Life

‘ทำเล็บ’ ศิลปะที่เป็นมากกว่าเพื่อความสวยงาม

Manicure & Nail Art: A Short History

Photo credit: Isi Parente

ถัาอยากเติมพลังใหม่ๆ ให้ชีวิตลองไปทำเล็บกันไหม การทำเล็บเป็นกิจกรรมแฮงเอาท์ที่ผู้หญิงหลายคนชอบและเป็นวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เมื่อนำคำถามว่า การทำเล็บเริ่มต้นครั้งแรกที่ไหนกันนะ ก็จะค้นพบว่าการทำเล็บนี้มันสากลและมหัศจรรย์มากๆ เมื่อกลับมาทุกวันนี้การทำเล็บก็ได้กลายเป็นความสุขที่ทุกคนมีความสุขกันได้ 

จุดเริ่มต้นของการทำเล็บ

จุดเริ่มต้นแรกของการทาเล็บแรกนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนและไม่จำกัดสถานที่ มันปรากฎทั้งในอียิปต์ อินเดีย จีน แต่การค้นพบที่เก่าแก่ที่สุดคือเมื่อ 5000 BC ที่อียิปต์จากค้นพบมีการทาสีเล็บและเพ้นต์เฮนน่าบนมือมัมมี่ ส่วนการผลิตน้ำยาทาเล็บครั้งแรกเกิดขึ้นใน ในช่วงปี 3000 BC ที่ประเทศจีนได้เกิดการคิดค้นน้ำยาทาเล็บมาเป็นครั้งแรก น้ำยาทำเล็บนั้นมีส่วนผสมของ ไข่ขาว เจนลาติน ขี้ผึ้งและสีย้อมจากกลีบดอกไม้ เช่น ดอกกุหลาบ และดอกกล้วยไม้

Photo credit: Sutori

ทำเล็บทำไม

การทำเล็บมีความหมายร่วมกันในหลายวัฒนธรรมว่า คนที่ทำเล็บคือชนชั้นสูงในสังคม อย่างในราชวิงศ์มิงของจีนเหล่าชนชั้นสูงก็จะมีการต่อเล็บที่ยาวส่วนทางอียิปต์เอง ‘คลีโอพัตรา’ และ ‘เนเฟอร์ติติ’ ก็มีการค้นพบว่าพวกเธอทาเล็บสีแดง ในขณะที่ประชาชนทั่วไปนั้นถูกห้ามการทำสีเล็บฉูดฉาด ได้รับอนุญาตให้ทำแค่เล็บสีซีดเท่านั้น และสีคลาสสิกที่ฮิตที่สุดในอดีตก็คือสีแดง

Photo credit: Workbook

การทำเล็บเป็นวัฒนธรรมสำหรับผู้หญิงที่ใช้เวลาอัปเดตชีวิต ฝึกฝนสกิลกันและเป็นการสร้างกระแสความงามที่ใช้บ่งบอกชนชั้น อัตลักษณ์ได้ดีในอดีต ด้วยข้อจำกัดของการสร้างสีทาเล็บทำให้หญิงสาวที่มีเล็บสีสันสดใสหลากสีนั้นมักจะเป็นหญิงชนชั้นสูงที่มีทั้งเวลาว่าง มีฐานะหน้าตาทางสังคมที่ดี ร่วมทั้งเป็นความงามที่น่าปรารถนาในช่วงเวลานั้น 

Photo credit: Britannica

คุยกับช่างทำเล็บ 9ninenails การทำเล็บมันมากกว่าแค่สวยงามไหมในทุกวันนี้

ตัดภาพมาที่ปัจจุบันที่ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นด้วยสีเล็บ สไตล์เล็บและเพศ ใครๆ ก็สามารถทำเล็บและมีความสุขกับเล็บมือสวยๆ ได้ แต่การทำเล็บในทุกวันนี้มันมีความหมายเปลี่ยนแปลงจากในอดีตหรือเปล่า และนอกจากเพียงแค่ความสวยงามแล้ว เล็บยังมีพลังหรือมีความหมายอื่นๆ ต่อคนทำเล็บอีกไหม มันมีความยากที่เปลี่ยนแปลงหรือเปล่า เราจึงได้ลองไปชวนช่างทำเล็บ ‘ออย มุระดา’ จากร้านเก้านิ้ว (@9nails.inch) มาพูดคุยและเธอก็ให้คำตอบที่น่าสนใจกับเราว่า การทำเล็บมันท้าทายและในมุมคนทำเล็บเองอาจจะไม่ได้สนุกเหมือนคนมานั่งให้ช่างทำเล็บให้

