เส้นขอบฟ้า ในความหมายของคำนี้สำหรับคนทั่วๆ คงเป็นได้แค่เพียงรอยต่อ แต่ไม่ใช่ในแวดวงยานยนต์ ที่เปรียบได้กับขุมทรัพย์แห่งท้องถนน หรือยนต์กรรมสไตล์สปอร์ตที่ได้รับการขนานนามว่า ทรงคุณค่า ที่สุดในบรรดาสี่ล้อจากแดนอาทิตย์อุทัยที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาบนโลกนี้ ภายใต้ความโดดเด่นแห่งมุมมองอันแอบซ่อนสมรรถนะเหลือร้าย ที่ใครๆ ต่างต้องยอมศิโรราบ ซึ่งแน่นอนว่าการจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายหากไม่มีเรื่องผลงานในวงการมอเตอร์มาเป็นเครื่องการันตี
Skyline GT-R เป็นรถที่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง ตั้งแต่เจนเนอเรชั่นแรกในรหัส KPGC10 (เจ้าของฉายา Hakosuka แปลว่า กล่อง ตามรูปทรงของตัวรถ) ถือกำเนิดขึ้นบนโลกช่วงปี ค.ศ.1969 ด้วยดีไซน์ที่หล่อเหลา สไตล์คูเป้ บวกกับขุมพลังที่มีความเร้าใจในรหัส S20 แบบ 6 สูบ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังถึง 160 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ 5 สปีด ซึ่งสำหรับรถจากแดนปลาดิบในยุคนั้นถือว่า ยากที่จะหาใครมาต่อกร สำหรับ Skyline C10 นอกจากรุ่น 4 ประตูแล้ว ก็ยังมีรุ่นคูเป้ออกตามมาในปี 1971 ในหัส KPGC10 ที่หลายคนคุ้นเคยนั่นเอง ก่อนที่ในปี 1973 จะมีการเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ GT-R เจนเนอเรชั่นที่ 2 รหัส KPGC110 แม้ว่าตัวรถจะได้รับการพัฒนาเรื่องดีไซน์และสมรรถนะให้สูงขึ้น แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรด้วยสภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งสูงในยุค 70 ทำให้รถยนต์สมรรถนะสูง ไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร โดย GT-R รุ่นนี้ ทำตลาดได้เพียงช่วงสั้นๆ และถูกสร้างขึ้นมาเพียง 197 คัน เท่านั้น
ชื่อของ Skyline GT-R กลับมาผงาดในวงการอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ในปี ศ.ศ.1989 ในสายรหัส BN-R32 เจ้าของฉาย Godzilla ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นยุคทองของ GT-R เลยก็ว่าได้ สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของรถรุ่นนี้ คงหนีไม่พ้นขุมพลังแรงบล็อค RB26DETT แบบ 6 สูบ ทวินเทอร์โบ พิกัด 2,568 ซีซี. ทำกำลังได้ 280 แรงม้า (สูงสุดเท่าที่กฎหมายประเทศญี่ปุ่นกำหนดในยุคนั้น) จับคู่กับระบบเคลื่อน 4 ล้อ อัจฉริยะ ATTESA E-TS ซึ่งสามารถกวาดแชมป์จากวงการมอเตอร์สปอร์ทั้งในและนอกประเทศได้แบบเป็นกอบเป็นกำ และยังทำยอดขายได้อย่างน่าประทับใจ โดย Nissan Skyline GT-R R32 ผลิตออกมาทั้งสิ้น 43,937 คัน ก่อนที่ในปี 1995 ทางค่ายจะปล่อย GT-R เจนเนอเรชั่นที่ 4 ออกมา แม้ว่าจะมีการพัฒนาตัวรถให้มีประสิทธิภาพที่สูงยิ่งขึ้น แต่ BCN-R33 กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร ด้วยเหตุผลที่ว่า ตัวรถมีขนาดที่ใหญ่และน้ำหนักมากเกินไป จนเป็นข้อเสียเปรียบในวงการมอเตอร์สปอร์ต
