพี่ที่สนิทกันมานานมาคอยคุมเบื้องหลัง เป็นการทำงานกับคนหน้าใหม่ๆ ในวงการและคนที่เราสนิทคุ้นเลยอยู่แล้ว ดนตรีเลยออกมาเป็นสิ่งใหม่ที่เราทำงานร่วมกับคนอื่นด้วย
พาร์ทเอ็มวีก็จะได้พี่แร๊พ (Rapture) ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่อยู่ดีๆ ได้วนมาเจอกัน คือพี่แร๊พก็ทำให้พี่วีเหมือนกัน ตอนถ่ายก็ผ่านมาได้ด้วยดี ตอนแรกเหมือนฝนจะตกแต่ก็ไม่ตก ใช้เวลาถ่ายเอ็มวันหนึ่งครับและเหมือนค่อนข้างท้าทายนิดหนึ่ง เพราะผมต้องเล่นและแสดงสีหน้า และแสดงร่วมกับนักแสดงอีกคนที่เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นอีกตัวละครที่เข้ามาช่วยเสริมเรื่องราว ซึ่งปกติผมไม่ได้เป็นสายนักแสดง พอได้มาลองก็รู้สึกยากแต่มันก็ท้าทายดีซึ่งในอนาคตผมอาจจะขยี้ตัวเองและเอาตัวเองเข้าไปเล่นมากขึ้นกว่านี้
‘เค้าว่า’ กระแสตอบรับดี
กระแสดีมากเลยครับ และผมดีใจที่ทุกคนชื่นชอบ รู้สึกขอบคุณมากๆ เอาจริงๆ ในฐานะคนทำเพลงมันรู้สึกดีใจมากที่เราทำเพลงและมีคนรู้สึกไปกับเรา คนชื่นชอบในสิ่งที่เราเขียน กว่าจะทำขึ้นมาได้มันก็ใช้จิตวิญญาณอะไรหลายๆ อย่างในการสร้างผลงานนี้ขึ้นมาซึ่งเรารู้สึกดีมากๆ ที่ทุกคนชื่นชอบ
เริ่มต้นการเดินทางในบ้านหลังใหม่
Universal Music เป็นค่ายที่รับฟัง และอยากให้ไอเดียทุกอย่างมัน Based on ศิลปินมากที่สุด ซึ่งผมแฮปปี้มากๆ ด้วยความที่ผมเป็นศิลปินผมอยากให้ภาพในหัวของผมออกมาเป็นอย่างนั้นซึ่งทางค่ายก็ไม่ได้ติดอะไร รู้สึกว่าผลตอบรับที่มันออกมาก็ดีมากๆ ครับ
ความท้าทายในการเป็นศิลปิน
ความยากคือ มันต้องต่อสู้กับอารมณ์ คือ เบื้องหน้าที่เราเห็น ที่ต้องไปเอนเตอร์เทนคน งานที่เราสร้างขึ้นมาแล้วฮีลใจคน แล้วคนมองขึ้นมาว่าเราเป็นที่พึ่งของเขา เวลาเราไปอยู่เบื้องหน้าเราต้องแบกรับอะไรเยอะ ทั้งความเครียด ความกดดันหลายๆ อย่างจากคนรอบตัวเยอะ แต่เราต้องเป็นคนๆ นั้น ที่จะต้องสร้างผลงานขึ้นมาที่เกี่ยวกับความรู้สึก ซึ่งมันค่อนข้างต้องจัดการกับสภาพจิตใจเป็นหลักเลย ส่วนความง่ายคงเป็นความสนุกที่เราได้ทำดนตรี เพราะผมเชื่อว่าศิลปินหลายๆ คน ที่เขามาอยู่จุดนี้ได้เพราะเขารักในเสียงดนตรี เพราะการที่เขาได้อยู่กับสิ่งที่เขารักมันคือความสุข
ความประทับใจจากการทำงาน
ความรู้สึกที่เราทำผลงานขึ้นมา แล้วคนชื่นชอบ แล้วคนมารอเราหน้าคอนเสิร์ตและร้องเพลงไปกับเรา และยึดเราเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของเขา ฮีลใครสักคนหนึ่งได้ในวันที่เขาแย่ ผมว่าเป็นความภาคภูมิใจที่สุดแล้ว และรู้สึกดีใจมากๆ ที่มันเกิดสิ่งนี้ขึ้นแล้วเราไม่เคยเสียดายเลยที่ได้สร้างผลงานให้กับโลกใบนี้ไว้ สมมุติว่าถ้าวันหนึ่งเราตายไปผลงานเหล่านี้ก็ยังอยู่ให้คนได้ฟังต่อ
