‘ขนมหวาน’ น่าจะเป็นวัฒนธรรมการกินอย่างหนึ่งที่หลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านเรา หลายๆ คนอาจจะมองว่า มันเป็น ‘เทรนด์’ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปตามความต้องการของตลาด แต่ไม่ใช่กับ เชฟพลอย – ฐาติกานต์ ตัณฑจินนะ ที่บางคนอาจจะรู้จักในฐานะผู้เข้าแข่งขันรายการ Top Chef Thailand Season 2 แต่ในวันนี้เราจะชวนเธอมาพูดคุยถึงเรื่องราวบนเส้นทางขนมหวาน และ ‘Whippin’licious by Chef Ploy’ แบรนด์ขนมที่อยากพาทุกคนไปสัมผัสกับ ‘A Taste Like No Other’
A Journey’licious
“ที่บ้านเป็นครอบครัวที่ชอบทานมาก” เชฟพลอยเริ่มต้นเล่าเมื่อเราถามถึงเส้นทางที่ทำให้เธอก้าวเข้ามาเป็นเชฟขนมหวาน “เหมือนสุดสัปดาห์ เราก็จะหาร้านใหม่ๆ ทานตลอด ไม่ว่าจะเป็นไกลใกล้ ขับรถไป 1-2 ชั่วโมง ก็จะไปหา คือเป็นครอบครัวที่ชอบทาน แล้วก็รู้สึกว่า ขนมหวานเนี่ย หลายๆ คนก็อาจจะรู้สึกว่ามันคือ การทาน Cheat Day แต่ว่าพลอยทานขนม ทานโดนัทเป็นปกตินะคะ เลยไม่ได้รู้สึกว่า ขนมหวานเป็นสิ่งที่จะต้องมีโอกาส หรือวาระพิเศษอะไรแล้วถึงจะทาน มันก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเธอชอบทาน เราเลยขอให้เธอเล่าถึงอิทธิพลของขนมหวานที่มีต่อเธอบ้าง
“เหมือนมันหล่อหลอมทำให้เราได้มีอาชีพนี้ ให้เราได้เจอในสิ่งที่เรามีแพชชั่นกับเขาจริงๆ เพราะมันเกินกว่าแพชชั่นไปอีก เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่เรียนจบมา แล้วก็ไปเรียน Le Cordon Bleu ต่อ ตอนนั้นไม่มีข้อสงสัยอะไรในชีวิตเลยนะคะ ว่าจะทำอะไรต่อ เพราะก็รู้เลยว่ามาเส้นนี้นี่แหละ เกี่ยวกับอาหารแน่นอน แต่ว่าพอมาทำจริงๆ มันแตกไปได้หลายแขนงมากเลย ไม่ใช่แค่การเป็นเชฟแล้วทำขนมอยู่ทุกๆ วัน มันไปกว้างกว่านั้นได้เยอะ
ตั้งแต่ตอนเด็ก สมัยเล่นเทควันโดอะไรต่างๆ ถ้าพลอยรู้สึกว่าทำอะไรแล้วมีความสุข พลอยก็จะทำมัน ถ้าพลอยไม่ชอบทำอะไร พลอยจะไม่ทำในสิ่งนั้นเลย ซึ่งขนม หรือว่าการทำอาหารเนี่ย เป็นสิ่งที่รู้สึกว่า ทำแล้วมันไม่ใช่งาน คือตื่นมาก็ทำสิ่งนี้เลย”
“ตั้งแต่ทำอยู่ในสายอาชีพนี้ ไม่เคยรู้สึกว่า ‘พรุ่งนี้วันจันทร์’ คือวันทุกวันเหมือนกันหมดจริงๆ แล้วก็รู้สึกแบบนี้มาเป็นสิบกว่าปีแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ายังแฮปปี้กับสายงานนี้มาก”
