Culture

จากตำนาน ความเชื่อ สู่การตีความงานดีไซน์ร่วมสมัยผ่าน ‘ยักษ์วัดแจ้ง – ยักษ์วัดโพธิ์’

ถ้าไม่นับท้าวเวสสุวรรณที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ‘ยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์’ น่าจะเป็นยักษ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคู่หนึ่งเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นที่รู้จักของยักษ์ทั้ง 2 ตน เราจึงมักจะเห็นยักษ์ทั้ง 2 ปรากฏในสื่ออยู่บ่อยๆ ทั้งการ์ตูน ภาพยนตร์ และงานศิลปะร่วมสมัย แม้แต่ของที่ระลึกก็ยังมี แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น มาทำความรู้จักกับยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์กันก่อนดีกว่า

ใครคือยักษ์วัดแจ้ง – ยักษ์วัดโพธิ์?

‘ยักษ์วัดแจ้ง’ หรือ พญายักษ์วัดแจ้ง เป็นพญายักษ์ใหญ่ 2 ตน ที่อยู่ขนาบประตูทางเข้าพระอุโบสถของวัด ตนที่มีกายสีเขียวคือ ‘ทศกัณฐ์’ เจ้าแห่งกรุงลงกา ส่วนที่มีกายสีขาวคือ ‘สหัสเดชะ’ เจ้าเมืองปางตาล ซึ่งทั้ง 2 ตนถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุด เทียบได้กับข้าราชการระดับสูงในปัจจุบัน ยักษ์ทั้ง 2 ตนนี้จะต้องยืนคู่กันเสมอ เพราะด้วยศักดิ์ที่มีความยิ่งใหญ่มากของทั้งคู่ จึงไม่สามารถจับคู่กับใครได้เลยนอกจากจับคู่กันเอง

โดยปกติ ‘ยักษ์’ มักจะถูกมองว่าต้องตัวใหญ่ ทำให้บรรดาตุ๊กตาศิลาจีน หรือ 'ลั่นถัน' ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าหลักของวัด ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น ‘ยักษ์วัดโพธิ์’ แต่จริงๆ แล้ว ยักษ์วัดโพธิ์เป็นยักษ์ตัวเล็ก ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าพระมณฑป หรือหอไตรจตุรมุข ในปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 4 ตนด้วยกัน ซึ่งต่างก็เป็นยักษ์จากเรื่องรามเกียรติ์เหมือนกับยักษ์วัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น ‘พญาขร’ ยักษ์กายสีเขียวเจ้าเมืองโรมคัล คู่กับ ‘สัทธาสูร’ ยักษ์กายสีหงเสน (สีสนิมดีบุกเจอสีขาว) เจ้าเมืองอัสดงค์ เฝ้าประตูด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนประตูทางฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้มี ‘มัยราพณ์’ (ปัจจุบันนิยมสะกดว่า ไมยราพ) ยักษ์ที่มีกายสีม่วงอ่อน ผู้เป็นเจ้าแห่งเมืองบาดาล ยืนคู่กับ ‘แสงอาทิตย์’ ยักษ์กายสีแดงชาด โอรสของพญาขร (ที่เฝ้าอยู่ประตูข้างๆ)

ตามจารึกที่ว่าด้วยการปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ระบุว่า จริงๆ แล้ว ยักษ์วัดโพธิ์แต่ดั้งเดิมมีทั้งสิ้น 4 คู่ 8 ตน ดังความที่ปรากฎว่า “แลกำแพงนั้นประกอบด้วยสิลาเขียวแผ่นใหญ่ มีประตูซุ้มสามยอดไว้รูปอสูร หล่อด้วยสังกะสีผสมดีบุกสูงสามศอกคืบ ยืนกุมตระบองอยู่ในช่องซุ้มสองข้างประตูละสองรูป เหมือนกันทั้งสี่ประตูสี่ด้านเป็นรูปอสูรแปดรูป”

ถึงแม้ว่าจารึกของวัดจะบอกไว้ชัดเจนว่า ดั้งเดิมมีรูปยักษ์ (หรือที่ในจารึกเรียกว่าอสูร) อยู่ 8 ตน แต่ในปัจจุบัน อีก 4 ตนก็ไม่ปรากฎอยู่แล้ว เนื่องจากถูกรื้อออกไปพร้อมกับซุ้มประตูฝั่งทิศตะวันออกทั้ง 2 ซุ้ม ในตอนที่มีการสร้างพระเจดีย์สุริโยทัย พระมหาเจดีย์องค์ที่ 4 ของวัดโพธิ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยยักษ์ตนที่หายไปก็คือ ‘อินทรชิต’ ยักษ์กายสีเขียว บุตรของทศกัณฐ์ ยืนเฝ้าประตูทิศตะวันออกเฉียงใต้คู่กับ ‘สุริยภพ’ (หรือที่ปัจจุบันสะกดว่าสุริยาภพ) ยักษ์กายสีแดงชาด โอรสท้าวจักรวรรดิ ส่วนประตูทางเข้าหอไตรฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคู่ของ ‘ทศกัณฐ์’ และ ‘สหัสเดชะ’ เช่นเดียวกับที่เฝ้าทางเข้าอุโบสถวัดอรุณฯ นั่นเอง

