เคยไหม เวลาซื้อเสื้อผ้ากับเครื่องสำอางหรือทำสีผมตามเทรนด์ โดยคิดว่า “สีนี้ต้องเข้ากับเรามากแน่ๆ” แต่ความจริงกลับไม่ใช่อย่างที่คิด? ทุกๆ คนคงจะรู้ดีว่าบนโลกใบนี้มีสีมากกว่าสิบล้านเฉด แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสีไหนคือสีที่ใช่สำหรับเรา และต้องดูอย่างไรถึงจะรู้ EQ จึงขอแนะนำศาสตร์แห่งสีที่เรียกว่า ‘Personal Color’ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เราหาสีที่เหมาะกับตัวเองได้แล้ว ยังช่วยเสริมบุคลิก ทำให้ดูดีมีออร่าอีกด้วย
Personal Color คืออะไร?
Personal Color คือสีประจำตัวที่มีความเหมาะสมกับโทนสีผิวของเรา ซึ่งถ้ามีสีนี้อยู่บนตัว มันจะขับให้เราโดดเด่นและเปล่งประกายเป็นพิเศษ จึงจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้อีกด้วย โดย Personal Color นี้สามารถนำมาใช้เป็นสีเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง สีผม หรืออะไรก็ตามที่อยู่ใกล้กับผิวของเรามากที่สุด
ตามหลักการแล้ว Personal Color จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทอย่างหลวมๆ ก็คือ ‘สีโทนอุ่น’ และ ‘สีโทนเย็น’ โดยแบ่งลงไปอีกเป็น 2 กลุ่มย่อยในแต่ละประเภท นั่นก็คือ ‘Autumn’ และ ‘Spring’ อยู่ในหมวดสีโทนอุ่น ‘Summer’ และ ‘Winter’ อยู่ในหมวดสีโทนเย็น ทั้ง 4 กลุ่มย่อยถูกแบ่งด้วยความเข้มและสว่างของเฉดสีอีกที โดยสามารถแบ่งได้ตามนี้
Autumn - สีโทนอุ่นที่มีความเข้ม แนวเอิร์ธโทน ให้ลุคที่เป็นธรรมชาติและดูสุขุมนุ่มลึก
Spring - สีโทนอุ่นที่มีความอ่อน สว่างสดใส ให้ลุคที่น่ารักและร่าเริง
Summer - สีโทนเย็นที่มีความอ่อน แนวพาสเทล ให้ลุคที่ดูอ่อนโยนและน่าทะนุถนอม
Winter - สีโทนเย็นที่มีความเข้ม สีค่อนข้างสด ให้ลุคที่คมเข้มและดูเท่
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ หากจะวิเคราะห์ให้ลึกและละเอียดมากยิ่งขึ้น ในแต่ละ 4 กลุ่มของ Personal Color ก็ยังสามารถแตกแขนงออกมาได้อีก จึงทำให้รวมๆ แล้วมีทั้งหมด 12 กลุ่มย่อยด้วยกัน โดยวัดจากอันเดอร์โทน (undertone) ของสีผิวที่ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะในแง่ของโทนสีว่าอุ่นหรือเย็น เข้มหรือสว่าง มีความเทาในผิวมากแค่ไหน ฯลฯ ซึ่งถ้าวิเคราะห์มาถึงจุดนี้ ก็จะรู้ได้อีกด้วยว่าเราสามารถใส่เสื้อผ้าที่มีลวดลายหรือสีตัดกันได้มากแค่ไหน และต้องเลือกสีอะไรให้เข้ากับบุคลิกแบบที่ต้องการ
แม้ว่าทุกวันนี้จะมีบิวตี้บล็อกเกอร์ที่คอยสอนเทคนิคในการดู Personal Color หรือมีฟิลเตอร์สำหรับวิเคราะห์โทนสีออกมามากมาย แน่นอนว่าการดู Personal Color ของตัวเองให้แม่นยำอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างนั้นก็มีวิธีการเช็กอันเดอร์โทนผิวแบบเบื้องต้น เพื่อนำไปปรับใช้และหาสีที่เข้ากับผิวของเราได้อีกด้วย นั่นก็คือการดู ‘สีของเส้นเลือด’ นั่นเอง
