Culture

อัตลักษณ์ทางเพศลื่นไหล สรรพนามยุคใหม่ก็เช่นกัน

~เคยเป็นไหม? จะเรียกตัวเองว่า ‘ผม’ ก็ไม่ได้ เรียกว่า ‘หนู’ ก็ดูแปลกๆ เรียกว่า ‘ฉัน’ ก็ดูทางการเกิน หรือจะ ‘ข้า’ ก็ดูหลงยุค ทำไมสรรพนามถึงยากขนาดนี้นะ?

~คงเพราะวัฒนธรรม แนวคิด ‘ภาษา’ และ ‘อัตลักษณ์ทางเพศ’ เป็นสิ่งที่ลื่นไหลไม่ตายตัว ทำให้อาจมีบ้างที่เราจะสับสนในการใช้ภาษา โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนของระบบภาษาที่มีการแบ่งเพศอย่างชัดเจน เช่น การใช้ He และ She ในภาษาอังกฤษ ซึ่งที่มาของการแบ่งเพศในภาษาอังกฤษนั้นยังไม่ชัดเจนนัก มีหลายทฤษฎีที่กำลังถกเถียงกันอยู่ อย่างทฤษฎีที่บอกว่าการแบ่งเพศเป็น 2 เพศนั้นเกิดขึ้นจากทางตอนเหนือของอังกฤษ คือแต่เดิมภาษาอังกฤษโบราณ (Old English) นั้น มี 3 เพศ คือ เพศหญิง เพศชาย และเพศกลาง แต่ด้วยปัจจัยด้านภูมิประเทศและด้านวัฒนธรรมที่มีการผสมผสานกับภาษานอร์สโบราณ (Old Norse) ทำให้คนใช้ภาษาเกิดความสับจนเกิดการเปลี่ยนแปลง และจัดระบบภาษาใหม่ หรืออีกหนึ่งปัจจัยที่อาจจะเป็นเหตุผลในการแบ่งเพศนั้น ก็เพื่อจัดระเบียบทั้งรูป เสียง และความหมายของคำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น

~แต่การจัดหมวดหมู่นั้น ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็ดูจะเป็นการแบ่งแยกหรือทำให้คนที่ไม่อยู่ในหมวดหมู่ใดเลยรู้สึกไม่เข้าพวก การแบ่งสรรพนามเพียงแค่สองเพศอย่าง He และ She จึงไม่ค่อยเหมาะกับบริบทของสังคมปัจจุบันที่ผู้คนนิยามอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองกันอย่างหลากหลาย ทำให้เกิดการคิดค้นสรรพนามทางเลือกใหม่ๆ ที่เหมาะสม โดยสรรพนามเหล่านี้เรียกว่า ‘Neopronouns’

Credit: https://uwm.edu/lgbtrc/support/gender-pronouns/

~ลิสต์คำศัพท์ข้างต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสรรพนามใหม่ๆ มากมายนับไม่ถ้วนที่เพิ่งเกิดขึ้นบนโลกเรา โดยคำเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างคำทางเลือกที่มี ‘ความเป็นกลางทางเพศ’ นอกเหนือจากคำว่า They/Them ที่อาจทำให้บางคนเกิดความสับสนว่าเป็นความหมายเชิงเอกพจน์หรือพหูพจน์กันแน่

~แนวคิดเบื้องหลังของ Neopronouns นั้น คือการให้ผู้คนได้เลือกตัวตนของตนเอง หรือเลือกอัตลักษณ์ที่ตนเองพึงพอใจที่จะถูกเรียก ภายใต้แนวคิดนี้เอง ทำให้เราสามารถคิดค้น และพัฒนาสรรพนามของตนเองได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นการแปลงจากคำนามทั่วๆ ไป เช่น Bun/Bunself หรือสำหรับใครที่อยากนิยามตัวเองว่าเป็นแมวเหมียวตัวน้อยจะตั้งสรรพนามเป็น Kitten/Kittenself ก็ย่อมได้

~ทางด้านสื่อบันเทิง หนัง ซีรีส์ ต่างๆ ก็ได้เริ่มมีการเพิ่มตัวละครที่มีอัตลักษณ์เป็น LGBTQ+ เพิ่มมากขึ้น และยังมีการใช้สรรพนามอย่าง they/them ซึ่งถือเป็นการสื่อสารและแสดงออกถึงตัวตนของกลุ่ม LGBTQ+ ได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างตัวละคร Skye จากซีรีส์แนว Coming of age เรื่อง The Summer I Turned Pretty ที่นิยามตนเองว่าเป็น non-binary นอกจากนี้ยังมี Cal Bowman จากซีรีส์วัยรุ่นสุดกวนอย่าง Sex Education อีกทั้งนักแสดงที่รับบทนี้อย่าง Dua Saleh ยังได้กำหนดสรรพนามของตนเองว่า They/Them และ Xe/Xem อีกด้วย

 Credit: https://about.netflix.com/en/news/meet-the-actor-playing-sex-educations-non-binary-character

ฝั่งตะวันตกไปถึงขั้นกว่าของ They/Them จนใช้คำว่า Xe/Xem แล้ว 

ฝั่งไทยล่ะ ตอนนี้ไปถึงไหน? 

