บู้-ธนันต์ บุญญธนาภิวัฒน์ นอกจากเป็นที่รู้จักในฐานะมือเบสวง Slur แล้ว หลายคนยังเป็นที่จดจำในฐานะเจ้าของแนรนด์เสื้อผ้าผู้ชายแนววินเทจที่ชื่อว่า Rompboy เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่หันมาทำงานด้านเสื้อผ้า จนกลายมาเป็นนักสะสมที่สายตาเฉียบคม สามารถเลือกสิ่งของธรรมดาให้มีมูลค่า และดึงเอาความเป็น Vintage มาออกแบบผสมกับเสื้อผ้าในยุคปัจจุบันได้ดีไม่มีใครเกิน ทำให้เรารู้จักกับ Collection Rompboy x Safeplanet Present “In the Name of 90’s” คอลเลคชั่นเสื้อผ้าของบู้ที่นำเสนอ Detail ของยุค 90’s ผ่านการออกแบบที่ทำให้เราย้อนนึกถึงสมัยวันรุ่นได้เป็นอย่างดี
ช่วยเล่าความเป็นมาของ Rompboy ให้ฟังหน่อยคะ
“มันเกิดจากการที่ผมชอบสะสมของเก่ามาก่อน ผมชอบเก็บพวกเสื้อผ้าวินเทจ เวลาเราซื้อของเราจะซื้อหลายๆ ชิ้นถ้ามันสวยมากๆ นะ เราซื้อเก็บมาเรื่อยๆ จนมาวันหนึ่งของมันล้นบ้านก็เลยเอาออกมาขาย มันมีคนซื้อจริงๆ มันขายได้ พอขายไปสักพักของมันเริ่มไม่พอ เราเลยไปเอาของจากพ่อค้ากางเกงยีนส์ พ่อค้ามือสอง พอ Select มาก็ลองลงขายดูใน Instagram ขายไปขายมามันเริ่มมีกลุ่มของมันจริงๆ เราเลยทำ IG official ที่ชื่อ Rompboy ขึ้นมา”
“เราอยากทำ Item บางอย่างที่ตอบโจทย์เรา 100% ที่เราอยากใส่มันมากๆ ก็เลยเริ่มทำกางเกงขาสั้นก่อนเป็นชิ้นแรก พอทำออกมามันก็ขายพอได้ จนกลายเป็นเราเริ่มทำเสื้อผ้าเองได้ เริ่มรู้วิธีของมัน จากที่เริ่มขาย 4 เดือนหมด ก็กลายมาเป็นหนึ่งอาทิตย์หมด แล้วก็เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆอย่าง 1 วันหมด จนมาถึงจุดที่ขาย 1 นาทีหมด ตอนแรกๆแบรนด์มันจะเป็นเฉพาะกลุ่มมากๆ คนตามแค่หลักพัน หลักหมื่น ไปๆมาๆ สิ่งที่มันจุดประกายให้กับแบรนด์จริงๆคือ Item รองเท้า มีทั้งผู้หญิงผู้ชายที่เข้ามาซื้อ กลุ่มคนมันเลยกว้างขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นที่รู้จักในทุกวันนี้”
Rompboy คือเสื้อผ้าแนวไหน สไตล์ไหน
Rompboy คือเสื้อผ้า Vintage ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเสื้อผ้าเก่า ไม่มากก็น้อย เป็นเสื้อผ้าที่อยู่ในยุค 1930 จนถึงยุค 2000 เอา Detail มาดีดลงในเสื้อผ้าให้ร่วมสมัย มีความ Casual ใส่ได้จริงและเป็น Everyday look