จากรูปด้านบน เราจะเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างระหว่างสีผิวโทนอุ่นและโทนเย็น วิธีง่ายๆ ในการแต่งหน้าแต่งตัวให้เข้ากับสีผิวในระดับหนึ่งนั้น จึงเป็นการเลือกใช้สีที่ตรงกับอันเดอร์โทนของสีผิว เช่น ถ้ามีผิวโทนอุ่นก็ใส่เสื้อผ้าสีโทนอุ่น ถ้ามีผิวโทนเย็นก็ใส่เสื้อผ้าสีโทนเย็น เป็นต้น
แต่ถ้าอยากจะวิเคราะห์แบบละเอียดให้แน่ใจว่าสีไหนเป็นสีที่ใช่สำหรับเรา การเข้าคอร์ส Personal Color ก็ถือว่าช่วยได้มากเลยทีเดียว เพื่อให้รู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับศาสตร์นี้ เราจึงได้เข้าไปพูดคุยกับ ‘โค้ชวี – แสงระวี มิตรประเสริฐพร’ ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สีและผู้ก่อตั้ง ‘The Image Signature Academy by Coach Wee’ ที่เปิดเพื่อสอนด้าน Personal Color และบุคลิกภาพโดยเฉพาะ บอกเลยว่า เมื่อได้ฟังที่โค้ชวีพูดแล้ว ความเข้าใจทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องสีก็กระจ่างขึ้นมาเลยล่ะ
Personal Color สำคัญอย่างไร?
“Personal Color ทำให้เราเปล่งประกายค่ะ เพราะพอรู้สีที่เข้ากับผิวแล้ว เราก็จะได้ตื่นมาใส่เสื้อผ้าที่เหมาะกับเรา แล้วก็สวยได้เลย ด้วยความที่เราจะดูไม่ป่วย ดูสดใส ซึ่งพอสดใสแล้วก็จะมีความมั่นใจ สิ่งสำคัญคือ เวลาไปพบเจอผู้คนหรือทำงานกับใคร พอเขามองกลับมาก็จะรู้สึกมั่นใจในตัวเราไปด้วย มันก็เลยจะส่งเสริมในเรื่องของหน้าที่การงานในทางอ้อมค่ะ สมมติว่าวันนี้เราแต่งตัวถูกสี ทำให้หน้าตาดูสดใสเข้าไปด้วย คนที่เจอเราในวันนั้นก็จะรู้สึกว่า “คนนี้น่าทำงานด้วยนะ ดูโดดเด่นดี” แล้วเขาก็จะมีความมั่นใจที่จะทำงานกับเรา ซึ่งเวลาที่เราทำอะไร คนก็จะมองเห็นเรามากกว่า ด้วยออร่าและความสดใสจากการใส่สีที่เหมาะกับตัวเราค่ะ”
“นอกจากนี้ พอรู้ Personal Color แล้ว เราจะเลือกเสื้อผ้าได้ง่ายขึ้น และมันช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อเสื้อผ้าด้วย เพราะเรารู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร บางครั้งเวลาที่ซื้อเสื้อผ้า เรามักจะซื้อตามคนอื่น พอซื้อมาแล้วก็เก็บไว้ แต่ไม่ได้ใส่ เพราะรู้สึกว่าใส่แล้วไม่สวยเหมือนนางแบบ บางทีเราซื้อเสื้อมาตัวละพัน 10 ตัวก็หมื่นหนึ่งแล้วนะคะ หรือบางทีซื้อเครื่องสำอาง 3 ชิ้นก็ราคาเป็นหมื่น ซึ่งถ้ารู้ว่าอะไรเหมาะกับเรา ก็จะไม่มีของที่ซื้อมาทิ้งอีกเลย เพราะซื้อมาแล้วได้ใช้ ได้ใส่จริงๆ มันเลยเป็นเรื่องของความประหยัดด้วยค่ะ”
Personal Color เกี่ยวกับจิตวิทยาการใช้สีด้วยไหม?