“มันไม่ใช่แค่เป็นขนม หรือของกินมั้งคะ แต่มันเป็นโมเมนต์นั้น ที่เราได้เอาเข้าปาก แล้วมันเหมือนลืมเรื่องทุกอย่างที่ไม่ว่าวันนี้จะดี หรือจะไม่ดี กินแล้วมันก็แฮปปี้จังเลย” พลอยพูดถึงเสน่ห์ของขนมหวานที่เป็นเหมือน Magical Moment “มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ที่ทำให้เราหายเหนื่อย ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรข้างนอก ไม่ใช่แค่ตอนกินนะ ของพลอยคือตอนทำด้วย อย่างเวลาที่ต้องคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ มีเรื่องอะไรมากมายในชีวิต พอเข้าครัวมันเหมือนอีกฟีลหนึ่ง เหมือนตัดสิ่งรอบข้างออกไปหมดเลย มันเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรารู้สึกว่า การที่ชีวิตเราเกิดมาทำอันนี้ แล้วเราแฮปปี้จังเลย มีความสุข”
แน่นอนว่าการเดินทางบนสายเชฟขนมหวานมากว่า 10 ปี น่าจะทำให้ใครหลายๆ คน เคยได้สัมผัส หรือพบเห็นเมนูของเชฟพลอยกันมาบ้างแล้วแน่นอน
“ตอนนี้ที่ทำหลักๆ เลย ก็คือแบรนด์ ‘Whippin’licious by Chef Ploy’ ค่ะ เป็นแบรนด์ขนมที่พลอยต่อยอดมาจากแบรนด์ที่ชื่อ ‘Wanjai by Ploy’ ที่ขายขนมมาตั้งแต่สมัยที่พลอยเรียนจบ Le Cordon Bleu ประมาณ 10 ปีที่แล้วค่ะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่พลอยทำก็จะเป็น ‘PP Baking Studio’ ค่ะ ก็จะเป็นสตูดิโอสอนทำขนมทำเวิร์กช็อปต่างๆ ที่ Lido Connect นอกนั้นก็จะเป็นงานอีเวนต์ งานแบรนด์แอมบาสเดอร์ คิดสูตรให้แบรนด์ต่างๆ แล้วก็เป็นที่ปรึกษาให้ร้านอาหาร ร้านขนม”
A Taste Like No Other
เมื่อคุยกันมาจนถึงตอนนี้ เราเลยชวนเชฟพลอยอธิบายถึง Whippin’licious by Chef Ploy ร้านขนม ที่มีกิมมิกอยู่ที่ความไม่เหมือนใคร ซึ่งผ่านกระบวนคิดของเชฟพลอยและทีมมาเป็นอย่างดี
“Whippin’licious by Chef Ploy ตอนนี้ก็จะมีทั้งหมด 2 ฝั่ง ฝั่งที่เป็นซิกเนเจอร์ของเรา ก็คือขนมที่พลอยขายตั้งแต่ตอนที่เป็น Wanjai by Ploy นะคะ ไม่ว่าจะเป็น Carrot Cake หรือทาร์ตที่ลูกค้าชอบทานมากๆ แล้วอีกอันก็คือ ‘Ombre Cake’ ที่จะมีหลายๆ สี หลายๆ ชั้นค่ะ
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็จะเป็นอันใหม่ Healthy’licious เพราะว่าพอมาถึงอายุหนึ่ง เราก็จะมีความต้องการในชีวิตที่แตกต่างกับตอนที่เราเป็นเด็กๆ พอเราโตขึ้นเราก็รู้สึกว่า เราอยากทานอะไรที่ไม่ใช่ขนมสุขภาพ แต่รู้สึกว่า สิ่งนี้ต้องทานได้ทุกวันจริงๆ อย่างเช่น ตัวที่เราทำขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่าค่อนข้างตอบโจทย์ทั้งของตัวเอง แล้วก็ตอบโจทย์กับลูกค้าด้วย ก็คือ ตัวที่เป็น ‘High Protein Bread’ ค่ะ ขนมปังไร้แป้งที่มีโปรตีน 17 กรัมต่อแผ่น อันนี้ก็จะอยู่ภายใต้แบรนด์ Whippin’licious by Chef Ploy”
แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้ Whippin’licious by Chef Ploy ไม่เหมือนร้านขนมเจ้าอื่นในตลาด?
