Black Beauty ภาพยนตร์ดราม่าผจญภัยปี 2020 ที่เขียน และกำกับโดย ‘แอชลีย์ เอวิส’ (Ashley Avis) โดยอ้างอิงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันจากปี 1877 แต่งโดย ‘แอนนา เซเวลล์’ (Anna Sewell) ไม่เพียงปรับปรุงเรื่องราวให้ทันสมัยเท่านั้น แต่ยังปรับเปลี่ยนรายละเอียดที่สำคัญต่างๆ ในหนังสืออีกด้วย จากที่ตัวละครเอกทั้งม้า และเจ้าของเป็นผู้ชาย ในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับถูกเปลี่ยนเป็นผู้หญิงเสียแทน Black Beauty นำแสดงโดย ‘แมคเคนซี่ ฟอย’ (Mackenzie Foy), ‘เอียน เกล็น’ (Iain Glen) และเจ้าม้า ‘Beaty’ ให้เสียงโดย ‘เคท วินสเล็ต’ (Kate Winslet) เป็นภาพยนตร์แฟนซีที่สวยงาม นำเสนอความผูกพันที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับม้า สายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงด้วยความโศกเศร้า จนเกิดเป็นมิตรภาพที่สวยงามขึ้น
เริ่มเรื่องโดยการที่กลุ่มคาวบอยไล่จับ ‘ม้าป่า’ (Wild mustang) ที่โตอย่างอิสระในแถบอเมริกาตะวันตก ม้าสีดำตัวหนึ่ง สวยต้องตามนุษย์จนถูกจับ และขายไปพร้อมกับม้าตัวอื่นๆ จนมันต้องสูญเสียแม่ไปในเหตุการณ์นี้ ขณะเดียวกัน ‘โจ’ (แสดงโดย แมคเคนซี่ ฟอย) เด็กสาววัยรุ่นที่พ่อแม่เสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์ ถูกส่งไปอาศัยอยู่ในฟาร์มของ ‘จอห์น’ (แสดงโดย เอียน เกล็น) ลุงของเธอที่เป็นเจ้าของฟาร์ม ขาย และฝึกม้า เขาพยายามฝึกเจ้าม้าป่าสีดำตัวนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล มันพยศ และไม่เชื่อฟังคำสั่งของใครเลย จนกระทั้งมันได้มาพบกับโจ เธอตั้งชื่อให้เจ้าม้าป่าตัวนี้ว่า ‘แบล็ค บิวตี้’ (Black Beauty) มีเพียงโจเท่านั้นที่สามารถทำให้เจ้าม้าตัวนี้เชื่องได้ และมีเพียงม้าตัวนี้เท่านั้นที่สามารถรักษาหัวใจที่โศกเศร้าของโจได้ เธอ และบิวตี้พัฒนาสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันแตกหัก พวกเขาแบ่งปันความเจ็บปวดจากอดีตอันน่าเศร้า ค้นพบความแข็งแกร่งของกันและกัน ทั้งยังสร้างมิตรภาพที่เหลือเชื่อให้ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ หัวใจของทั้งคู่เริ่มถูกเยียวยาจากการศูนย์เสียครอบครัว จนแปรเปลี่ยนเป็นมิตรภาพในที่สุด
วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้คอกม้าของจอห์นขึ้น ด้วยภาระต่างๆ ทำให้เขาไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ต่อไปได้ บิวตี้จึงถูกขายให้กับเจ้าของคนใหม่ โจสาบานว่า เธอจะประหยัดเงินให้มากพอที่จะซื้อบิวตี้กลับมาด้วยตัวเอง เธอสัญญาอีกว่า ต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น เธอจะตามหาบิวตี้จนพบ และกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ด้วยความที่ไม่มีใครสามารถเอาเจ้าบิวตี้อยู่ ทำให้บิวตี้ถูกซื้อ และขายอยู่หลายครั้ง จนข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ซื้อเจ้าบิวตี้ไปเริ่มไม่แน่นอน แต่โจไม่เคยยอมแพ้ และไม่เคยหยุดตามหามัน จนสุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็หากันเจอ บิวตี้ได้อยู่กับโจอย่างมีความสุขตลอดวันเวลาที่เหลือ