“ต้องบอกว่าแต่ละสีจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันค่ะ อย่างโทน Spring จะให้ความรู้สึกอย่างหนึ่ง Autumn ก็ให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันก็จะมีเรื่องของความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยว่า คนที่เป็น Spring จะมีคาแรคเตอร์ที่ดูสดใส ส่วน Autumn ก็จะดูจริงจัง ซึ่งในแต่ละโทนสีก็จะมีเฉดแยกย่อยลงไปอีก อย่าง Spring ก็จะมี Bright Spring, Warm Spring, Light Spring ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องมีมู้ดตรงกับ Personal Color ของเราตลอดนะคะ ทุกคนยังสามารถเลือกสีที่ตรงกับมู้ดที่ต้องการ แต่ยังเข้ากับตัวเองได้ เพราะในแต่ละสีก็จะมีทั้งโทนอุ่นและโทนเย็น มีหลากหลายเฉดค่ะ”
จริงไหมที่นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าดูสว่างแล้ว ยังทำให้ริ้วรอยและรอยสิวดูจางลงด้วยอีกด้วย?
“Personal Color ก็คือวิทยาศาสตร์ความงามค่ะ เพราะแสงจะตกกระทบบนสีเสื้อผ้าที่เราใส่ แล้วแสงนั้นก็สะท้อนขึ้นหน้า ถ้าสีเสื้อผ้าที่ใส่กับสีผิวแมตช์กัน เงาก็จะจางลงค่ะ พอเงาจางลง พวกร่องแก้ม รอยสิว ตีนกา กับใต้ตาก็จะดูจางไปเอง ทำให้ใบหน้าดูสว่างและเนียนมากขึ้น เพราะฉะนั้น เวลาที่ใส่ถูกสีก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าหน้าเราดูเหมือนใส่เอฟเฟ็กต์เบลอผิวเอาไว้ รอยต่างๆ ก็ดูจางลง ในทางกลับกัน ถ้าใส่สีที่ไม่ใช่ เงาบนหน้าก็จะเข้มขึ้น ทำให้ดูโทรมหรือไม่ก็ซีดไปเลยค่ะ”
อายุที่เพิ่มขึ้นหรือเฉดของสีผิวที่เปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อ Personal Color หรือเปล่า?
“ต้องบอกก่อนว่า สีผิวก็คือสิ่งที่มาจาก DNA ของเรา ซึ่งพันธุกรรมก็มีผลต่ออันเดอร์โทน สมมติว่าผิวของเราเป็นโทนอุ่น ไม่ว่าจะตากแดด ฉีดวิตามิน หรือทาครีมปรับสีผิว มันอาจจะทำให้ผิวสว่างหรือเข้มขึ้น แต่อันเดอร์โทนก็ยังไม่เปลี่ยนค่ะ ผิวโทนเหลืองจะไม่ชมพูขึ้น และผิวโทนชมพูก็จะข้ามไปเหลืองไม่ได้เหมือนกัน การเปลี่ยนเฉดของสีผิวมีผลแค่นิดหน่อยค่ะ เช่น พอผิวเข้มขึ้นก็อาจจะใส่เสื้อผ้าสีเข้มได้มากกว่าปกติ แต่มันก็จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ค่ะ เพราะไม่นานผิวก็จะกลับสู่สภาพเดิม มันขึ้นอยู่กับการทำงานของเม็ดสีผิวค่ะ เว้นเสียจากว่าจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือย้ายถิ่นฐานที่อยู่ระยะยาว บางคนไปอยู่ต่างประเทศที่ค่าความชื้นต่างจากประเทศบ้านเกิด โทนสีผิวก็อาจจะเปลี่ยนได้ค่ะ อีกอย่างคือ พออายุมากขึ้น สีผิวก็จะมีความเทาเพิ่มไปตามอายุ สังเกตไหมคะว่าคุณปู่คุณย่าของเราจะมีสีผิวที่อมเทา นั่นเลยอาจจะทำให้ใส่เสื้อผ้าสีสดได้น้อยลงค่ะ แต่อันเดอร์โทนก็จะยังเป็นเหมือนเดิม”
“ถึงอย่างนั้น เราก็สามารถใส่เสื้อผ้าที่สีเข้มหรืออ่อนกว่าสี Personal Color ของเราได้นิดหน่อยค่ะ ถ้าอยากเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของตัวเอง สมมติว่าเป็นคนผิวโทน Spring มันจะมี Spring หลายเฉดใช่ไหมคะ เราก็จะมาดูว่าเขาอยากมีคาแรคเตอร์แบบไหน อยากให้คนมองว่าเขาเป็นคนแบบไหน ก็สามารถใส่สีโทน Spring เฉดอื่นเพื่อปรับลุคได้ค่ะ”
ทำยังไงดี ถ้าสีที่ใช่กับสีที่ชอบไม่ตรงกัน?