“ถ้าเป็นเอกลักษณ์เลย พลอยรู้สึกว่า มันมาตั้งแต่แนวคิดมากกว่าค่ะ แนวคิดของเราคือ ‘A Taste Like No Other’ ก็คือเริ่มตั้งแต่กระบวนการคิดแล้วว่า การที่เราจะทำขนมออกมาอันหนึ่ง จะทำแพ็กเกจจิ้ง ในทุกองค์ประกอบเราใช้หลักคิดนี้หมดเลย ขนมเนี่ยวัตถุดิบตั้งต้นทุกคนมีเหมือนกัน นม ไข่ แป้ง เนย แต่ว่าทำอย่างไรให้ออกมาไม่เหมือนคนอื่น แล้วก็ใช้ความเชี่ยวชาญที่เราสั่งสมประสบการณ์มา เข้าใจวัตถุดิบ เข้าใจกระบวนการทำ เข้าใจ Method ต่างๆ ว่า ถ้าใส่อะไรก่อน หลัง มันจะออกมาเป็นอย่างไร จริงๆ มันเหมือนการที่เราสร้าง Magic บางอย่างขึ้นมา แล้วก็เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยเหมือนกันนะ เพราะว่าการที่เรา ตัดขั้นตอนหนึ่งไป หรือว่าใส่วัตถุดิบอันหนึ่งเข้าไปในขั้นตอนนั้นแล้วกลิ่นมันจะหาย รสชาติมันจะเปลี่ยน หรือว่าการที่ลูกค้าแบบ ‘ทำไมขนมอันนี้หวานจัง ลดน้ำตาลได้ไหมคะ’ บางทีมันไม่ใช่แค่ลดแล้วมันหวานน้อยลงอะ แต่โครงสร้างทั้งหมดมันเปลี่ยนไป พลอยก็รู้สึกว่า เราใช้ความถนัดที่เราเป็นเชฟมารังสรรค์ขนม ที่ทำให้รสชาติแล้วก็หน้าตาทุกอย่างไม่เหมือนกับของที่มีอยู่ในตลาดทั่วไป”
ในเมื่อเชฟพลอยต้องการชูความไม่เหมือนใคร เราเลยให้เจ้าตัวช่วยเล่าถึงเมนูซิกเนเจอร์ต่างๆ ของแบรนด์ให้เราฟัง เริ่มด้วยเค้ก Ombre ที่มาพร้อมเนื้อเค้กวานิลลาสีสวย และขนมปัง High Protein
“ซิกเนเจอร์ของแบรนด์ขอแยกออกเป็น 2 ฝั่งนะคะ ฝั่งที่เป็น ‘Celebrate’ ก็จะเป็น Ombre Cake ที่เป็นเค้ก 6 ชั้น ไล่สีขึ้นมา เริ่มต้นขึ้นมาก็เพราะว่า ความชอบส่วนตัวล้วนๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสีที่ทำออกมาแล้วสวย ไม่ต้องมีครีมเยอะๆ เพราะปกติไม่ชอบทานครีมเยอะ แล้วก็จะมีดอกไม้ตกแต่ง ถึงจะเป็นบัตเตอร์เค้กวานิลลาก็จริง แต่ว่าเป็นบัตเตอร์เค้กวานิลลาที่ละมุนจังเลย ก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้ เป็นตัวที่เป็นซิกเนเจอร์ที่ไม่มีที่ไหนแน่นอน เพราะว่าเราคิดค้นขึ้นมาเอง
ส่วนอีกอันที่เป็นฝั่ง ‘Healthy’licious’ ก็น่าจะเป็นตัวขนมปัง High Protein เรียกได้ว่าเราไม่ได้เอาสูตรตั้งต้นมาจากไหนเลย พลอยตั้งต้นจากวัตถุดิบทุกอย่างว่าจะใส่อะไรเพื่อให้เขาอยู่ตัว ทำอย่างไรให้มันยังมีความนุ่ม ทำอย่างไรให้โปรตีนสูง ทำอย่างไรให้ทานแล้วไม่แห้งจนเกินไป เพราะว่าจริงๆ แล้ว ตัวที่เป็น High Protein Bread ไม่มีแป้งในส่วนผสม แล้วเวลาลูกค้าถามว่า ‘ไม่มีแป้งแล้วขึ้นขนมปังได้อย่างไร’ มันก็เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดของเรานี่แหละว่า ถ้าไม่มีตัวนี้ เราจะใช้ตัวอะไรแทน ตัว Binding จะต้องใช้เป็นตัวไหนเข้ามา”