แม้ว่า ‘Black Beauty’ ในเวอร์ชั่นนี้จะมีรายละเอียดที่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับมากสักหน่อย แต่จิตวิญญาณของการเอาใจใส่ และการต่อสู้กับความโหดร้ายของสัตว์ยังคงอยู่ ฉากที่รุนแรงมากขึ้นกว่าบางตอนของนวนิยายก็ปรากฏในภาพยนตร์นี้ รวมถึงจิตใจที่แตกสลายของบิวตี้ เมื่อรู้ว่าจินเจอร์ อดีตเพื่อนร่วมคอกม้าตัวหนึ่งของเธอ ต้องทนกับชีวิตอันเลวร้ายที่มาถึงจุดจบที่ไร้หัวใจ การแสดงออก และเสียงพากษ์สามารถถ่ายทอดความสติแตกของมันออกมาให้คนดูเข้าใจ และรู้สึกอินไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ภาพยนตร์แสดงให้เห็น ความโหดร้ายที่ม้าต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน เพื่อลากเกวียน หรือถูกบังคับ ราวกับเป็นแค่หุ่นเชิดเพื่อประดับบารมีของคนชั้นสูง
ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับเด็กๆ เพราะมีฉากที่แสดงให้ถึงการทารุณสัตว์อยู่บ้าง ทั้งยังเผยให้เห็นความเปราะบางของสัตว์ที่ต้องทุกข์ทรมานจากน้ำมือของคนไร้ความคิด และการสูญเสียอื่นๆ ภายในเรื่อง อีกทั้งผู้กำกับยังถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้ความรู้สึกเหมือนกึ่งๆ สารคดี โดยช่วงแรกของภาพยนตร์ ฉากฝูงม้าที่ควบฝีเท้าผ่านทุ่งหญ้า และทัศนียภาพที่สวยงามของภูเขา ถูกถ่ายทำออกมาได้สวยงามมาก อีกทั้งฉากการไล่ต้อนฝูงม้า ฉากเหล่านี้ทำให้รู้สึกถึงการสูญเสียอย่างแท้จริง ตัวหนังยังแสดงให้เห็นถึงวิธีที่บางคนปฏิบัติต่อม้า ทั้งสภาพคอกม้าที่ทรุดโทรม การดูแลม้าที่ห่วยแตก และความโหดร้ายจากสิ่งของต่างๆ ที่ใช้ฝึกม้า เช่น บังเหียน แส่ หรือการใช้แรงงานที่หนักเกินไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจริงในโลก และมันถูกเปิดเผยในหนังเรื่องนี้
แม้การเล่าเรื่องของภาพยนตร์จะสลับไปมาอย่างงุ่มง่ามไปสักเล็กน้อย ระหว่างคำบรรยายของบิวตี้ กับมุมมองของโจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรายังสามารถมองข้ามไปได้ แต่สำหรับคนที่ชอบดูหนังแอ็กชั่น ก็คงจะขัดใจกับความเรื่อยๆ ของหนังเรื่องนี้ เพราะมันเหมาะกับการเป็นหนังครอบครัวที่ผู้ปกครองต้องคอยดู และอยู่ข้างๆ ลูกหลานมากกว่า และแน่นอนว่า คนรักสัตว์จะต้องชอบเรื่องนี้ สำหรับผู้เขียนแล้ว ‘Black Beauty’ คือภาพยนตร์สบายๆ ที่สามารถดูได้ในวันหยุด ไม่ต้องคิดอะไรมาก ภาพสวย เนื้อหากำลังพอดี และเพลงประกอบก็ยังเพราะมากอีกด้วย