ในฐานะผู้หนึ่งที่พำนักอาศัยอยู่ที่เกาะพะงันและได้สัมผัสความอัศจรรย์ของแม่ธรรมชาติอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันมองไม่เห็นความงดงามของท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดทั้งวัน สีสันอันสดใสในยามพระอาทิตย์ขึ้นนำมาซึ่งพลังของการเริ่มต้นวันใหม่ ช่างแตกต่างเหลือเกินกับเวลาที่เธอกำลังลาลับขอบฟ้าในแต่ละวัน ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเราหลายๆ คนที่อยู่ที่นี่ต่างพากันมารวมตัวเพื่อร้องเพลง เล่นดนตรี หรือร่ายรำ เพื่อเฉลิมฉลองให้แก่หนึ่งวันอันแสนงดงามที่เราได้ประสบ ในขณะที่สายตาตะลึงลานกับภาพสุดอลังการของลำแสงแรกจนถึงลำแสงสุดท้าย หูยินเสียงกระซิบกระซาบจากเกลียวคลื่น ฝ่าเท้าเปลือยเปล่ารับรู้รสสัมผัสที่ใกล้เคียงกับจุดสุดยอดยามเหยียบย่ำบนผืนทรายละเอียด และผิวกายถูกลูบไล้จากสายลมและไอเกลือ พลันความหมายของการมีชีวิตอยู่ก็บังเกิดขึ้นต่อหน้า ชีวิตนั้นช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์ มากมายเสียจนหากเราลืมที่จะเชื่อมโยงกับความศักดิ์สิทธิ์นั้น มันง่ายเหลือเกินที่เราจะหลงลืมไปว่า เราเองก็ถูกสร้างขึ้นมาจากความมหัศจรรย์เช่นกัน
หากแต่ยังคงมีกลุ่มคนที่ไม่เคยลืมเลือนความจริงข้อนี้ พวกเขาแสวงหาเวลาในการเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์นั้นเสมอในรูปแบบต่างๆ ตามแต่
จิตญาณจะชักนำไป ไม่ว่าจะเป็นการภาวนาเชื่อมโยงจิตวิญญาณเข้ากับความศักดิ์สิทธิ์ ปลดปล่อยตัวตนให้เลื่อนไหลไปกับภาวะไร้การยึดเหนี่ยวและควบคุมในบางเวลาผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นรำ การฝึกเดินลมปราณ การเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลทั้งภายในและภายนอกตัวเอง หรือแม้เพียงแค่การหยุดนิ่งเพื่อรับฟังเสียงของธรรมชาติรอบตัว แล้วกลับมาที่การภาวนา คนกลุ่มนี้จะคอยเตือนกันและกันไม่ให้หลงลืมภาวะความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง และของสรรพสิ่งทั้งหลายไม่ว่าเรื่องราวในชีวิตกำลังดำเนินไปสู่บทตอนไหน พวกเขารวมตัวกันเป็นครั้งที่สามในปีนี้ โดยในสองปีแรกไปจัดบนดอย ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ จึงเป็นที่มาของชื่อเทศกาลเล็กๆ นี้ว่า Sacred Mountain Festival นั่นเอง และในครั้งล่าสุดที่เพิ่งจัดไปเมื่อต้นเดือนเมษายนปีนี้ พวกเขาเลือกทำเลใหม่ที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และงดงาม เหมาะแก่การทำพิธีเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ และแม่ธรรมชาติ มารดาไร้นามผู้ยืนหยัดที่จะมอบความรักอันปราศจากเงื่อนไขให้แก่ทุกๆ ชีวิตที่กำเนิดขึ้นจากครรภ์ของเธอมาชั่วอสงไขย
ในครานี้ พลพรรคนักจาริกแสวงบุญชาว Sacred Mountain Festival 3 ได้เลือกหาดเทียน ที่ตั้งรีสอร์ตและศูนย์พักกายพักใจชื่อดังระดับตำนาน The Sanctuary เป็นสถานที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณตัวเองเข้ากับความศักดิ์สิทธิ์ของแม่ธรรมชาติ ตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน แต่ละกิจกรรมคือการเตือนกันและกันให้ระลึกถึงไออุ่นจากอ้อมอกของมารดาไร้นามผู้นี้ และรู้แจ้งถึงความมหัศจรรย์ของการมีชีวิต จึงเป็นที่มาของคอนเซ็พท์ Remember, Reconnect & Return