ย้อนกลับไปในวันที่ ‘Kryptonite’ บุกสถานี Arirang
ตอนนี้ 100 ล้านวิวแล้วครับ จริงๆ ณ ตอนนั้นมันเกิดขึ้นไวมาก แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสไปที่โน่น ก็คว้าโอกาสเอาไว้ ซึ่งผมดีใจมากๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการเพลงไทย เพราะตอนที่เริ่มทำก็มีภาพแบบนี้ในหัว ตอนที่เริ่มเขียนเพลงและเริ่มทำก็รู้สึกว่าเราก็ไปได้นะ เพลงไทยมันไปได้อยู่นะ เพราะร้องที่โน่นแล้วคนชอบ ผมก็รู้สึกดีใจและอยากเห็นก้าวต่อไปของเจเนอเรชั่นใหม่ หรือ วงการเพลงไทยที่มันมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีก
“แสดงว่า Boundary ของภาษามันไม่มีแล้ว เราแค่ทำผลงานเราให้ดีที่สุด แล้วมันจะส่งถึงคนแม้คนที่ไม่ใช่ประเทศเรา เขาก็รู้สึกได้เองโดยอัตโนมัติ”
เมื่อเสียงเพลงพาให้เติบโต
ทุกวันนี้ผมทำเพลงเหมือนเพื่อตรัสรู้อะไรบางอย่าง คือ เหมือนทั้งชีวิตผมมีแค่เพลง และผมไม่ค่อยได้ใช้ชีวิต และผมก็คิดว่าเฮ้ย...เราจะมีชีวิตเหมือนคนอื่นหรือเปล่า เพราะผมไม่เอาอะไรเลย ผมยอมลาออกจากโรงเรียนเพื่อทำเพลง ผมขอแม่ทำเพลง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เพลงก็พาผมมาเจอกับผู้คนมากมาย เจอกับงาน เจอกับสังคม เจอกับความสัมพันธ์ เจอกับชีวิต เพลงเลยทำให้เรารู้จักชีวิตมากขึ้น ในอนาคตเราอาจจะได้คำตอบจากอะไรสักอย่างของการมีชีวิตอยู่ อาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อมีความสุขและสร้างผลงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ รู้จักตัวเองไปเรื่อยๆ เราโตขึ้นก็เพราะเพลงเหมือนกัน ตอนแรกที่คิดว่าเพลงจะไม่พาเราไปไหน แต่มันพาเรามาจริงๆ
การเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของศิลปินที่ชื่อ ‘PUN’
อยากจะบอกเขาว่าขอบคุณมากๆ ขอบคุณทุกๆ สิ่งที่มันเกิดขึ้น ขอบคุณเขาที่ชื่อชอบผม และติดตามผม วันก่อนไปเล่นมีคนจะเป็นลม ขอบคุณที่ชื่นชอบในตัวผม ผมสัญญาว่า ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ได้ฟังเพลงของผมต่อไปแน่นอน ฝากติดตามชีวิตของผมด้วยว่า ในอนาคตผมจะเป็นอย่างไร เพลงก็จะเล่าเนื้อหาของชีวิตผมไปเรื่อยๆ อยากให้ทุกคนติดตาม Journey นี้ไปเรื่อยๆ ครับผม
PUN ในอนาคตคงเป็นปันนี่ล่ะครับ อาจจะมีความโตขึ้นในเนื้อหาอะไรต่างๆ ก็จะ Based on ชีวิตหมดเลย เพราะผมเขียนออกมาจากชีวิตของผมเอง ทุกคนก็จะได้เห็นมุมมองชีวิตของผมในหลายๆ แง่มุม ทั้งเรื่องความรักที่ไม่สมหวัง ข้อสงสัย หรือ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของความรู้สึกของปันคนนี้ทุกคนจะได้ฟังจากผมแน่นอนในอนาคตครับ
ติดตามผลงานของ PUN ได้ที่
YouTube: PUN
Instagram: @pun___official / @punisalwayshappy
Facebook: PUN
X: PUN_Official