"สำหรับมุมของคนเป็นช่างทำเล็บอย่างเรา มองว่ามีความท้าทายและบางทีมันไม่ได้สนุกอย่างที่คิด มันนอกเหนือกว่านั้นไปอีก มันเป็นงานศิลปะชิ้นนึงที่ต้องนำไปวางหรือสร้างบนตัวคนซึ่งมันมีความยากในกระบวนการของมันอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องทำอย่างใส่ใจและละเอียดทุกขั้นตอนจริงๆ"

เธอเล่าว่าข้อจำกัดของการทำเล็บมี 4 อย่างเริ่มจาก โดยปกติแล้วหน้าเล็บของคนนั้นไม่ได้เท่ากัน การทำเล็บปลอมจะมีดีเทลที่ต้องทำเล็บให้พอดี ถ้าไม่พอดีก็ต้องรับผิดชอบส่งให้ เธอย้ำว่า "มันไม่เหมือนการซื้อขายเสื้อผ้าที่เราสั่งไซน์ที่ใหญ่กว่าแล้วมีของที่สามารถส่งเปลี่ยนใหม่ได้เลย แต่ของเรา “ต้องทำขึ้นใหม่เดี๋ยวนั้น" 

Photo credit: 9nails.inch

เธอแชร์การทำงานในฐานะช่างทำเล็บต่อในข้อจำกัดที่สองว่า "2. เป็นเรื่องของการบรีฟงานจากลูกค้า สไตลิสต์วางชุดมาแล้วว่าใส่ชุดแบบนี้ เราต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไงให้มันเข้ากัน ต้องออกมาในรูปแบบไหนสียังไง 3.เรื่องของ ref. / ทรงของเล็บ / สี / ความสั้น ยาว การทำตาม ref. เป็นงานที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าการคิดขึ้นมาใหม่สำหรับเรามากๆ เพราะทุกอย่างมันต้องเหมือนแบบ เป๊ะ สีต้องเหมือน ซึ่งเราก็ต้องผสมสีให้มันเหมือน 100% ตามแบบที่ลูกค้าต้องการ” 

ข้อจำกัดสุดท้ายก็คือระยะเวลาในการทำ "ระยะเวลาในการทำ การทำเล็บเหมือนมันจะเป็นเรื่องที่ง่ายนะ ทาๆ จบ ไม่ใช่เลย ทุกอย่างมันมีรายละเอียด ใช้เวลาในการทำค่อนข้างนานพอสมควร ตัด ตะไบ ขัด ทา อบ ใส่ดีเทล”

Photo credit: 9nails.inch

มีอะไรอยากจะแชร์ทิ้งท้ายเรื่องการทำเล็บไหมคะ เธอฝากทิ้งท้ายไว้ว่า

"สุดท้ายเราอยากบอกว่า การทำเล็บมันมีความสวยความงามของมันอยู่แล้ว แต่สำหรับช่างทำเล็บ สิ่งสำคัญเลยคือ สวยแล้วลูกค้าต้องอินเลิฟกับมัน ไม่ใช่ทำแล้วจบรับเงินคนต่อไปเชิญค่ะ แต่ลูกค้าหน้าบูดก็ไม่ได้นะ"

