Daily Pickup

“Call Me Chihiro” จากสาวขายบริการสู่พนักงานร้านเบนโตะ

‘Call Me Chihiro’ หรือ ‘ฉันชื่อจิฮิโระ’ เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่กำกับโดย ‘ริกิยะ อิมาอิซูมิ’ (Rikiya Imaizumi) โดยสร้างจากผลงานมังงะของ ‘ฮิโรยูกิ ยาซูดะ’ (Hiroyuki Yasuda) โดยเริ่มต้นจาก ‘จิฮิโระ’ แสดงโดย ‘อาริมุระ คาซุมิ’ (Arimura Kasumi) อดีตสาวขายบริการที่ผันตัวมาเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ของร้านขายข้าวกล่องญี่ปุ่นในเมืองชายทะเลที่เงียบสงบ การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และการไหลเวียนอย่างช้าๆ ของเวลาในชุมชนนี้ก็ทำให้ความเหงาก่อตัว และปะทุขึ้นภายในใจของผู้คน การเดินทางบนเส้นทางใหม่ที่จิฮิโระเลือก พาเธอไปพบกับผู้คนมากมาย และตัวตนของเธอจะคอยเยียวยาจิตใจของบุคคลรอบข้างเธอ 

“ไม่ว่าเราจะปฏิเสธมากแค่ไหน เราทุกคนโดดเดี่ยวมากกว่าที่คิด”

‘ความเหงา’ ทำหน้าที่หลักในการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ ตลอดเวลา 2 ชั่วโมง เราจะเห็นว่า ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเธอ ผูกพัน และรู้สึกสบายใจในตัวเธออย่างไร บทภาพยนตร์ดำเนินไปอย่างช้าๆ ปล่อยให้ตัวเอก และตัวประกอบทิ้งร่องรอยในใจของคนดู ถึงเรื่องราวของพวกเขา ภาพยนตร์นำเสนอปฏิสัมพันธ์ของจิฮิโระกับผู้คนมากมาย รวมทั้งแมวจรจัดที่น่ารัก, ชายไร้บ้าน, เด็กประถมกับแม่ของเขา, เด็กสาวมัธยมปลาย, เพื่อนร่วมงานจากร้านเบนโตะ, เพื่อนของเธอจากอาชีพก่อนหน้านี้, อดีตเจ้านายของเธอ, ลูกค้าร้านเบนโตะที่เธอทำงานอยู่, คุณแม่ที่เธอไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลบ่อยๆ และคนอื่นๆ อีกมากมาย 

สิ่งที่ค่อยๆ เปิดเผยเมื่อเวลาผ่านไปคือ ความโดดเดี่ยวอย่างสุดซึ้งของจิฮิโระ และการตายของแม่สร้างผลกระทบต่อเธอมากเพียงใด เป็นประเด็นที่อบอุ่นใจจริงๆ ที่ได้เห็นจิฮิโร เข้าหาทุกๆ คนด้วยความเมตตา และความสุข ซึ่งพวกเขาก็เปิดใจกับเธอเช่นกัน ไม่เพียงแต่ดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวทุกคนออกมาเท่านั้น แต่จิฮิโระยังทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น จนก่อตัวเป็นชุมชนเล็กๆ ในตอนท้ายของเรื่อง การแสดงของ อาริมุระ ในบท จิฮิโระ ช่างสวยงาม และละเอียดอ่อน เธอผสมผสานองค์ประกอบของอดีตที่ยากลำบาก เข้ากับความเห็นอกเห็นใจของตัวละครนี้ได้อย่างพอดิบพอดี ทำให้คนดูไม่รู้อึดอัดกับฉากที่ต้องใช้เพียงสายตาสื่ออารมณ์

Call Me Chihiro โฟกัสไปที่เรื่องราวในชีวิตประจำวันทั้งหมด เริ่มต้นจากจิฮิโระที่เป็นเด็กสาวธรรมดาที่ร่าเริง จนกระทั่งกลายเป็นหญิงสาวลึกลับที่จมอยู่ในความเหงาในตอนท้ายๆ จิฮิโระรายล้อมไปด้วยผู้คนที่ดี และห่วงใย ซึ่งดูเหมือนจะชอบ และรักเธอในหลายๆ ด้าน สำหรับนักเขียน เธอเป็นคนที่เอาแต่เป็นผู้ให้ แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายรับ เธอช่วยเหลือผู้อื่นแต่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกตัวเองมากเท่าที่ควร

เนื่องจากหนังไม่ได้บอกเราเกี่ยวกับอดีตทั้งหมดของจิฮิโระ ถึงจะมีคำใบ้เกี่ยวกับอดีตที่มีปัญหา และแม่ที่ค่อยใส่ใจ แต่หนังก็ไม่ได้อธิบายให้เรารู้ทั้งหมดอยู่ดี จิฮิโระเป็นตัวละครหลักของเรื่องนี้ก็จริง แต่การเล่าเรื่องนิ่งมากเกินไป ก็ทำให้เรื่องราวของตัวละครบางตัวที่อยู่รอบๆ จิฮิโระ มีความน่าสนใจมากกว่า และคงจะดีกว่านี้หากเรื่องราวเน้นไปที่พวกเขาอีกสักนิด เช่น ‘คุนิโกะ’ (แสดงโดย ฮานะ โทโยชิมะ) นักเรียนมัธยมปลายที่มีพ่อจอมเผด็จการ หรือตัวละครเด็กหนุ่มที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำงานกลางคืน และไม่ค่อยมีเวลาดูแลเขา เป็นต้น แต่ฉากเหล่านี้กลับมีอยู่น้อยมากในภาพยนตร์ที่ยาว ซับซ้อน และเงียบเหงาแบบนี้