เข้าสู่เวลาของ Skyline GT-R R34 (BN-R34) ในช่วงยุคมิลเลนเนียม ภายใต้ดีไซน์ที่มีความดุดันมากยิ่งขึ้น พร้อมกับสมรรถนะของขุมพลัง RB26DETT ที่ถูกพัฒนาไปอีกไกล แม้ว่าแรงม้าจะยังคงถูกจำกัดไว้ที่ 280 ตัว แต่ระบบส่งกำลังได้รับการอัพเกรดให้เป็นแบบ 6 สปีด เช่นเดียวกับระบบช่วงล่างที่มีเรื่องของอิเล็คทรอนิคส์เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น เพื่อช่วยจัดการเสถียรภาพในการขับขี่เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ โดยความน่าสนใจอย่างหนึ่งของรถในตระกูล GT-R ก็คือ แม้จะเป็นรถที่มีขายในรูปแบบพวงมาลัยขวา (สเปคญี่ปุ่นเท่านั้น) แต่กลับมีนักเล่นฝั่งอเมริกันนิยมซื้อหามาเป็นสปอร์ตคู่ใจจำนวนไม่น้อย ซึ่งหากคุณเป็นสาวกภาพยนตร์ The Fast & The Furious ในหลายๆ ภาคแล้วล่ะก็...คงจะรู้จัก คุ้นตากันเป็นอย่างดี
นับเป็นทางแยกอย่างแท้จริง สำหรับ GT-R เจนเนอเรชั่นที่ 6 เนื่องจากทาง Nissan ตัดใจที่จะลบชื่อของ Skyline ออกไป (ปัจจุบันชื่อ Skyline ถูกปรับให้เป็นรถในตระกูลสปอร์ตซีดานแทน) ทั้งนี้ก็เพื่อให้ความขลังของรหัส GT-R ได้ไปต่อในเพดานบินที่สูงมากขึ้น กับ Nissan GT-R (R35) สปอร์ตระดับเรือธงแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่เปี่ยมล้นด้วยสมรรถนะกว่า 570 แรงม้า (เวอร์ชั่นสแตนดาร์ดล่าสุด) จากขุมพลัง VR38DETT ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ 6 สปีด Dual Clutch ซึ่งด้วยพละกำลังระดับนี้ ส่งให้ Nissan GT-R เป็นรถในสไตลซูเปอร์สปอ์ต ที่สามารถต่อกรกับรถที่เรียกว่า ซูเปอร์คาร์ ได้แบบสบายๆ จนเป็นที่มาของสมญานามว่า Super Car Killer นั่นเอง ซึ่งนอกจากเวอร์ชั่นสแตนดาร์ดแล้ว ยังมี GT-R รุ่นพิเศษออกมามากมาย เฉกเช่นเจนเนอเรชั่นอื่นๆ แต่ที่แฟนๆ ให้ความสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น GT-R50 ที่สำนัก Italdesign จากประเทศอิตาลี ทำขึ้นเป็นพิเศษในจำนวนจำกัดเพียง 50 คัน ในค่าตัว 990,000 ยูโร หรือกว่า 36 ล้านบาท (ไม่รวมภาษี)
ข้อคิดหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้จาก Skyline GT-R คือ แม้ว่าเราจะมีสิ่งที่ดีอยู่กับตัวสักแค่ไหน แต่ความแน่นอน ล้วนคือ ความไม่แน่นอน ทุกสิ่งล้วนมีขึ้น – มีลง อยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน เฉกเช่นสปอร์ตในตระกูลนี้ที่ผ่านการหมักบ่มมาอย่างพิถีพิถัน จนได้ชื่อว่าเป็นตำนาน แต่ใต้พรมแห่งความสำเร็จนั้น อาจมีสิ่งที่เรียกว่า ความล้มเหลวซ่อนอยู่ สิ่งสำคัญคือ การมุ่งมั่นรักษาในสิ่งที่ดีเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ทั่วโลกได้เห็นว่า “เรานี่แหละ...ของจริง” ดังเช่นที่สปอรต์ในสายรหัส GT-R แสดงให้เราได้เห็นมาตลอดกว่า 5 ทศวรรษ อันเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นตำนานของ GT-R ได้อย่างไร้ข้อสงสัย