แต่ก็ไม่ใช่แค่เมนูซิกเนเจอร์เท่านั้นที่เชฟพลอยอยากให้ทุกคนทำความรู้จัก “คนที่ชอบทานขนมขบเคี้ยว ก็เป็นตัว Truffle in Love Cookies เพราะ เป็นโปรดักต์แรกเลยของร้านเรา เหมือนได้ใช้สิ่งที่เราชอบหลายอย่างเอามารวมกัน ทั้งที่เป็นทรัฟเฟิล และแมคาเดเมีย แล้วก็ทานเป็นคุกกี้เพลินๆ เป็นของฝาก หรือเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าอยากเอาไปให้คนอื่นต่อจังเลย มันคือสิ่งที่เราชอบแล้วก็อยากส่งต่อสิ่งนี้ให้คนอื่น”
พลอยบอกว่า ขนมเหล่านี้เธอตั้งใจคิดอย่างจริงจัง เราเลยให้เธอช่วยเล่าแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังขนมหวานเหล่านี้ให้เราฟัง
“A Taste Like No Other มันเป็นอันนั้นจริงๆ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วพลอยไม่ชอบทำอะไรเหมือนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ หน้าตาต่างๆ คือ ถ้าสมมุติว่าเรากำลังจะทำ ตั้งใจจะออกโปรดักต์ตัวนี้ออกไป แต่มีคนทำมาในตลาดเดือนหนึ่ง เราเลิกเลยนะ รื้อใหม่หมดเลย เพราะเรารู้สึกว่า ทำขนมขึ้นมาทั้งที ทำอะไรขึ้นมาทั้งที ต้องทำให้มันมีเอกลักษณ์สิ”
“การทำขนมของพลอย เหมือนเราได้สร้างงานศิลปะชิ้นหนึ่งให้มีลายเซ็นอยู่บนขนมของเรา ไม่ว่าจะไปเห็นที่ไหนก็ตาม ไม่ต้องมีแบรนด์ หรือไม่ต้องมีโลโก้ติด ก็รู้ว่ามาจากร้านเรา”
A Sweetest Way to the Future
คุยกันมาจนถึงตอนนี้ เราก็ได้เห็นเส้นทางของพลอย และ Whippin’licious by Chef Ploy กันแล้ว เราเลยอยากให้พลอยช่วยสะท้อนวัฒนธรรมของหวานของบ้านเราให้ฟัง จากประสบการณ์นับสิบปีของเธอ
“คัลเจอร์ในบ้านเราพลอยรู้สึกว่า มันมีความหลากหลายที่ค่อนข้างเยอะ พลอยคิดว่า ประเทศไทยเป็นอะไรที่เปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นคัลเจอร์จากในเอเชีย หรือในยุโรป เรารับมาหมดแล้ว เราก็อาจจะเอามาดัดแปลง หรือออกมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติม หรือบางทีก็เอามาเบลนด์อินเข้าไปด้วยซ้ำ ใช้เทคนิคของฝรั่ง ใช้วัตถุดิบของไทย ทำออกมาให้เป็นรสชาติใหม่ๆ อันนี้พลอยรู้สึกว่า น่าจะเป็นคัลเจอร์ที่เราเห็นชัด ยิ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเห็นสิ่งนี้ค่อนข้างชัดมาก
ถ้าถามว่าอยากเห็นวัฒนธรรมขนมในบ้านเราเติบโตไปอย่างไร พลอยอยากเห็นความแตกต่าง ความหลากหลายมากกว่า เพราะว่าในตลาดอาจจะยังมีความคล้ายๆ กันอยู่เยอะ ถ้าเอาตามตรง บางทียังรู้สึกว่า เรายังสามารถพัฒนาได้ดีกว่านี้ ได้เยอะกว่านี้ แต่ว่าบางทีด้วยความที่ดีมานด์เยอะ คนก็เลยจะทำตามความต้องการของตลาด มันก็อาจจะยังไม่เห็นสิ่งนี้เยอะเท่าที่ควร”