ระฆังธิเบตได้ถูกสั่นบนชายหาดของ The Sanctuary ในเช้าแรกเรียกร้องให้บรรดานักเดินทางแสวงหาทั้งหลาย ที่อาจยังแหวกว่ายล้อคลื่นอยู่ในมหาสมุทร หรือละเลียดกับอาหารเช้าสุดพิเศษและสนทนากับมิตรสหายคอเดียวกันอยู่บนชายหาด ให้ก้าวเท้าเข้ามานั่งกระชับเป็นวงกลม และวินาทีที่บทร่ำวิงวอนมารดาธรรมชาติผู้ไร้นามได้ถูกอ่านโดยพร้อมเพรียงกัน ความรู้สึกมากมายได้ถูกบีบคั้นจากภายใน ทะลักออกมาเป็นหยดน้ำตาที่โอบอุ้มทั้งความรู้สึกว่า ได้รับความรักและความเมตตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทั้งการตระหนักรู้ถึงข้อผิดพลาดข้อใหญ่ที่สุดของมนุษย์ นั่นคือเราต่างลืมไปว่าเราเองนั้นก็เป็นลูกที่ถูกรักมากที่สุด เฉกเช่นเดียวกับทุกๆ สรรพสิ่งในบ้านของแม่ และเรา-แม่-ทุกสรรพสิ่ง แท้จริงแล้วไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย
กิจกรรมต่อๆ มาของแต่ละวันคือการเน้นให้กลับเข้ามาหาความรัก ทั้งจากตัวเองให้ตัวเอง จากแม่ธรรมชาติส่งต่อให้ผู้อื่น และจากตัวเองส่งต่อให้คนรอบข้าง ในวันที่สองฉันเลือกเข้าเวิร์คช็อปชื่อ ‘โอบกอดความเฟล’ ด้วยความสงสัยว่าฉันจะได้เจอการเปลี่ยนแปลงระดับจิตวิญญาณแบบไหน ในคลาสที่คนเข้ามากันเพียบแบบนี้ ฉันเลือกเรื่องเฟลระดับ 10 ริกเตอร์ของตัวเอง นั่นคือไม่ไปหาน้องสาวที่โรงพยาบาลทันทีที่บินกลับมาถึงเมืองไทย แต่กลับเลือกที่จะไปหาเธอในวันรุ่งขึ้น แล้วก็เป็นไปตามที่เบื้องบนต้องการ ฉันพลาดโอกาสที่จะได้พบหน้าน้องสาวครั้งสุดท้ายไปตลอดชีวิต วันนั้นฉันเลือกวาดภาพนางฟ้าตัวน้อยๆ เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์นี้ และมีน้องผู้หญิงหลายคนที่รู้สึกอยากเข้ามาพูดคุยด้วย แต่เราจะได้จับคู่และคุยกับคู่ของเราเท่านั้น ในตอนจบของเวิร์คช็อปพวกเราทั้งหมดในฮอลล์ได้มีโอกาสสวมกอดกันและกัน แต่ในทันทีที่น้องผู้หญิงคนหนึ่งได้สัมผัสฉัน เธอกลับร้องไห้ออกมาทันทีแม้เราจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน เราจับมือและสบตากัน ใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำแต่ตลอดเวลาที่เราได้โอบกอดกันและกัน เราต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังงานความรักความเข้าใจที่แผ่ออกมาจากทุกอณูเนื้อ คำพูดที่มีพลังที่สุดของเธอที่ฉันได้ยินคือ เธอเห็นฉันแล้วรู้สึกมีความหวัง บางสิ่งในแววตาของเธอทำให้ฉันเชื่อว่าเธอเห็นจริงๆ ว่าฉันนั้นเคยแตกหักมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่ทุกวันนี้ฉันก็ยังคงยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกับกาย ใจ และวิญญาณ ฉันยังแกล้งพูดขำๆ กับเธอไปว่า ถ้าหากเปรียบฉันกับคินสึงิ (Kintsugi หรือศิลปะการผนึกเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหักด้วยทองคำ) ฉันก็คงจะเป็นมนุษย์เลี่ยมทองทั้งตัวเลยล่ะมั้ง
และเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเมื่อดีเจ Ecstatic Dance คู่หูเดินทางมาสมทบกับคณะ Sacred Mountain 3 ในวันที่สาม พวกเราทุกคนได้รับการแจกจ่ายโกโก้เข้มข้นคนละถ้วย เพื่อเข้าร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ Cacao Ceremoy ความมหัศจรรย์ของโกโก้คือ นอกจากจะเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่แล้ว มันยังมีฤทธิ์ในการกระตุ้นให้หัวใจทำงานเต็มที่ตามหน้าที่ของเขา นั่นคือการคอนเน็คกับตัวเองและคนอื่นๆ พิธีกรรมนี้จึงมักจบด้วยการเต้นรำเฉลิมฉลองเพื่อให้นำไปสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณ และนั่นคือที่มาของไฮไลท์ของงานนี้