~ถ้าต้องพูดถึงสรรพนามในบริบทของภาษาไทยแล้ว เรียกได้ว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่ประกอบขึ้นจากหลายวัฒนธรรม หลายกลุ่มความคิด จนมีการแบ่งทั้งเพศและระดับภาษา อย่างคำว่า She ที่แปลได้ทั้ง ‘เขา’ ‘เธอ’ ‘หล่อน’ ‘ชี’ ‘มัน’ ‘แก’ และอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว เรายังสามารถสังเกตเห็นกรอบหรือแนวคิดแบบ Binary ที่อยู่เบื้องหลังคำนั้นๆ ได้อยู่ เช่น ‘เขา’ ที่มีไว้ใช้กับผู้ชาย หรือ ‘หล่อน’ ที่มีไว้ใช้กับผู้หญิง 

~ด้วยการประกอบขึ้นจากแนวคิดที่หลากหลายนี้เอง ทำให้ภาษาไทยนั้นลื่นไหลถึงขั้นสุด เรียกได้ว่ามีการผลิตคำศัพท์ใหม่ๆ ในทุกไตรมาส จนทำให้เราที่แม้จะเป็นคนไทยแท้ๆ ก็ยังแอบตกยุคไปบ้าง คือแบบโฮ่งเกิน ยมมาก ตามไม่ทันแล้วคุณน้า 

~ความลื่นไหลในภาษาไทยดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่ในเชิงการใช้งานจริงๆ นั้น ก็เป็นเพียงการคุยกันแบบเฉพาะกลุ่ม จึงทำให้ภาษาไทยนั้นยังไม่ค่อยมีคำที่เป็นสรรพนามกลางในการสื่อสารกัน คำที่เรามักจะเห็นบ่อยก็คงเป็นคำว่า ‘เรา’ หรือ ‘นี่’ ซึ่งแทนได้ทั้งชายและหญิง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงติดเรื่องระดับภาษาอีกเพราะเราคงไม่สามารถแทนตัวเองว่า ‘เรา’ หรือ ‘นี่’ ได้ตอนต้องคุยกับผู้ใหญ่ หรือใช้ในเชิงการทำงาน หรือกฏหมายได้

~นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยด้านภาษาศาสตร์โดย ดร.ภาวดี สายสุวรรณ ภาควิชาภาษาศาสตร์ จุฬาฯ เสนอไว้ว่าเหล่าพี่กะเทยในสังคมไทยก็พบปัญหาเรื่องการใช้สรรพนามเช่นเดียวกัน ถึงแม้พี่กะเทยส่วนใหญ่จะนิยามตัวเองว่าเป็นเพศที่ 3 ในสังคมไทย และใช้สรรพนามเพศหญิงแทนตัวเองกันส่วนมาก แต่พอต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ พี่กะเทยเหล่านั้นก็ยังคงเลือกที่จะใช้ สรรพนามบุรุษที่ 1 ตามเพศกำเนิดอยู่ดี

~ด้วยข้อจำกัดที่หลากหลายนี้เองจึงทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นคนทั่วไป คนในวงการบันเทิง หรือตัวละครที่มีอัตลักษณ์เป็น Non-binary และระบุสรรพนามของตนเองอย่างแจ่มแจ้งมากนักเมื่อเทียบกับฝั่งตะวันตก ทั้งนี้ ก็ยังคงมีคนในวงการบางคนที่ระบุสรรพนามของตนเองชัดเจนอย่างคุณซิลวี่ ภาวิดา ที่ใช้สรรพนามว่า She/Her และ They/Them

แล้วสรรพนามใหม่ๆ ที่ดูแปลกตาเหล่านี้จะใช้ได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ เหรอ?”

