“วันหนึ่งชายหนุ่มทั้ง 5 มารวมตัวกันที่ Wayfer Records สร้างทุ่งข้าวโพด แล้วก็บู้มม...เกิดเป็น Cornboi”
‘Cornboi’ 5 หนุ่มที่มีใจรักดนตรี และเสียงเพลง พวกเขาใช้ความสามารถของแต่ละคนทำวง และทำเพลงออกมาแล้วถึง 8 เพลง ไม่ว่าจะเป็น 'หน้าร้อน' 'เอ่อคือเรามีไรจะบอก' 'สิ่งที่เธอพูดออกมา' 'เป็นเพียงเพราะ' 'โบจจิ' 'ไวกว่านี้!' 'Postcard' และซิงเกิ้ลล่าสุดอย่าง 'ก่อนที่' ด้วยชื่อเพลงที่จำง่าย ท่อนฮุกที่ติดหู บวกกับท่วงทำนองสไตล์ Cornboi ทำให้ไม่ว่าใครฟังก็ต้องรู้ว่านี่คือ เพลงของ 5 หนุ่ม ภูมิ – ภูมิ โชติทิฆัมพร (ร้องนำ), โฟน – ศุภณัฐ เผ่าละมาน (เบส), เสิร์ช – จักรพงศ์ จิตรทรัพย์ (กีต้าร์), บอย – ณัฐพงษ์ แสงสว่าง (กีต้าร์) และ เสือ – อภิสิทธิ์ ศรีแย้ม (กลอง) EQ อยากชวนผู้อ่าน ไปทำความรู้จักพวกเขา และเพลงเพราะๆ ของเขากัน
อะไรคือ จุดเริ่มต้น และแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดวง Cornboi
เสือ: ทุกคนเป็น 1 ในสมาชิกของชมรมดนตรีของมหาวิทยาลัย ส่วนผมเป็นรุ่นพี่ ได้เห็นศักยภาพของแต่ละคน จึงค่อยๆ ชวนเขามาทำเพลงด้วยกัน
Cornboi (.fromtheday) ชื่อนี้มีที่มาอย่างไร
เสิร์ช: ตอนนั้นจะตั้งชื่อวงกัน แล้วไม่รู้จะตั้งว่าอะไร เพื่อนๆ ก็ไม่รู้จะ ผมดันไปอินวงดนตรีวงหนึ่งที่มีชื่อยาว และคล้องจองกัน ก็อยากได้ชื่อยาวๆ ในวงเราบ้าง ผมเลยคิดในใจ แล้วมีคำว่า ‘from the day you gone’ ขึ้นมาในหัว ซึ่งมันดูเข้าท่าดีนะ เลยคิดว่าคำว่า gone จะคล้องจองกับคำไหนได้บ้าง เลยลองหา หาไปหามา ก็ได้คำว่า Corn มา ก็กลายเป็น [FromTheDayYouGone] IGROWMYCORNEVERYDAY ผมพูดทุกวันจนได้ชื่อนี้มา เสนอเพื่อนไปเพื่อนก็ชอบ นานวันเข้ามันยาวจัด (หัวเราะ) กลัวจำไม่ได้ พี่เสือเลยเสนอว่า ไหนๆ เรามีชื่อยาวของวง เราก็ลองมีมาสคอตของวงด้วยดีไหม เป็นน้องข้าวโพด เราก็รู้สึกว่า ดีนะ เป็นน้อง ‘Cornboi’ เลยใช้เป็นชื่อเล่นของวงพวกเรามาโดยตลอด จนเอามาใช้เป็นชื่อวงจริงๆ เพราะจำง่ายกว่า และเรียกง่ายกว่า
Cornboi ทำวงมากี่ปี แล้วมีแนวเพลงแบบไหน
เสิร์ช: น่าจะ 3 ปีได้แล้วครับ เป็นแนวเซิ้ง (หัวเราะ) เป็นแนวป๊อบครับ
ใครคือศิลปินที่แต่ละคนชื่นชอบ และมีอิทธิพลต่อการทำเพลงของวง
ภูมิ: ตั้งแต่ช่วงทำวงแรกๆ ผมค่อนข้างจะฟังเพลงไทยน้อย ฟังเพลงอินดี้ญี่ปุ่น เกาหลี จริงๆ ที่ชอบที่สุดคือ ‘TENDRE’ เป็นศิลปินญี่ปุ่น เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง และเมโลดี้ด้วย ฏ