เมื่อพูดถึงกระแสตลาด เราเลยอยากรู้ความคิดเห็นของเชฟพลอยที่มีต่อการทำขนมเป็น ‘เทรนด์’ “จริงๆ มันมีทั้งข้อดี และข้อเสีย อย่างข้อดีคือ ตลาดได้มีการพัฒนาตลอดเวลา ทุกคนเห็น ว่าอะไรเป็นเทรนด์ หรือถ้าเราไม่ได้อยู่ในตรงนั้น เราจะต้องเข้าไปดูว่าเขาทำอะไรกันอยู่ เพราะอยากทำ อยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น แต่สำหรับฝั่งข้อเสียคือ บางคนถ้าเขายังไม่มีความแข็งแรง หรือไม่มีจุดยืนจริงๆ ตอนที่เข้าไปจับกระแส คราวนี้พอกระแสหายไป กลายเป็นเคว้งไปเลย ไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เขาตั้งใจทำร้านนี้ หรือว่าขนมนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร”
ก่อนจากกันเราเลยให้เชฟพลอยอัพเดตสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเชฟพลอย และ Whippin’licious by Chef Ploy
“ตอนนี้เราทำช่อง YouTube Whippinlicious by Chef Ploy นะคะ อันนี้ก็จะมีทั้งส่วนที่เป็นแนะนำโปรดักต์เราด้วย ว่าโปรดักต์ของเราเก็บอย่างไร ทานอย่างไร ทำอย่างไร แนวคิดว่าทำไมเราถึงทำโปรดักต์นี้ออกมา ส่วนอีกอันหนึ่งก็จะเป็นส่วนที่อยากแชร์สิ่งดีๆ ทิปส์แอนด์ทริกของการทำขนม ให้กับคนที่ชอบทำขนม แล้วภายในสิ้นปีนี้ ก็จะมีคอร์สออนไลน์ให้ติดตามกัน อันนี้ก็จะเป็นแพลนในอนาคตที่เรากำลังจะเดินต่อไป ส่วนที่เป็นโปรดักต์ต่างๆ ก็มีออกมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ได้ตามเทรนด์ ตามกระแส แต่เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าอยากทาน อะไรที่เรารู้สึกว่ายังขาดอยู่ในตลาด และในชีวิตเราด้วย แล้วในอนาคตอันใกล้ก็จะมีโปรเจกต์ร่วมกับโรงแรมค่ะ ตอนนี้มีทำงานร่วมกับโรงแรง Four Seansons Hong Kong และ Chiang Mai ทำเมนูเพื่อตอบสนองความต้องการของโรงแรมว่า อยากได้อะไร อันนี้ก็เป็นโปรดักต์ที่เรากำลังเวิร์กอยู่ แล้วก็อาจจะขยายไปโรงแรมอื่นๆ ด้วยค่ะ”
“ความสุขของการทำขนมของพลอยก็คือ เราได้พบเจอสิ่งที่เป็นความหมายของชีวิตเรา ถ้าเรามีสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์กับคนอื่นก็อยากจะส่งต่อสิ่งนี้ออกไปค่ะ มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าทำแล้วมันมีความสุข และมีคุณค่ากับทั้งตัวเราและคนอื่น”
ติดตามความเคลื่อนไหวของ Whippin’licious by Chef Ploy ต่อได้ที่
YouTube: Whippinlicious by Chef Ploy
Facebook: Whippinlicious by Chef Ploy
Instagram: whippinlicious