“วิธีแก้ง่ายๆ ก็จะเป็นการใส่คาร์ดิแกน ผ้าพันคอ หรือเครื่องประดับที่เป็น Personal Color ของเราทับลงไปด้วยค่ะ ให้สีที่เหมาะกับเราเข้าใกล้ใบหน้ามากกว่าสีที่ไม่เหมาะ อย่างเช่น คนมีผิวโทนอุ่นแต่อยากใส่ชุดสีโทนเย็น ก็อาจจะใช้การแต่งหน้า เครื่องประดับ หรือสีผมโทนอุ่นช่วยได้ค่ะ การมี Personal Color ก็เลยไม่ได้แปลว่าจะต้องใส่สีไหนไปตลอดชีวิต เราไม่จำเป็นต้องจำกัดการแต่งตัวแต่งหน้าของตัวเอง แค่ต้องใช้สิ่งอื่นๆ มาช่วยเสริมค่ะ”
ทุกวันนี้มีฟิลเตอร์ที่ใช้ดู Personal Color เยอะมาก อะไรที่ทำให้การวิเคราะห์แบบตัวต่อตัวยังคงพิเศษ?
“เวลาที่เล่นฟิลเตอร์ คนส่วนใหญ่จะมีปัญหาตรงที่แยกไม่ออก ซึ่งจริงๆ แล้วฟิลเตอร์ช่วยได้ในระดับหนึ่งนะคะ คนที่แยกสีเก่งก็อาจจะใช้แล้วรู้สึกว่าเวิร์ก แต่มันก็จะมี condition หลายอย่างที่อาจทำให้ดูแล้ว Personal Color ไม่ตรง หลักๆ เลยก็คือแสง ถ้าอยู่ใต้แสงที่ติดเหลืองหรือฟ้าเกินไปก็จะดูแล้ววิเคราะห์ได้ไม่เป๊ะ แล้วก็มีเรื่องการสะท้อนของแสงด้วยค่ะ ด้วยความที่เป็นฟิลเตอร์ ภาพมันก็จะดูลอยๆ และไม่มีการสะท้อนของแสงเข้าหน้า อย่างที่บอกตอนแรกว่า Personal Color วิเคราะห์จากการสะท้อนของสีขึ้นมาบนหน้า พอไม่สะท้อนก็ทำให้ดูยาก บางคนใช้ฟิลเตอร์แล้วแยกสีไม่ออกเลยก็มี นอกจากว่าจะมีสีผิวที่ดูออกชัดจริงๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าดูแล้วจะวิเคราะห์ได้ถูกต้องซะทีเดียวค่ะ”
“แต่การมาทำ color test แบบตัวต่อตัว แน่นอนว่า condition จะถูกเซตเอาไว้แล้ว แสงกับระยะห่างในการนั่งหน้ากระจกจะไม่เพี้ยน ผ้าแต่ละสีที่เราเตรียมไว้ก็มาจาก Colour Lab เพราะฉะนั้นสีของเราจะได้มาตรฐาน จะได้เห็นภาพชัดเจนว่าเวลาแสงตกกระทบที่สีนั้นๆ แล้วสะท้อนขึ้นหน้าจะเป็นยังไง ผิวของเราดูเปลี่ยนไปตามสีของผ้าหรือเปล่า มันก็จะสามารถดูได้ละเอียดมากขึ้นค่ะ แถมอีกอย่าง เวลาที่เราดูจากฟิลเตอร์ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีคือความลำเอียงค่ะ ใจเราจะเอียงไปหาสีที่ชอบเสมอ ประมาณว่า “ฉันชอบสีนี้ ฉันก็ต้องได้สีนี้สิ” (หัวเราะ) แต่ถ้ามาดูแบบตัวต่อตัว ก็จะได้วิเคราะห์กันบนความเป็นจริงค่ะ”
ดู Personal Color ต้องเตรียมตัวยังไง ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?
