Before Sunrise หนึ่งในภาพยนตร์รักโรแมนติกภาคแรก จากภาพยนตร์ไตรภาค Before Midnight และ Before Sunset กำกับโดย ริชาร์ด ลินเคลเตอร์ (Richard Linklater) ที่ได้นักแสดงหลักอย่าง อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) และ จูลี เดลปี (Julie Delpy) มาร่วมเขียนบทด้วย ยิ่งทำให้บทสนทนา หรือการแสดงของภาพยนตร์นี้เต็มไปด้วยความธรรมชาติ ทำให้ Before Sunrise นั้นเหมือนกับการถ่ายทอดชีวิตจริง หรือสารคดีที่มีกล้องล่องหน นำพาคนดูไปสัมผัสกับบทสนทนาขณะที่พวกเขาท่องเมืองเวียนนาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงรุ่งสางก่อนที่ ‘อาจจะ’ ต้องแยกจากกันไปตลอดกาล
Before Sunrise ในมุมมองของคอหนังบางคนอาจจะมองว่าเป็น ‘หนังโรแมนที่อินดี้จัด’ ไม่ว่าจะเป็นพล็อตเรื่องที่ตัวละครเอกอย่าง เจสซี่ (อีธาน ฮอว์ก) มาพบกับเซลีน (จูลี เดลปี) บนรถไฟที่เดินทางผ่านยุโรป โดยเจสซี่มีจุดหมายปลายทางคือ เวียนนา ซึ่งเขามีเที่ยวบินกลับอเมริการออยู่ในเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนเซลีนกำลังเดินทางไปปารีส ซึ่งเธอจะเริ่มเรียนที่ซอร์บอนน์ในสัปดาห์ถัดไป ตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตา พวกเขาถูกดึงดูดเข้าหากัน พวกเขาทานอาหารร่วมกันในรถไฟ แต่กลับดื่มด่ำกับบทสนทนามากกว่าอาหารเสียอีก และเมื่อพวกเขามาถึงเวียนนา เจสซี่ก็เกลี้ยกล่อมให้เซลีนลงจากรถไฟไปกับเขา ก่อนจะพาเดินไปตามถนนด้วยกันจนกว่าจะถึงเวลาที่เครื่องบินของเขาออก และจุดเริ่มต้นของความพันธ์ที่น่าจดจำนี้ก็เริ่มขึ้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแอบแฝง ให้คนดูอย่างเราตื่นเต้น เร้าใจ แต่ด้วยการนำเสนอเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา ไม่หักมุม หรือมีความเป็นเมโลดราม่าให้คนดูรำคาญใจเลยแม้แต่น้อย ดูเป็นภาพยนตร์นิ่งๆ ที่เน้นการพูดคุยระหว่างตัวละครเสียมากกว่า ซึ่งข้อเสียคือ อาจจะไม่ถูกใจคนดูหนังสายบู๊ หรือหนังกระแสหลักเท่าไรนัก แต่สำหรับนักเขียนแล้ว ฉากพูดคุยที่แสนยาวนานนั้นทำให้นักเขียนรู้สึกถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร พวกเขาไม่เพียงแค่ค้นพบกันและกันเท่านั้น แต่พวกเขากำลังค้นพบตัวเองด้วยเช่นกัน
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคงเป็นเรื่องเคมีของ 2 นักแสดงทั้ง อีธาน ฮอว์ก และ จูลี เดลปี ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปได้อย่างไร้ที่ติ พวกเขามีภารกิจ 3 อย่าง คือ โอบกอดตัวละครของพวกเขา, ดึงดูดซึ่งกันและกัน และเชื่อมต่อกับผู้ชม นอกจากจำนวนก้าวที่เดินทั่วกรุงเวียนนาแล้ว พวกเขายังจำเป็นต้องจำคำพูดทั้งหมด ซึ่งมันประสบความสำเร็จอย่างไร้ที่ติ จากการมองแวบแรก ไม่มีคำถามใดๆ เกี่ยวกับเคมีของพวกเขาเลย Sexual Tension ระหว่างตัวละครในขณะที่อยู่ด้วยกัน ความลังเล อาการเคอะเขินหลังจากสบสายตากัน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเป็นมนุษย์อยู่มาก จะพูดว่า เหมือนกำลังดูสารคดีความรักของ 2 หนุ่มสาวอยู่ก็ว่าได้ ตัวละครสมทบอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนเกินของภาพยนตร์เลย ไม่ว่าจะเป็น คนแปลกหน้าที่ดูเป็นมิตร หรือหมอดู พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์ในช่วงเวลา และสถานที่ในความทรงจำของเจสซี่และเซลีนมากกว่า เหมือนเป็นตัวเชื่อมบอกใบ้อะไรบางอย่างเป็นนัยๆ ถึงความสัมพันธ์ของตัวละครให้กับคนดูอีกด้วย
Before Sunrise เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต และความรัก ที่ขยายสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ใส่ใจกับรายละเอียดปลีกย่อย และกิริยาท่าทางของภาษากายของตัวละคร มีฉากหนึ่งที่เจสซี่ต้องหักห้ามใจไม่ให้ปัดผมของเซลีนที่ยุ่งเหยิงออกไป และอีกฉากหนึ่งที่ยอดเยี่ยมคือ ซีนในตำนานอย่างซีนในบูธฟังเพลงที่ตัวละครต่างประหม่าไม่กล้าสบตากัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการรวมเอาฉากที่น่าจดจำดังกล่าวเข้าด้วยกัน มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับโชคชะตา และธรรมชาติชั่วคราวของความสัมพันธ์ จากนั้นจึงปล่อยให้ผู้ชมได้ขบคิด มีช่วงเวลาแห่งอารมณ์ขันที่ไม่ทำให้คนดูรู้สึกูกยัดเยียด และช่วงเวลาแห่งความขมขื่น ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นสู่ท้องฟ้า และทั้งสองต้องจากกัน
‘Before Sunrise’ ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ หรือหนังที่มีแนวคิดยิ่งใหญ่ อาจจะเป็นเรื่องราวความรักที่ดูซ้ำซากจำเจ อย่างที่คุณมักจะเห็นในภาพยนตร์ดราม่าอื่นๆ แต่อย่างน้อยก็ถือว่า ตัวภาพยนตร์เองได้นำเสนอมุมหนึ่งของคนหนุ่มสาว และทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบด้วยตัวของมันเองแล้ว