ถ้าสังเกตดีๆ Rompboy จะมีเสื้อผ้าไม่กี่สี อย่างสี Navy, กากี, สีดำ, สีเขียว Military โดยที่เสื้อผ้าพวกนี้จะเป็นเสื้อผ้าที่ Inspired มาจาก Retro sportswear เสื้อผ้ากีฬาสมัยก่อนในยุคแบบ 60’s, 70’s, 80’s แล้วมีเสื้อผ้าพวก Military Uniform ทหารจากสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือช่วง Vietnam Wars Detail พวกผ้า และกระดุม ที่มาจากทหารในยุคนั้น พวก American workwear ที่คนใส่ทำงานจริงๆในยุค 1940, 1950 รวมถึงเสื้อผ้ายุโรปในสมัยนั้นด้วย เป็นเสื้อผ้า Workwear ที่คนชนชั้นแรงงานในยุคนั้นใส่จริงๆ
“Detail พวกนี้เราชอบและสะสมมาตลอด อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ซื้อมันแค่ชิ้นเดียว เราชอบเราก็ซื้อเก็บมาเรื่อยๆ ใส่ได้ไม่ได้ไม่รู้ เก็บไปเก็บมาเราเริ่มอินไปกับมัน เราชอบเรารัก แล้วเราอยากให้ Detail พวกนี้มันอยู่กับเสื้อผ้าเราด้วย แล้วนี่คือความเป็น Rompboy ที่มีมาตั้งแต่ 7 ปีที่แล้วจนปัจจุบันนี้”
จากศิลปินทำไมถึงหันมาทำงานด้านแฟชั่น
ประเด็นจริงๆคือไม่มีตัง ศิลปินเวลาเล่น Concert หรือทำอัลบั้มมันจะมีช่วงเวลาของมันอยู่ คือออกอัลบั้ม Promote Single เป็นช่วงที่จะมีเงินเข้า แต่ช่วงที่เราทำอัลบั้มเราจะไม่รับงาน หรือบางทีงานมันหายไป ช่วงนั้นแหละเราจะไม่มีรายได้ มีช่วงที่เป็น Dead Air นานมาก ผมรู้สึกว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างกับการที่จะหารายได้ แต่เราก็จะเจอแสงสว่างในความมึด เป็น Passion อีกอันที่เรามีมาตั้งนานแล้ว ก็เลยเอาเสื้อผ้ามาขายก่อน เก็บเล็กผสมน้อย มันก็เลยค่อยๆ Blend จากนักดนตรีกลายมาเป็นพ่อค้าขึ้นเรื่อยๆ จนงานพ่อค้าหรือ Collector มันเริ่มค่อยๆแซงๆขึ้นเรื่อยๆ พอทำไปเรารู้สึกว่ารายได้มันโตกว่านักดนตรีพอสมควร เราเลยคิดว่านี่แหละมันคืออาชีพหลัก นักดนตรีมันเลยกลายเป็นอาชีพรอง
นักดนตรีกับนักสะสมเสื้อผ้าอะไรท้าทายมากกว่ากัน
มันคล้ายๆ กัน เพราะทั้ง 2 อย่างมันต้องมีความ Creative ในตัวของมันเอง มันท้าทายคนละแบบ การเป็นศิลปินมันคือการแชร์เรื่องราว เพลงนี้คนนี้ชอบ คนนี้ไม่ชอบ แต่มันต้องแชร์กัน ออกความคิดเห็นร่วมกัน Creative ร่วมกัน แต่เสื้อผ้ามันคือเรา 100% อยากทำอะไรก็ทำ บางครั้งทำออกมาแล้วไม่ได้ขายก็มี
แบรนด์โปรด และดีไซนเนอร์คนโปรด
แบรนด์ที่ผมชอบจริงๆเยอะมาก จะเป็นแบรนด์จากฝั่งอเมริกาและญี่ปุ่น อย่าง Aime Leon Dore, Noah, Northface Purple Label, Nanamica, Kapital, Visvim, Nike ส่วน Designer ต้องนี่เลยครับ Teddy Santis ที่เป็น Designer ให้แบรนด์ Aime Leon Dore แล้วก็ Brendon Babenzien Designer ของแบรนด์ Noah, Kiro Hirata Designer จาก kapital และ Hiroki Nakamura เค้าเป็น Designer ของ Visvim เป็นคนที่ผมชื่นชอบมาก
