ชิบาริ ผูกรัดมัดเชือก แห่ง "ศาสตร์" และ "ศิลป์"

แว๊บแรกที่เห็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวชิบาริ (Shibari) ทุกคนจะมุ่งตรงไปที่เรื่องเพศและเรื่องเซ็กส์แน่นอน  ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร หากอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ของชาวญี่ปุ่นที่ได้กล่าวอ้างไว้ แต่หากมองชิบาริ ก้าวข้ามผ่านเรื่องเพศและเซ็กส์ไปได้ คุณจะค้นพบและเข้าใจความหมายของชิบาริ ในแง่ของศาสตร์และศิลป์การมัด เพื่อเยียวยาจิตใจนั่นเอง

ไมเนอร์ – เพชรดา ปาจรีย์ ศิลปินชิบาริ และเจ้าของเพจ Unnamedminor ที่ควงคู่มาพร้อมกับแฟนหนุ่ม แนป - ภคณัฐ รัตนบ้านกรวย รวมถึง นางแบบสาวน้อยผู้น่ารักสุดเซ็กซี่ ไพลิน - วลีรัตน์ ลมโคม จะมาบอกเล่าเรื่องราวของชิบาริ กับ EQ ในครั้งนี้

ไมเนอร์เล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวของจุดเริ่มต้น Shibari ว่า เธอสนใจเรื่องนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาชีพเขียนคอนเทนต์และรีวิวหนังใต้ดิน ทำให้เธอเข้าถึง BDSM และซีนงานมัดเชือก ซึ่งเธอสนใจเรื่องนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  พอรู้ว่าชีวิตอยู่ในจุดที่ดิ่งและจมคล้ายอาการซึมเศร้า เธอจึงพยายามหาสิ่งเร้าและกระตุ้นให้ตัวเองกลับมาเป็นปกติ ชิบาริ (Shibari) จึงเป็นคำตอบสุดท้าย ณ ตอนนั้น

การโอบรัดคือ "ความเข้าใจ" "การเปิดใจ" และ "ความสุข"

ไมเนอร์: ชิบาริ คือความเข้าใจ ที่สุดเลย ถ้าเราไม่เข้าใจและรักในสิ่งที่เราทำ มันก็จะไม่มีเสน่ห์อะไรเลย เหมือนเรารักอะไร เราจะเข้าใจในสิ่งๆ นั้น นั่นคือความสุขของการที่เราได้ทำในสิ่งๆ นั้น เราเข้าใจเครื่องมือที่ใช้ เราเข้าใจนางแบบเรา เราเข้าใจแฟนเราที่เขาเล่นดนตรี

ไพลิน: เป็นคนถูกมัดที่รู้สึกมีความสุขและรู้สึกเสียวค่ะ แม้จะถูกรัดจนคลายก็ไม่รู้สึกบาดเจ็บหรือเจ็บปวดอะไร ไม้รัดลิ้น หรือน้ำเทียนสาดใส่ ความรู้สึกเดียวคือ เสียวและมีความสุขค่ะ

ไมเนอร์: เนอร์มีความรู้สึกว่าน้องเขาชอบ และเราให้ "ความยินยอม" ตรงนั้น ด้วยความเข้าใจที่เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง นี่คือสำคัญที่สุด คือ ต้องพูดกันทุกเรื่อง เราจะบอกนางแบบทุกคนว่า ชีวิตคุณ อย่ามาเพื่อต้องการถ่ายรูป มาเพื่อต้องการได้รูปสวย อย่ามาเพื่อต้องการอินเทรนด์ อย่ามาเพราะคิดว่ามันแปลก อย่ามาเพราะให้ฉันต้องการทำให้เธอเงี่ยน ไม่ได้ ชีวิตเธอ!