ภาพอันสุดตื่นตาตื่นใจของฉันที่รอคอยมาแสนนาน เพื่อนๆ ร่วมสายเลือดไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยเสียงดนตรีอิเลคโทรนิค ที่ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจด้วยสองดีเจมืออาชีพ ทั้งพริ้วไหว ทั้งดุดัน ทั้งเซ็งแซ่ไปด้วยจังหวะกลองชามันและเสียงเพรียกจากพงไพร ฉันรู้สึกราวกำลังเข้าสู่ภาวะ Euphoric เมื่อร่างกายเคลื่อนไหวไปตามแรงสั่นสะเทือนเหล่านี้ คงไม่ต่างกับหลายๆ คน ที่บ้างก็ปล่อยตัวเองให้กลิ้งลงไปบนหาดทราย หรือก้มหน้านั่งขัดสมาธินิ่งๆ ในขณะที่เพื่อนกำลังปลดปล่อยตัวเองให้ลื่นไหลไปตามเสียงเพลง บางส่วนกระโจนลงโต้คลื่นที่ซัดแรงขึ้นทุกทีๆ ราวกับว่าทะเลก็ต้องการล้อเล่นกับคลื่นมนุษย์ด้วยการโต้ซัดพวกเรากลับไปมา ฉันเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างซาวน่ากับฟลอร์เต้นรำที่อยู่ไม่ห่างกัน กับสลับลงไปดำผุดดำว่ายในมหาสมุทร และศิโรราบให้คลื่นม้วนร่างตัวเองให้ซัดกลับมาที่หาดครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนปล่อยให้ความเป็นเด็กน้อยที่อยู่ข้างในตัวเองได้ออกมาเล่นกันอย่างเต็มที่ ตลอดระยะเวลา 3-4 ชั่วโมงไม่มีคำพูดแลกเปลี่ยนกัน ไม่มีใครเต้นจังหวะเดียวกับใคร ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มพูนประสบการณ์ด้วยสารกระตุ้นอะไร ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมันเกิดขึ้นจากการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่กันและกันในการแสดงออก เมื่อปราศจากการควบคุมและตัดสินแล้ว พื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกๆ การเติบโตจึงบังเกิด เชื่อไหมว่า Ecstatic Dance เป็นพื้นที่ที่หลายๆ คนได้ใช้ในก้าวข้ามทั้งความเศร้า ความรู้สึกไม่มั่นคง การสูญเสีย และการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว จึงไม่แปลกใจที่หลังจาก Sound Healing ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการนี้จบลง หลายคนลุกขึ้นมาพร้อมกับประสบการณ์ในการก้าวข้ามความรู้สึกลบทั้งหลาย และโอบรับตัวตนใหม่ที่เกิดขึ้นได้จากการร่วมสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้แก่กันและกันตรงนี้นั่นเอง
ยังมีอีกมากมายหลายประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็น Labyrinth Ceremony (ลายวงกตสำหรับการอธิษฐาน) ที่ผู้ภาวนาจะเดินในลายวงกต ซึ่งมีทางเข้าและออกอยู่เพียงทางเดียว ที่จะนำผู้อธิษฐานเข้าไปยังศูนย์กลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจของลาบีรินธ์ Transformation Game เกมส์กระดานจำลองชีวิต ที่เชิญชวนให้ผู้เล่นได้สำรวจที่มาของพฤติกรรมต่างๆ ของตัวเองเพื่อการตระหนักรู้ถึงข้อจำกัด และค้นหาศักยภาพของตัวเอง เพื่อเลือกว่าต้องการจะให้ชีวิตดำเนินอย่างไรต่อไป หรือ Alchemy of Touch สอนให้เรียนรู้เรื่องการสัมผัสกันและกันด้วยหัวใจผ่านการ
ภาวนา และ The Tree ภาพการนั่งล้อมวงภายใต้ต้นไม้ใหญ่อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของ The Sanctuary และภาวนาอธิษฐานร่วมกัน ถึงพันธะสัญญาแรกของมนุษย์ที่จะปกป้องรักษาเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์ที่เหลือไม่ให้หายหรือแปรสภาพไปตามกระแสอารยะธรรมสมัยใหม่
ฉันไม่มีความสามารถในการบรรยายคำขอบคุณ ที่มันเอ่อล้นออกมาจากหัวใจได้ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเทศกาลอันเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์เช่นนี้หรอก ทำได้แต่ขอบคุณทุกดวงจิตที่มีส่วนในการสร้างประสบการณ์อันสุดล้ำค่านี้ให้แก่เรา สัญญาแล้วนะว่า เมื่อเราจดจำกันได้แล้วเราจะไม่มีวันลืมความสัมพันธ์ทั้งที่มีให้แก่กันและกัน ทั้งต่อแม่ และต่อทุกสรรพสิ่ง แล้วเราจะต้องได้กลับมาเจอกันอีกแน่นอน เพราะเราทั้งหมดนั้น คือหนึ่งเดียวกันในบ้านหลังนี้นั่นเอง
“Remember, reconnect and return.”
จดจำกัน สัญญามั่น ฉันจะกลับมาหาเธอ
ขอบคุณเครดิตภาพจาก Nabi Tang