แต่งตัวแบบไหนถึงจะเป็นแนวของบู้
จริงๆ ผมเป็นคนแต่งตัวง่ายๆ เชยๆ ชอบใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืด หรือแจ๊คเก็ตเวลาไปเดินห้าง ส่วนรองเท้าก็จะมีไม่กี่คู่ จะเป็นพวก Nike ที่เป็นพื้นเรียบๆ รุ่นเก่าๆ หรือรองเท้าหนัง Loafer ใส่สบายๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนจะแต่งตัวค่อนข้างเยอะ แต่เดี๋ยวนี้พอโตขึ้นก็จะแต่งตัวน้อยลง เน้นที่เราชอบมากกว่า
Rompboy x Safeplanet Present“ in the name of 90’s ” ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
ผมชื่นชอบ Safeplanet เป็นการส่วนตัว เห็นพัฒนาการด้านดนตรีของวงมาเรื่อยๆ ส่วน พวกเค้าก็จะขายพวกเสื้อของวงกันอยู่แล้ว แต่เราอยากดึงให้เค้ามาทำงานด้วย เพราะทั้ง 3 คนเกิดในยุคนั้นเหมือนกัน จริงๆก่อนที่จะใช้ชื่อ Collection ผมคิดชื่อไว้เยอะมากเลยนะ ชื่อเชยๆที่ฟังแล้วนึกถึงยุคนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็มาลงเอยที่ in the name of 90’s เพราะชื่อนี้มันรวมทุกอย่างเอาไว้แล้ว
จุดเด่นของ ”In the Name of 90’s”
จุดเด่นคงจะเป็นในเรื่องของการดึงเอาความเป็นยุค 90’s ออกมาใส่ใน Collection ไม่ว่าจะเป็นลายสกรีนเชยๆ หรือกางเกงขาใหญ่ๆ ผมโตมาในยุค 80’s ที่ซึมซับความเป็น 90’s มาเต็มๆ ช่วงนั้นแฟชั่นอะไรที่มาแรงบ้างอย่าง กางเกง Alien Workshop, รองเท้า Swear พื้นหนาๆ เสื้อสกรีนแน่ๆ ใช้บล็อกเยอะๆ ใส่สีเยอะๆ แบบไม่กลัวเปลืองสี มันเป็นอะไรที่สนุก
Collection นี้จึงได้เห็นกางเกงยีนส์ซีดๆตัวใหญ่ๆ แปะลายเยอะๆ เสื้อแขนยาวลายสกรีนแน่ๆ หมวก 3 แบบที่ปักลายสีแดง สีฟ้า สีเขียว หรือปิ๊กกีต้าร์ลายกะแบบยุคอัสนี – วสันต์ หรือแม้แต่กล่องผมก็ออกแบบให้มันดูย้อนกลับไปยุคนั้นด้วย
อีก 5 ปี Rompboy จะไปทิศทางไหน
มันก็คงเหมือนเมื่อ 5 ปีที่แล้วครับ ตอนนี้ Rompboy 7 ปี แล้ว และคิดว่าอีก 5 ปี Rompboy มันก็จะยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ให้เลือกระหว่างเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ภายในเดือนหน้า กับ ย้ายประเทศแล้ว Rompboy ดังเปรี้ยงป้าง เลือกอะไรดี
เปลี่ยนรัฐบาลดีกว่า ผมชอบเมืองไทยนะ ผมอยากอยู่ที่นี่
ติดตาม Rompboy ได้ที่ลิโดชั้น 2 แต่ตอนนี้ปิดอยู่เพราะ Covid แต่จะกลับมาเปิดเร็วๆนี้แน่นอน ระหว่างนี้สามารถเข้าไปดูออนไลน์ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/rompboybkk
Instagram: https://www.instagram.com/rompboy