ตำนานท่าเตียน

พูดถึงยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ ถ้าจะไม่พูดถึงตำนานท่าเตียนก็กระไรอยู่ ฉะนั้นเอาแบบสั้นๆ เลยแล้วกัน

ตำนานท่าเตียนที่ว่านี้เล่าถึงเรื่องของยักษ์ทั้ง 2 วัด ที่แต่เดิมเป็นเพื่อนกัน กระทั่งวันหนึ่ง ยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน ก็เลยข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง ซึ่งยักษ์วัดแจ้งก็ให้ยืม แต่ปรากฏว่า พอถึงกำหนดคืนเงิน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมคืนเงิน ยักษ์วัดแจ้งจึงข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงิน จนได้ทำการสู้กัน แต่ด้วยพลังของยักษ์ทั้งสองที่มากเกินไป ทำให้ต้นไม้ในบริเวณที่ยักษ์ทั้ง 2 เดินผ่านราบเลี่ยนเตียนโล่ง จนสุดท้าย พระอิศวรจึงเสด็จมาลงโทษยักษ์ทั้ง 2 โดยสาปให้กลายเป็นหิน และให้ยักษ์วัดโพธิ์ไปยืนเฝ้ามณฑป ยักษ์วัดแจ้งไปเฝ้าพระวิหาร ส่วนบริเวณที่ยักษ์ทั้ง 2 รบกันก็คือ 'ท่าเตียน' นั่นเอง

แต่หากสังเกตให้ดี ในตอนท้ายของตำนานนี้มีจุดที่น่าสนใจอยู่ 2 จุด คือ

  1. คนแต่งตำนานรู้ว่ายักษ์วัดโพธิ์เป็นยักษ์ขนาดเล็กที่อยู่บริเวณทางเข้ามณฑป ไม่ใช่ยักษ์จีนเหมือนที่คนรุ่นหลังเข้าใจ
  2. ยักษ์วัดแจ้งนั้น จริงๆ แล้วเฝ้าประตูทางเข้าพระอุโบสถ ไม่ใช่พระวิหาร ก็น่าสนใจดีเหมือนกันว่า ทำไมตำนานนี้ถึงเล่าแบบนี้ ทั้งที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ายักษ์ทั้ง 2 ตนไม่ได้เฝ้าพระวิหาร

พญายักษ์ในวงการภาพยนตร์

ถึงจะมีวัดหลายแห่งที่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละคร หรือภาพยนตร์ แต่น่าจะไม่เคยมีสิ่งที่อยู่ภายในวัดไหนๆ ถูกหยิบจับมาเป็นตัวละครในภาพยนตร์ได้เหมือนอย่างยักษ์วัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้ง

Photo Credit: Wikipedia

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพยนตร์เรื่อง 'ท่าเตียน' ที่เข้าฉายเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2516 ที่น่าจะถือว่า เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ตัวละครยักษ์ทั้ง 2 ตน ได้เฉิดฉายอยู่บนจอเงิน โดยผู้กำกับ ‘สมโพธิ แสงเดือนฉาย’ ได้แรงบันดาลใจจากสมัยที่อยู่ในกองถ่ายภาพยนตร์ชุด ‘ก๊อดซิลล่า’ และซีรีส์ ‘อุลตร้าแมน’ ที่ประเทศญี่ปุ่น จึงนำไอเดียภาพยนตร์เกี่ยวกับยักษ์ หรือสัตว์ประหลาดของไทยมาใช้ และเลือกยักษ์วัดแจ้ง - ยักษ์วัดโพธิ์มาเป็นตัวละคร พร้อมทั้งหยิบยกเอาตำนานของท่าเตียนที่เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่คุ้นหูกันอยู่แล้วมาดัดแปลงได้อย่างน่าสนใจ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก และประสบความสำเร็จอย่างสง่างาม