แนป: ตอนแรกเป็นคนถูกมัด ไปๆ มาๆ กลายเป็นคนมัด ปกติผมมัดรถบรรทุก มัดของอยู่แล้วในงานโปรดักชั่น ก่อนจะมาเจอเขามันก็เหมือนดัดแปลงมานิดหนึ่ง เป็นฟังก์ชั่นที่้ต้องเล่นกับ Anatomy มากกว่า ตอนเป็นคนถูกมัด ผมไม่ค่อยได้อินกับเรื่องเชือก ผมไม่ได้อินกับอะไรแบบนี้ เราแค่รู้สึกว่า แค่เปิดใจกับทุกอย่าง อาทิ เทียน แซ่ เชือก ลอยตัวมัด หรืออะไรก็ตาม ผมแค่รู้สึกว่าแค่เปิดใจ พอเปิดใจแล้ว ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเราให้ค่ามันมากกว่า เราแค่รับมันมา ชอบ - ไม่ชอบ มันขึ้นอยู่กับเราตัดสินมัน เราแค่รู้สึกว่า ถ้าเราไปกำหนดมันก่อน มันก็จบอยู่แค่นั้น เรารู้สึกยังไงตรงนั้น เป็นยังไงตอนนั้น แค่นั้นพอแล้ว (แนปคือผู้ถูกมัดที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม BDSM)

Unnamedminor

ไมเนอร์: ตอนที่ทำแรกๆ เนอร์อยากให้เป็น Community ที่ดี เราโตมาด้วยสังคมที่โดนบีบ เราไม่ได้มีใครที่ยอมรับเราได้เยอะมากในครอบครัว เพราะฉะนั้น เราเจอคนที่ใกล้ๆ เรา หรือ รุ่นน้องที่มามัดใกล้ๆ เรา มีปัญหาเหมือนเรา เราก็เลยเปิดตรงนี้ขึ้นมา เพื่อให้รู้สึกว่าไม่ได้ผิดปกติ การยอมรับว่าตัวเองวิปริตไม่ใช่เรื่องผิด ถึงจะชอบมัดตัวเองแล้วคนอื่นมองว่าโรคจิตก็อย่าไปเสียใจกับมัน จงยอมรับความโรคจิตตรงนั้น ว่าไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย เพราะฉะนั้น เนอร์อยากให้ Community ตรงนี้เป็นการให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ เป็นพื้นที่ความปลอดภัยพื้นฐานของคนที่ปกติเหมือนเรา แต่คิดว่าตัวเองผิดปกติ เนอร์รู้สึกว่า ถ้ายอมรับตัวเองได้ เราก็อยู่ได้อย่างมีความสุขดี ลองมาเจอกัน มาเล่นกัน มาพูดคุยกัน ทุกต้นเดือนจะมีงานมัด ติดตามได้ในเพจ

ชิบาริ ชุบชีวิตลูกเพจขึ้นมาอีกครั้ง!

ไมเนอร์: มีเด็กคนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตาย เป็น FC เนอร์ในเพจ เห็นเขาแชร์เนอร์มา 2 ปี จนมีวันหนึ่ง เนอร์แอดเขาเป็นเพื่อน แล้วก็เห็นความผิดปกติในเฟสเขา เลยรู้สึกว่าเขาดูไปในทางที่จะฆ่าตัวตาย เนอร์เลยส่ง Direct Message ไปว่า "มาหาเราไหม เราออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดเลย ถ้าคุณบอกว่าคุณรักงาน Shibari เหมือนเรา คุณมาลองกันไหม ให้ลองวันหนึ่ง ลองมาได้เข้าใจมัน" น้องเขาก็มา หลังจากเขากลับไปเรารู้สึกว่า น้องเขามี Mindset ที่ดีขึ้น เพราะการมัดมันต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่างหนึ่ง ต้องดูแลดีมากๆ เนอร์รู้สึกยินดีที่ได้ช่วย ไม่ได้บอกว่าตัวเองบำบัดซึมเศร้าได้นะ แต่คือคนๆ หนึ่งที่เข้าใจในฐานผู้ให้ เรา Heal เขาได้

ผูกมัด ด้วย "เชือกชนิดพิเศษ" และ "ดนตรี"