Call Me Chihiro เป็นภาพยนตร์ที่เน้นการถ่ายทอดวิถีชีวิต การถ่ายทำจึงเน้นให้เห็นธรรมชาติในชีวิตประจำวันของหมู่บ้านริมทะเล ฉากส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับตัวละครที่ไม่ได้ทำอะไรที่น่าตื่นเต้นมากไปกว่าการกิน หรือพูดคุยกัน มันทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้ดูเหมือนสรวงสวรรค์อันงดงาม ที่ซึ่งเวลาเคลื่อนไปอย่างช้าๆ และในตอนท้ายของวัน ความสงบสุขก็เริ่มขยายตัว ความเรียบง่ายเกินไป ไม่ค่อยมีไดนามิกเป็นทั้งข้อดี และข้อเสียของหนัง การใช้เพลงบรรเลงที่เนิบนาบปล่อยให้เราเข้าไปอยู่ภายในโลกของตัวละครบางตัว คนดูจะรู้สึกดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ และลงลึกไปกับบทสนทนาของตัวละครได้ดียิ่งขึ้น ในทางกลับกัน มันก็ช่างอ้อยอิ่งเสียจนเกินไป ทำให้หลุดสมาธิ หรือเข้าไม่ถึงกับสิ่งที่ต้องการที่จะสื่อสาร การแสดงของนักแสดงทุกคนมีความสามารถที่กลมกลืน และไปในทางเดียวกัน แอบฝังความเห็นอกเห็นใจ และความเข้าใจไว้กับคนดู ในขณะเดียวกันก็ก่อความสงสัยว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในเรื่อง

ถ้ามองในความเป็นจริง ตัวบทมันอาจจะทำให้จิฮิโระมีนิสัยเหมือนอยู่ในโลกยูโทเปียเล็กน้อย  เหมือนกับสาวในฝัน หรือนางฟ้าที่คอยรับใช้ และขับเคลื่อนให้ชีวิตคนอื่นๆ มีแต่ความสุข โดยไม่คำนึงถึงความสุขของตัวเธอเอง โดยส่วนตัวแล้วนักเขียนจะสนุกกับภาพยนตร์มากกว่านี้ หากตัวละครจิฮิโระถูกเขียนให้ลึกลับน้อยลง และสมจริงมากขึ้น อย่างไรเสียมันก็เป็นแค่ภาพยนตร์ และเรื่องของเป็นตัวละครสมมติ แต่จะดีกว่านี้มากถ้าทำให้ตัวละครจิฮิโระได้มีความสุขด้วยตัวของเธอเอง บางครั้งการปล่อยให้คนดูคิดเองมันอาจจะกว้างเกินไปสำหรับภาพยนตร์นิ่งๆ กับความยาวกว่าสองชั่วโมง แต่บางครั้งการสะกิดไปในทิศทางที่ถูกต้องก็ช่วยได้ ทำให้เวลาสองชั่วโมงนั้นไม่รู้สึกยาวนานจนเกินไปนัก

เราสามารถนิยามจิฮิโระได้เต็มปากว่า เธอเป็นคนที่ค่อนข้างแปลก เรียกได้ว่า น่ารักแต่ก็โดดเดี่ยว เธอกล้าเปิดใจเกี่ยวกับอดีตของเธอในฐานะคนขายบริการทางเพศ นิสัยแปลกแต่ก็เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าทุกวัย ร่าเริงแต่ก็ลึกลับซึ่งทำให้เธอกลายเป็นคนที่น่าดึงดูด เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะ คุณสามารถสังเกตได้อย่างง่ายดายว่า จิฮิโระเป็นตัวอย่างที่ดีของความเหงา เธอมักจะบอกว่า “ผู้คนคือ มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งแต่ละคนมาจากดาวดวงอื่น นานๆ ทีจะเจอคนที่มาจากดาวดวงเดียวกัน” จากบทพูดนี้มันบอกอะไรได้หลายอย่าง การที่จิฮิโระเติมเต็มความว่างเปล่าด้วยการอยู่กับคนที่รู้สึกว่างเปล่าเช่นกัน  เพราะแทนที่จะรู้สึกแย่กับอดีต เธอกลับกลายเป็นแสงสว่าง และความหวังที่ทำให้ทุกคนรู้สึกมีชีวิตชีวาเพียงแค่อยู่ร่วมกันรอบตัวเธอ

Call Me Chihiro ซ่อนความหมายแสนเรียบง่ายไว้เบื้องหลัง นั่นคือ การเชื่อมต่อระหว่างความรู้สึกของภาพยนตร์ และผู้ชม ด้วยความเข้าอกเข้าใจ หรือ humanity ซึ่งทำให้มันดูเป็นภาพยนตร์เฉพาะบุคคลมากๆ รับชมแล้วอาจจะชอบ หรือไม่ชอบไปเลย บางครั้งชีวิตก็เป็นเช่นนั้น ภาพยนตร์แสนเรียบง่ายแต่สวยงามในการนำเสนอเรื่องราว แต่บางท่านก็อาจจะดูแล้วไม่รู้สึกอะไร เอาเป็นว่าถ้าลองเปิดใจดูเรื่องนี้ให้จบ อาจจะได้หยิบจับอะไรจากเรื่องราวเข้ามาใส่ใจบ้าง เพราะตัวนักเขียนเองก็ได้อะไรหลายจากบทที่นิ่งเฉยนี้ อย่างน้อยๆ ก็ได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับความสุขของตัวเอง ถ้าหากใครต้องการภาพยนตร์ที่ปลอบประโลมจิตใจ ‘Call Me Chihiro’ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้คุณรู้สึกเหงาน้อยลง