“ก่อนอื่นเลยคือหน้าของเราต้องไม่มีเครื่องสำอางอยู่เลยค่ะ เพราะเราต้องการวิเคราะห์จากสีผิวจริงๆ จากนั้นก็จะมาวิเคราะห์ว่าคนๆ นั้นมีคาแรคเตอร์ยังไง อยากให้คนมองว่าเขาเป็นคนแบบไหน บางคนก็อยากให้ตัวเองดูน่ารัก บางคนอยากมีลุคที่ดูจริงจังหรือเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากนั้นก็จะมาวิเคราะห์สกินโทนค่ะ ซึ่งเราจะเน้นสกินโทนเป็นหลัก จะดูตั้งแต่เรื่องที่ว่าสามารถใส่เสื้อผ้าสีตัดกันหรือมีลวดลายได้มากแค่ไหน ใส่เครื่องประดับสีเงินหรือสีทองแล้วดูขึ้นกว่ากัน สีเมคอัพโทนไหนที่เหมาะกับเขา เราก็จะแนะนำได้ทั้งสีเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ สีผม สีเล็บ ฯลฯ อะไรก็ตามที่เป็นสีบนตัวเราเลยค่ะ อีกอย่างที่อยากให้เตรียมไว้ก่อนมาดู Personal Color ก็คือให้เลี่ยงการทานของที่มีผลต่อสีผิวของเราค่ะ อย่างฟักทองหรือมะละกอที่ทานเยอะๆ แล้วจะทำให้สีผิวดูเหลืองกว่าปกติ”
คอร์สวิเคราะห์ Personal Color ราคาเท่าไหร่ วัดตามอะไรบ้าง?
“คอร์สของเราจะมีราคาสำหรับเรียนแบบเดี่ยวแล้วก็แบบกลุ่มค่ะ ถ้าเรียนแบบเดี่ยวราคาจะอยู่ที่ 12,000 บาท ส่วนแบบกลุ่ม (2-5 คน) ตกคนละ 9,900 บาท เรียนจบแล้วก็จะได้ Personal Color Wallet ซึ่งเป็นชาร์ตสีของตัวเองกลับไปด้วย ซึ่งสามารถเอาชาร์ตสีนี้ไปเทียบกับเสื้อผ้าหรืออะไรต่างๆ เพื่อดูความเข้ากันของสีนั้นๆ กับผิวเราค่ะ แค่สิ่งนี้ก็มูลค่า 4,500 บาทแล้ว เพราะนำเข้ามาจาก Colour Lab ที่ต่างประเทศค่ะ ส่วนตัวโค้ชเองหมดค่าเรียนไปเป็นล้าน (หัวเราะ) ก็เลยไม่อยากให้มองว่ามันราคาสูง อยากให้มองในเรื่องของความคุ้มค่ามากกว่าค่ะ อย่างที่บอกไปว่าบางทีเราซื้อเสื้อผ้ามาแล้วไม่ได้ใส่จริงเพราะใส่ไม่ขึ้น แต่พอรู้