ไมเนอร์: เมื่อก่อนเริ่มไปซื้อเชือกจากทุกที่เลย ไปซื้อจนโดนคนขายทักว่า "น้องจะซื้อไปฆ่าตัวตายเหรอ?" รีบบอกเลยว่าเปล่า! ด้วยตอนนั้นที่เราไม่มีความรู้ แล้วสายแบบนี้เขาไม่ให้ใครเรียน จริงๆ มีครูสอนแต่เข้าถึงศาสตร์หรืออาจารย์ที่สอนยากมาก เพราะฉะนั้น เราก็ทำได้แค่ทดลอง พอทดลองทำไปเรื่อยๆ ก็เจอข้อผิดพลาดเรื่อยๆ จนมีโอกาสมาเจอพี่คนหนึ่งในกลุ่ม BDSM เลยมีโอกาสได้ไปเรียนด้วย

เชือกทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ อันตรายมาก คุณมัดไม่เป็น คุณใช้อุปกรณ์ที่ผิด คุณขาดความรู้เรื่องความปลอดภัย คุณไม่มีความรู้เรื่องการยินยอม หรือ กฎกติกาการเล่น มีสองอย่างคือ ไม่พิการก็ตาย เชือกที่ใช้เป็นเชือกชนิดพิเศษของญี่ปุ่น ของฝรั่งก็มี แต่มันเริ่มมาจากญี่ปุ่น มี Hemp Rope, Jute Rope คล้ายๆ เชือกปอเชือกป่านบ้านเรา แต่มันเป็นเชือกชนิดพิเศษของญี่ปุ่น มีกระบวนการมากกว่าเชือกทั่วไป ไม่ใช่ว่าไปตัดเชือกมาทำแล้วทำได้ มันมีกระบวนการทำเกือบเดือน

ไม่มีดนตรี ชิบาริก็ไม่ขับเคลื่อน

แนป: ปกติผมเล่นกีตาร์ ซอ ซึง พิณ แต่ Main ของผมคือ พิณ เพราะผมเคยเป็นนักดนตรีไทยในโรงเรียนมาก่อน เราเข้ามาอยู่ในสังคมนี้แรกๆ เราสามารถไปไกลและนำวัฒนธรรมให้ออกไปให้ไกลมากกว่าเดิม เราสามารถ Breakthrough ตรงนั้นได้ เราเลยเอาเครื่องดนตรีไทยในแบบที่เรารู้อยู่แล้ว แบบที่เราเล่นเป็นและค่อนข้างชำนาญกับมันมาเล่นกับมัน

ตอนแรกเราเล่นแค่โครงสร้างเดิมๆ แบบอนุรักษ์ เราก็พัฒนามาเรื่อยๆ เราเจออุปสรรค ปัญหาต่างๆ มันทำให้เราพัฒนา เราจะทำยังไงให้เล่นเข้ากับเขา เราต้องลดตรงนั้นลงมา เพื่อทำให้ Performance มันกลม แล้วมันจะสวย เราไม่ต้องลึกหรือฉีกอะไรก็ตาม เหมือน Harmony กันครับ

ปะทะ เพื่อสร้างการเรียนรู้และรับรู้

ไมเนอร์: ถ้านางแบบจะเป็นสายปะทะ (หัวเราะ) เนอร์ก็ปะทะเหมือนกัน ถ้ามันมากระทบคนข้างๆ เรา เช่น มาหาเรื่องนางแบบเรา หรือ แฟนเรา แต่ถ้าโดนตรงๆ ไม่ค่อยมี ไม่สนใจมากกว่า จะมองว่าเป็นอีกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ได้กระทบขนาดนั้น เพราะเขาไม่รู้จักเรา ไม่ต้องแคร์ขนาดนั้นก็ได้

ชิบาริเรียนได้เรื่อยๆ เพราะมันเป็นงานอดิเรก ประสบการณ์เราได้จากแบบที่เรามัด มันเรียนรู้ได้เรื่อยๆ เราสามารถมัดผู้หญิงพลัสไซส์ต่างจากผู้หญิงสแลนเดอร์ ต่างจากผู้หญิงผอม ต่างจากผู้ชายผอม ต่างจากผู้ชายอ้วน คือมันได้หมด แล้วสุขภาพของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ท้าทาย เราอาจไม่ได้เรียนรู้อย่างถ่องแท้ แต่เราเข้าใจมันได้ จะให้มันไปเวย์ไหนก็ได้