~การใช้คำสรรพนามทางเพศที่มีอยู่มากมายนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่เป็นการสร้างอัตลักษณ์และการยอมรับให้กับกลุ่ม LGBTQ+ แต่ยังคงมีบางกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่พร้อม ไม่ยอมรับ และต่อต้านการใช้สรรพนามทางเพศใหม่ๆ เหล่านี้

~ขณะที่เรายังเถียงกันเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ การมีรัฐธรรมนูญสำหรับใช้ในประเทศที่ผ่านการรัฐประหารมา แถมกฎหมายสมรสเท่าเทียมยังไม่ได้ร่างด้วยซ้ำ เมื่อปี 2017 (พ.ศ. 2560) อีกฟากหนึ่งของโลกอย่างแคนาดา ก็ไปถึงขั้นการถกเถียงเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับสรรพนามทางเพศกันแล้ว

~หลายคนอาจคุ้นหน้าชายผิวขาววัยกลางคนแต่งตัวเป็นสุภาพชน ขวัญใจรถทัวร์ชาวเน็ตนามว่า Jordan Peterson นักวิชาการที่ออกมาต่อต้านการใช้ร่างกฎหมาย ‘Bill C-16’ ซึ่งบังคับใช้ไปเมื่อปี 2017 โดยจุดประสงค์ของร่างกฎหมายนี้คือเพื่อไม่ให้เกิดการคุกคามอัตลักษณ์และการแสดงออกทางเพศ จึงทำให้นักวิชาการรายนี้ออกมาค้านเพราะกลัวว่าจะติดคุกจากการไม่เรียกสรรพนามตามเพศของคู่สนทนา โดยเขาบอกว่าเป็นการปกป้อง Freedom of speech แถมยังแย้งอีกว่าสรรพนามเหล่านี้จะเป็นปัญหาต่อโครงสร้างภาษา

Credit: https://thevarsity.ca/2016/10/17/tensions-flare-at-rally-supporting-free-speech-dr-jordan-peterson/

~แต่! สิ่งที่เกิดขึ้นในสวีเดนกลับเป็นการพิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าการใช้สรรพนามใหม่ที่มีความเป็นกลางทางเพศสามารถทำได้จริง ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาได้มีการคิดคำสรรพนามใหม่ในภาษาสวีดิช คือคำว่า hen ซึ่งเป็นสรรพนามกลางใช้เรียกได้ทุกเพศ เกิดมาจากการผสมคำว่า Hon (She) และ Han (He) เข้าด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ Hen ยังเป็นที่ยอมรับกันอย่างทั่วไป ทั้งการพูดกันในชีวิตประจำวัน สื่อ รวมทั้งวรรณกรรมอีกด้วย

~การเปลี่ยนแปลงและความลื่นไหลของภาษาเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่คอยบอกว่าภาษานั้นยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังต้องยืดหยุ่นเข้ากับยุคสมัยไม่เก่าไปตามเวลา เพราะหากทุกภาษาถูกแช่ไว้ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลง ก็ราวกับว่าเราแช่แข็งวัฒนธรรมไปด้วย และภาษาที่ไม่ตอบโจทย์การใช้งานของคนในแต่ละยุคสมัย ก็คงจะค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

~หากการยอมรับคำศัพท์ใหม่ๆ เป็นเรื่องยากจริงๆ สำหรับคนที่ตามความครีเอทในการคิดสรรพนามของเหล่า LGBTQ+ ไม่ทัน อีกหนึ่งวิธีที่ดูจะง่ายและเป็นทางสายกลางที่สุดก็คงต้องกลับไปที่คำว่า they/them ที่ดูจะเป็นคำกลาง ใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่มความคิด โดยไม่ต้องให้คนอย่าง Peterson เปลืองเมมโทรศัพท์ในการวงเล็บข้างหลังชื่อคนว่า Xe/Xem ไม่ก็ Kitten/Kittenself ถึงอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าให้ปฏิเสธ Neopronouns ไปเลย เพียงแต่ให้คำว่า They/Them เป็นคำพื้นฐานทั่วไปที่ทำให้ทั้งคนที่อยู่ในคอมมูฯ และคนที่ตามกระแสสังคมไม่ทันได้ใช้สื่อสารกันอย่างทั่วถึง

~ดังนั้นการสร้างสรรพนามใหม่ เพื่อให้ทุกคนได้เลือกอัตลักษณ์ของตัวเอง และถูกเรียกด้วยสรรพนามที่แสดงถึงการมีตัวตนในสังคม ก็เหมือนกับแนวคิดของ Judith Butler นักปรัชญา ผู้ให้กำเนิด Queer Theory ที่เสนอไว้ว่า เพศเป็นสิ่งที่ลื่นไหล ไม่ตายตัว และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่างนั้นแล้วในด้านภาษาก็คงไม่ต่างกัน ในอนาคตเราอาจเรียกแทนตัวเองว่า ‘เหมียว’ จนเป็นเรื่องปกติก็ได้ 

“Language is the road map of a culture. It tells you where its people come from and where they are going.” 

(ภาษาคือเส้นทางของวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงที่มาของเรา รวมถึงที่ที่เรากำลังจะไป)

Rita Mae Brown

อ้างอิง