จุดที่น่าสนใจก็คือ ‘ยักษ์วัดโพธิ์’ ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนั้นไม่ใช่ยักษ์ตัวเล็กที่เฝ้าประตูทางเข้าพระมณฑป แต่กลับเป็นตุ๊กตาศิลาจีน แสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า ยักษ์วัดโพธิ์คือ ‘ยักษ์จีน’ น่าจะเป็นเกิดขึ้นมานานมากแล้ว ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถ้าเราพูดถึง 'ยักษ์' เราก็จะนึกถึงสิ่งมีชีวิตที่ขนาดใหญ่กว่าคน ในเมื่อยักษ์วัดโพธิ์ของจริงเป็นยักษ์ขนาดเล็ก ในขณะที่ตุ๊กตายักษ์จีนนั้นตัวใหญ่กว่ามาก จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะคิดว่า 'นี่สิ ยักษ์วัดโพธิ์ของจริง'

Photo Credit: Wikipedia

ถัดมาอีกแค่ปีเดียว สมโพธิ แสงเดือนฉาย แห่งไชโยภาพยนตร์ ก็ได้จับมือกับสึบุรายะโปรดักชั่น เจ้าของซีรีส์อุลตร้าแมน สร้างภาพยนตร์เรื่อง 'ยักษ์วัดแจ้งพบจัมโบ้เอ' โดยนำเอา ‘จัมโบ้เอ’ ตัวละครจากซีรีส์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ออกฉายในปี พ.ศ 2516 มาเจอกับยักษ์วัดแจ้ง โดยได้เล่าเรื่องว่า ที่วัดแจ้งมี 'เพชรสุริยคราส' วัตถุที่มีพลังมหาศาล มนุษย์ดาวอังคารจึงได้บุกลงมายังโลกเพื่อชิงเพชรนี้ และจัมโบ้เอได้ร่วมมือกับยักษ์วัดแจ้งสู้กับมนุษย์ดาวอังคาร โดยนางจังกล และมนุษย์กลางหาว ได้รับชัยชนะ แม้จะไม่ได้ถูกพูดถึงในชื่อเรื่อง แต่ในเรื่องก็มียักษ์วัดแจ้งปรากฏตัวมาสู้กับมนุษย์กลางหาวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน และในเวอร์ชั่นนี้ เขาก็ยังเป็นยักษ์จีนเหมือนเดิม

ยักษ์วัดแจ้ง – วัดโพธิ์ในงานร่วมสมัย

หลังจากนั้น แม้ยักษ์ทั้ง 2 วัดจะยังมีชื่อเสียงอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีการปรากฏตัวในสื่ออีกเลย ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง สาเหตุหนึ่งก็อาจจะมาจากการที่ทั้ง 2 ตัวละคร เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนหนึ่งเคารพนับถือในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น การจะหยิบจับมาสร้างเป็นผลงานละคร หรือภาพยนตร์นั้นมีความละเอียดอ่อนมาก เว้นเสียแต่จะปรากฏตัวในรายการสารคดี หรือเป็นฉากหลัง

กระทั่งในปี พ.ศ.2561 มีการจัดเทศกาลศิลปะนานาชาติ ‘Bangkok Art Biennale 2018’ คุณคมกฤษ เทพเทียน ได้สร้างผลงาน 'ยักษ์แฝด' ซึ่งได้นำยักษ์ปูนปั้นแบบไทย กับนักรบหินแกะสลักแบบจีน หรือยักษ์จีน มาเชื่อมบริเวณลำตัวให้ติดกันแบบแฝดอิน-จัน ซึ่งถ้าเราดูดีดีก็จะเห็นว่า ยักษ์แบบไทยกับยักษ์จีนที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานชิ้นนี้น่าจะเป็นยักษ์วัดแจ้ง และยักษ์วัดโพธิ์ที่คนไทยคุ้นเคยกัน โดยในปัจจุบัน ผลงานยักษ์แฝดนี้ได้ย้ายจากบริเวณศาลาริมน้ำ ด้านหน้าพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม สู่หน้าทางเข้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ และผลงานยักษ์แฝดนี้ยังได้ถูกนำไปต่อยอดเป็นผลงานชื่อ ‘Giant Twins’ ในปี 2022 รวมถึงมีการทำออกมาในรูปของสติกเกอร์ด้วย

Photo Credit: MOTMO Studio

ผลงาน 'ยักษ์แฝด' นี้ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการประยุกต์เอางานศิลปกรรมโบราณ มาทำให้ดูร่วมสมัย ทันสมัย เข้ากับคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น ทำให้เราเห็นว่า ไม่ใช่แค่ลายไทยตามวัดเท่านั้น ที่จะสามารถนำมาออกแบบให้ร่วมสมัยได้ แต่งานประติมากรรมต่างๆ ภายในวัดเองก็สามารถทำได้เช่นกัน และน่าสนใจมากว่า ในอนาคตจะมีใคร หรือผลงานชิ้นใหม่ๆ ที่นำเอาไอเดียแบบนี้มาใช้อีกหรือเปล่า