‘ของเล่น’ ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก เพราะพวกเขาทำความเข้าใจโลกรอบตัวผ่านการเล่นมากกว่าการเรียนในห้อง แต่หากมองจากอีกมุมหนึ่ง ของเล่นก็สะท้อนจินตนาการและอุดมคติที่ผู้ใหญ่วาดหวังไว้เช่นกัน สิ่งที่ควรจะช่วยด้านพัฒนาการเด็กจึงกลับกลายเป็นเครื่องมือชักจูงและปลูกฝังความคิดความเชื่อผิดๆ อย่างแยบยล วันนี้ EQ จะมาตีแผ่หลักการที่อยู่เบื้องหลังของเล่นสุดหรรษาจากอดีตและปัจจุบันกัน
แนวคิดชาตินิยม
เมื่อ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (Adolf Hitler) ขึ้นยึดครองอำนาจในปี ค.ศ. 1933 เป้าหมายแรกของเขาคือ การสอนให้ประชาชนภูมิใจกับความเป็นชาติและคิดว่า “ชาติเยอรมันเหนือกว่าชาติใด” ผ่านโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) รูปแบบต่างๆ ซึ่งนอกจากฮิตเลอร์จะเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาทุกระดับแล้ว ของเล่นยังถูกนำมาใช้ป้องกันไม่ให้เยาวชนรุ่นถัดไปตั้งคำถามกับผู้นำและพรรคนาซีอีกด้วย
Photo credit: HISTORY NET
ม่ว่าจะเป็นโมเดลเรือดำน้ำ บอร์ดเกมที่มีสัญลักษณ์สวัสติกะของพรรคนาซี จิ๊กซอว์บล็อกไม้ที่ต่อออกมาเป็นภาพสงคราม หรือโมเดลฮิตเลอร์ที่ดูองอาจกล้าหาญและเป็นมิตรกับเด็ก ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ถูกออกแบบให้เด็กอายุเพียง 3-4 ขวบเล่น ทำให้คุ้นชินกับความรุนแรง ทั้งยังสมัครใจเข้าเกณฑ์ทหารเองเมื่ออายุครบ 15 ปี และพร้อมพลีชีพเพื่อพรรคนาซีและชาติเยอรมัน
กระทั่งทุกวันนี้ ของเล่นที่สนับสนุนความรุนแรงด้วยแนวคิดชาตินิยมก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป เราจะสังเกตได้ว่า ในอเมริกาเอง โมเดลเครื่องบินรบถูกผลิตออกมามากกว่าของเล่นเกี่ยวกับนักการทูต โดยมีจุดประสงค์เพื่อปลูกฝังว่าการตัดสินใจของกองกำลังทหารเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เด็กๆ จะได้สวมบทบาทเป็น “วีรบุรุษสงคราม” ขับเครื่องบินรบเหนือน่านฟ้า แล้วทิ้งระเบิดลงมากำจัดศัตรู ซึ่งการเล่นเช่นนี้ทำให้การฆ่าดูเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรจากการกระทำของทหารอเมริกันในสงครามเวียดนามเลย โมเดลเครื่องบินรบจึงยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าเหมาะสมกับการเล่นของเด็กเล็กหรือไม่
แนวคิดเหยียดเชื้อชาติและสีผิว
ศตวรรษที่ 19-20 เป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศในฝั่งตะวันตกกำลังก้าวสู่การเลิกทาส ฝ่ายที่สนับสนุนระบบทาสจึงพยายามสร้างแนวคิดเหยียดเชื้อชาติและสีผิวผ่านของเล่นอย่างกระปุกออมสิน ‘คนดำจอมตะกละ’ (Greedy Nigger Boy) ซึ่งผลิตในอเมริกาและถูกส่งออกไปทั่วยุโรป เด็กๆ สามารถเก็บเงินได้โดยวางเหรียญไว้บนส่วนมือของกระปุก แล้วดันแขนขึ้นให้เหรียญเข้าไปในปาก ตอกย้ำภาพของคนดำที่ในช่วงนั้นมีสถานะเป็นผู้ใช้แรงงาน และป่าเถื่อน ให้มีภาพลักษณ์ของความละโมบโลภมาก แม้ว่าจะมาในรูปแบบของกระปุกออมสินก็ตาม
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนไม่เหลือระบบทาสบนโลกแล้ว แนวคิดเหยียดสีผิวก็ยังไม่หายไป ในปี ค.ศ. 2015 เกิดกรณีหนึ่งที่ ‘ไอด้า ล็อกเก็ตต์’ (Ida Lockett) หญิงอเมริกันผิวสีโพสต์แสดงความกังวลบนเฟซบุ๊ก เมื่อลูกชายวัย 5 ขวบของเธอได้รับเซตเรือโจรสลัดของเล่นแบรนด์ Playmobil เป็นของขวัญวันเกิด หากแต่มีฟิกเกอร์โจรสลัดผิวดำคนหนึ่งถูกโซ่ตรวนล่ามไว้ที่คอเช่นเดียวกับทาสในอดีต