มือใหม่

ไมเนอร์: ต้องคำนึงถึงความอันตราย ความยินยอม ถ้าคุณมัดตัวเองก็คำนึงถึงความอันตรายก่อน ถ้ามัดคนอื่นก็ต้องยินยอมก่อนเลย อันนี้คือการแยกระหว่าง คนที่มีรสนิยมทางเพศรุนแรง กับอาชญากร แยกกันด้วยคำว่ายินยอม เรื่องอายุถ้าต่ำกว่า 20 ปี พยายามจะไม่เปิดรับเข้ามา ถ้ามาก็ต้องมีผู้ปกครองมาด้วย เพราะอย่างการจัดงานล่าสุด ที่เอ็กซิบิชั่นของพี่เชนท์ มีน้องอายุ 17 ให้คุณแม่พามาดู แบบนั้นเรารู้สึกโอเค

เปลี่ยน Mindset ให้ต่างไปจากเดิม

ไมเนอร์: คนอยู่ในกลุ่ม BDSM เยอะ เอาจริงๆ คนไทยทั่วไปยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่เชื่อว่าเขาโดนกดขี่ โดยเฉพาะผู้หญิง มันอยู่ลึกๆ มันก็จะทำให้เรามีความวิปริตในตัว เกิดความจุ๊กจิ๊ก งานมัดมันคือ การตอบสนองความต้องการทางเพศอย่างแท้จริง มันคือศาสตร์ที่มีเรื่องของทางเพศมาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่ทุกคนเรียกว่าเป็นศิลปะ เพราะเรานี่ล่ะเป็นคนที่ทำให้มันเป็นศิลปะ มันอยู่ที่มุมมอง เรามีกระบวนการ เรามีขั้นตอนในการทำงาน ทำออกมาให้เป็นศิลปะ แต่เราตัดเรื่องเพศออก มันก็ไปในเวย์อื่นได้

"คนมองเรื่องนี้ต่ำมาก ไม่ต่างกับหนัง ไม่ต่างกับอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่พัฒนาเลย เนอร์ให้ความรู้มา 4 ปี ก็ไม่ฟัง ก็อยากจะฟังแค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว ยิ่งมันเป็นเทรนด์ มันยิ่งหวือหวาหนักไปใหญ่ แค่ส่งไอเดียมาว่าอยากถ่ายแบบนี้ไม่เป็นไร แต่บางครั้งคุกคามไปมันก็ไม่ดี ไม่เข้าท่า เพราะเราอยู่ในขอบเขต คนไทยมีมารยาทที่น้อยลง ยิ่งเป็นเรื่องทางเพศยิ่งน้อยมาก ๆ เขาคิดว่าง่าย มองว่าง่าย จะทำอะไรก็ได้ พูดถึงการไม่เปิดรับก็ได้" 

-- ไมเนอร์

แนป: ผมว่าความเช็กซี่มันเป็นเรื่องของมนุษย์อยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณจะทำงานศิลปะประเภทไหน ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ตาม มีการดำรงอยู่ยังไงก็ตาม เราสามารถมีความเซ็กซี่ได้ตลอด ฉะนั้น แล้วแต่มุมมอง ในเรื่องศาสตร์ต่างๆ มันถูกแต่งตั้งโดย Social Value ทุกอย่างมันก็เป็นศิลปะ แค่เราสร้างสรรค์กับมัน เราเอาขนบเดิมของมันไปเล่นกับอย่างอื่น แล้วต้องมี Process ในการสร้างสรรค์ตรงนั้น