สิ่งสุดท้ายที่เธอแชร์ไว้กับเราก็คือ ความสุขของการทำเล็บของลูกค้าที่มาทำเล็บคือสิ่งสำคัญ การทำเล็บไม่ใช่แค่ความสวยงามและศิลปะแต่ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมสร้างความสุขด้วย กิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการใช้เวลาร่วมกันของผู้หญิงมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่เป็นช่วงเวลาปลอดภัยสบายใจให้ผู้หญิงได้มีเวลาได้แชร์เรื่องราวในชีวิต ได้สนับสนุนให้กำลังใจกันและกัน ได้ช่วยเลือกเล็บไปจนรวมถึงมันยังเป็นการได้ใช้เวลาดูแลตัวเองทางด้านร่างกายพร้อมกันด้วย 

การทำเล็บช่วยลดความเครียดได้และในทุกวันนี้การทำเล็บเป็นการสร้างความสุขของตัวเองอย่างหนึ่ง รอยยิ้มที่อินเลิฟกับเล็บตัวเองเป็นพลังกายพลังใจที่ทำให้สาวๆ มีแรงไปใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานด้วย และทุกวันนี้ความสุขของการทำเล็บที่เริ่มจากวัฒนธรรมเสริมพลังใจเติมความงามของสาวๆ ก็ได้ขยับขยายเพดานให้กลายเป็นวัฒนธรมแห่งความสุขที่ทุกคนทุกเพศสามารถมีความสุขรับพลังใจจากเล็บสวยๆ ได้เสมอในวันที่ต้องการพลังและแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตเพิ่ม

Photo credit: 9nails.inch

อ้างอิง

Hagley: https://bit.ly/3ClJSk7

EnVogue: https://bit.ly/3tvCqPn

If you want to feel reinvigorated, why not visit a nail salon? Getting nails done has long been a favorite pastime for many women throughout the history. But where and when did it begin exactly? Let’s go back in time and find out.

When & Where

It is speculated that nail art has existed since the ancient Egyptian period from 5000 B.B. In Egypt, nails and henna were painted on the mummy’s hands whereas the nail polish was first introduced in ancient China in 3000 B.C., using the combination of egg whites, gelatin, beeswax, and dyes from roses and orchids.


Photo credit: Sutori

Why
In many cultures, manicure serves as a symbol for social status. For example, in the Ming Dynasty of China, the aristocrats had their nails extended. In Egypt, Cleopatra and Nefertiti were found to have their nails painted red while the general public was forbidden from having flashy nail colors. Red was the most popular color back in those days.

Photo credit: Workbook

The social significance of manicures goes beyond the question of beauty. Reserved for the elite with time to spare, nail art indicates class, idenity as well as luxury. It’s no secret, then, that these women with colorful nails of those days were often thought of as highly desirable.

Today, nail art is not only reserved for the hi-so. Everyone from all walks of life have access to the fabulous world of nail art. EQ sit down with Oy Murada, owner of 9 Nails Inch to find out what it all means to her and her customers.


Photo credit: Britannica


"As a nail tech, I find it very challenging. It’s like creating a piece of art on someone’s body. It requires meticulous attention to detail to be able to do it well. Every nail is different because there are all these shapes that you need to take into consideration. False nails need to have a perfect fit otherwise they need to be redone or replaced.”


“It’s not like when you ordered clothes that are too big, you can send them back. With these nails, they need to be remade right away,” Oy explains before adding that another challenge for nail techs lies in the communication between her and the client.

“When I get briefed by my client, I have to try to come up with the design and colors that go with the costume dictated by the stylist. Not only that, I have to think about things like the shape and the length. I have to make sure that everything fits the brief 100%.”

Photo credit: 9nails.inch

“Finally, the whole process takes a long time. Nail art is not easy – it’s not just about painting, there’s detail involved in every step of the way including cutting and filing.”

Photo credit: 9nails.inch


“Nail art is an art form and an expression of beauty. The most important thing is for the client to be happy with the end result. You can’t just be like, ‘you’re done, next!’ Given its long history, it’s still an activity that women can share among themselves. They go to a nail salon to get pampered, destress, and indulge in a little ‘me’ time. It’s a way of self-love.”

Photo credit: 9nails.inch

Sources:

Hagley: https://bit.ly/3ClJSk7 

EnVogue: https://bit.ly/3tvCqPn