Playmobil อธิบายว่าฟิกเกอร์ดังกล่าวคือโจรสลัดที่เคยเป็นทาสมาก่อน และทางบริษัทเพียงต้องการนำเสนอบุคคลนี้ให้ “ตรงตามประวัติศาสตร์” เท่านั้น ทว่าน่าตกใจที่ผู้คนมากมายออกมาเข้าข้างและปกป้อง Playmobil ด้วยการคอมเมนต์โจมตีไอด้าอย่างรุนแรง และให้เหตุผลว่าโจรสลัดทาสไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาการเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิวโดยสิ้นเชิง เหตุการณ์นี้สะท้อนว่าคนผิวดำยังถูกผูกติดกับภาพลักษณ์เชิงลบแบบเก่าจนถึงปัจจุบัน
ระบบชายเป็นใหญ่และแนวคิดสองเพศ
สองแนวคิดนี้หยั่งรากอยู่ในสังคมมนุษย์ตั้งแต่ค้นพบอารยธรรมเมื่อหลายพันปีก่อน กระทั่งในปัจจุบัน แม้แต่ของเล่นก็ถูกแบ่งเป็นของเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งทำให้เด็กติดอยู่ในกรอบเพศกำหนดและบทบาททางเพศของผู้ใหญ่
Photo credit: Design You Trust
เด็กผู้หญิงมักจะถูกจับคู่กับของเล่นน่ารักและการเล่นแต่งหน้าแต่งตัวตุ๊กตา อาทิเช่น ‘มิดจ์ แฮดลีย์’ (Midge Hadley) เพื่อนสมัยเด็กของบาร์บี้ ที่เป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า ‘บาร์บี้คนท้อง’ เกือบ 40 ปีหลังจากเข้าสู่ตลาดของเล่นครั้งแรก เธอก็เปิดตัวอีกครั้งหลังแต่งงานกับ ‘อลัน เชอร์วู้ด’ (Alan Sherwood) ในรูปลักษณ์ของหญิงตั้งครรภ์ ที่ผู้เล่นสามารถดึงส่วนท้องออกหรือประกอบกลับคืนได้ แถมภายในท้องยังมีทารกอยู่ด้วย ซึ่งเว็บไซต์ Mattel ที่จัดจำหน่ายได้กล่าวถึงจุดนี้ไว้ว่า ตุ๊กตาถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนอง “ความรู้สึกต้องการดูแลผู้อื่น” ในการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็กหญิงอายุ 5-8 ปี
ในทางกลับกัน ของเล่นสำหรับเด็กผู้ชายจะเกี่ยวข้องกับความรุนแรงและการต่อสู้ โดยอีกตัวอย่างสำคัญคือ ฟิกเกอร์ตัวละคร Marvel ‘แฟรงก์ แคสเซิล’ (Frank Castle) หรือ ‘พันนิชเชอร์’ (Punisher) ซึ่งเป็นหนึ่งในเซตของเล่น Shape Shifters ที่ถูกปล่อยในปี ค.ศ. 1998 นอกจากใบหน้าท่าทางซึ่งฉายความก้าวร้าวและดิบเถื่อน ลักษณะร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง และมีกล้ามเนื้อแน่นจนเกินจริง แต่ตรงตามเฟติช (fetish) ที่ผู้ใหญ่ในสังคมชื่นชอบ และเมื่อเปลี่ยนเป็นโหมดโจมตี แฟรงก์ยังสามารถยิงกระสุนมิสไซล์จาก ‘ท่อนลำ’ ของเขาได้อีกด้วย มันอาจจะฟังดูตลก แต่เหล่าผู้ปกครองก็กังวลกันจริงจัง เพราะท่าทางโจมตีของเขาที่เหมือนกำลังทำกิจกรรมใต้ผ้าห่มตลอดเวลา
ถึงแม้ว่าทั้งบาร์บี้คนท้องและพันนิชเชอร์จะไม่มีขายแล้ว ก็ยังมีของเล่นอื่นๆ ในตลาดอีกมากมายที่ส่งเสริมความเป็นปิตาธิปไตย กำหนดนิยามความเป็นชายกับความเป็นหญิง และจำกัดความสัมพันธ์ว่าผู้ชายต้องแต่งงานกับผู้หญิงเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริง อัตลักษณ์ทางเพศมีความหลากหลายมากเกินกว่าจะวางกรอบได้
เราอาจไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดว่าของเล่นชิ้นไหนแฝงโฆษณาชวนเชื่อไว้บ้าง แต่อย่างน้อยการตระหนักรู้ถึงปัญหานี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการช่วยระวังให้กับเด็กๆ ผู้ไม่สามารถเลือกหรือหลีกเลี่ยงของเล่นให้ตัวเองได้เลย
อ้างอิง
Bowersox, Jeff (2021). Playing with Diversity: Racial and Ethnic Difference in Playmobil Toys