"การเปิดรับ และเรารู้สึกมีเสรีภาพอยู่กับตัว จนเราสามารถทำอะไรก็ได้" -- แนป

รัด ด้วยความปลอดภัยและใส่ใจ

ไมเนอร์: อะไรที่สัมผัสผิวมนุษย์โดยตรง ปลอดภัยที่สุด เชือกที่รัดลงไปบนผ้าที่หนา มันไม่ได้รัดกับเนื้อ เวลาเราห้อยตัวเชือกจะเลื่อน ไม่ใช่มัดเอะอะนู้ด มันแค่เป็นวงการหนึ่งของหนัง AV เฉยๆ แต่ถ้าพูดเรื่องความปลอดภัย ผิวหนังปลอดภัยที่สุดสำหรับนางแบบ ความอันตรายถามนางแบบของเนอร์ได้ เขาจะเป็นคนสอนเรา

ชิบาริ คือศาตร์ที่ละเอียดอ่อน

ไมเนอร์: เรื่องมัดในที่มืดแล้วสื่อสารกันยาก เพลงดัง เหมือนตอนที่ไปขอนแก่น ทุกอย่างมันดังจนแบบ เราควบคุมไม่ได้ น้องอาจจะเจ็บขาด้วย เพราะแสงที่ยิงเข้าหน้าเนอร์ มันทำให้มองไม่เห็น แต่ทุกครั้งที่มัด เราจะมี After Care การทำกายภาพให้ หรือ อะไรก็ตามที่ช่วยดูแลเขา ถ้าเป็นในการแสดงตอนมัดจริงๆ เราจะไม่ค่อยถามกัน  ปกติเราจะมีเทคนิคการสื่อสาร เช่น กระซิบ บีบมือ และที่สำคัญคือ ต้องดู Body Language เยอะมาก น้ำหนักตัวที่เคยมัดแล้วห้อยขึ้นไป เยอะที่สุดคือ 120 กิโลกรัม!

ชิบาริ กับอุบัติเหตุ

ไมเนอร์: กับนางแบบคนเก่า คนนั้นน่าจะเป็นเดือนไปเลย แขนอ่อนแรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยการมัด การยินยอมมันถูกเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย มันคือการเกิดร่วมกัน นี่คือข้อสำคัญว่า ทำไมเราถึงต้องคุยกันและต้องตกลงงกันตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น ทุกคนมีการรับผิดชอบร่วมกัน

มัดเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ โดยใช้ศาสตร์และศิลป์ชิบาริ

ไมเนอร์: เรื่องของการอนุรักษ์ปลาวาฬของคนญี่ปุ่น ที่ไม่ให้เขาฆ่า อย่างพี่ทอม ธีระฉัตร โพธิสิทธิ์ (ศิลปิน) เขาจะส่งภาพมาให้เป็นภาพปลาวาฬห้อยลงมา เราก็ต้องกลับไปทำการบ้าน ว่าจะทำยังไง ทุกอย่างเนอร์พยายามให้ออกมาเป็นแนวอนุรักษ์ปลาวาฬมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือยากมาก เจอ Reference ไปเหวอเลย แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี

แนป: เหมือนเรากำหนดตัวเองว่าจะเป็นยังไง ก็จะเป็นแบบนั้น เหมือนคนที่เป็น conservative เขาก็จะบอกว่า มัดเชือกต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราแค่รู้สึกว่ามันจำกัดและทำให้ไม่พัฒนา เราอยู่ในยุคหลังสมัยใหม่ เพราะฉะนั้น การกำหนดตัวเองคือการไม่พัฒนา

“The Forgotten Sea “ เครดิตภาพจากเพจ Tom Potisit Photography

สิ่งที่ไมเนอร์กับแนป ย้ำกับเราเสมอคือ อยากให้คนดูงานมัดแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นงานชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่ภาพโป๊ ไม่ใช่ภาพถ่าย เป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่ง ซึ่งก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่สามารถเปลี่ยนแนวคิดและทัศนคติที่ดีต่อ Shibari ได้เพิ่มมากขึ้นจากเดิม

เราหวังว่า เมื่ออ่านบทความนี้จบ ชิบาริในมุมมองและทัศนคติของคุณ…จะเปลี่ยนไป