เสิร์ช: ที่ฟังหลักๆ วนไปวนมาก็มีตั้งแต่ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน มาจนถึงฝรั่ง แต่ที่อินมากๆ และมีอิทธิพลต่อการทำเพลงคือ ‘The 1975’ ครับ และ ‘Phum Viphurit’ เป็นคนที่ชอบ ‘Cory Wong’ เขาเป็นมือกีตาร์เลยเอามาปรับใช้กับวง
บอย: เมื่อก่อนจะฟังวงไทยเสียส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยฟังต่างชาติ เพื่อนๆ ก็เริ่มมาฟังต่างชาติมากแล้ว ที่ฟังหลักๆ ตอนนี้ก็ ‘The 1975’ เหมือนกันครับ
โฟน: ผมชอบ ‘Arctic Monkeys’ ’The Strokes’ ชอบตั้งแต่มัธยมแล้ว ตอนนี้ก็ยังฟังอยู่ ยึดอะไรบางอย่าง และพยายามยัดเยียดให้เพื่อนๆ แบบว่าเวลาทำเพลงก็ เฮ้ย...เอาแบบนี้ๆ (หัวเราะ)
เสือ: ของผมจริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่า พวกเราฟังเพลงในสโคปเดียวกันอยู่แล้ว ก็จะแชร์ๆ กัน แต่นอกจากที่ทุกคนฟัง ผมก็จะฟังพวกเพลงบรรเลง ‘Nate Smith’ เป็นมือกลองที่ตีให้ Cory Wong เหมือนกัน
จุดเด่นของวง Cornboi คืออะไร
บอย: ความหล่อ (หัวเราะ)
เสือ: เอกลักษณ์ที่มา และส่วนใหญ่ที่คนฟังได้ คือ ภาษาของภูมิมากกว่า เพราะเขาใช้ภาษาได้ไม่เหมือนกับคนแต่งเพลงในช่วงนี้ เขาจะใช้ภาษาที่ค่อนข้างเก๋านิดหนึ่ง อีกหนึ่งจุดคือ ความเฮฮา เพราะวงค่อนข้างเป็นกันเอง เวลาที่อยู่ด้วยกัน หรืออยู่กับแฟนคลับ
“คำของภูมิ เมโลดี้ภูมิ และมันเหมือนความเก๋าๆ อะไรบางอย่างของภูมิผสมกับดนตรีที่ไม่ได้เก่า” – โฟน
โฟน: ตอนนี้คิดว่าน่าจะยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เออ..ก็น่าจะเป็นเนื้อร้องของภูมิ (หัวเราะ)
เสิร์ช: กลับมาที่เดิมๆ (หัวเราะ) การแต่งเพลงด้วย เพราะภูมิเป็นหลักในการแต่งเพลง น่าจะเป็นที่เนื้อร้อง และเมโลดี้ที่จำง่าย แบบ ลมเย็นๆ ที่มาจากไอร้อน
เสือ: บุคลิกของวง เวลามีออกงาน หรือ Live คนฟังเขาจะมาเห็นความเป็นกันเอง ความสนุกกกสนาน เขาก็ชอบครับ
คิดว่าอะไรที่ทำให้เพลงของ Cornboi ฮิตในกลุ่มเด็ก Gen Z
ภูมิ: น่าจะเป็นวัยที่ใกล้เคียงกัน การสื่อสารด้วย แต่ผมเองก็ไม่ได้แก่กว่าเด็ก Gen นั้นเท่าไรหรอก ก็รู้สึกว่า การเล่าเรื่องจากเพลง อาจจะ relate เขาได้ครับ
ชื่อเพลงของ Cornboi มีที่มาอย่างไร
โฟน: มาจากความมั่วซั่วล้วนๆ เลยครับ 'เอ่อคือเรามีไรจะบอก' ตอนนั้นผมกำลังคิดว่าจะตั้งชื่อเพลงอะไรดี แล้วเนื้อหาเพลงฟีลกำลังจะบอกรักเพื่อน มันก็ต้องฟีลกล้าๆ กลัวๆ สิ พอนึกถึงตัวเองถ้าต้องบอกรักอะไรสักอย่าง จะบอกอะไรที่สำคัญแต่ไม่กล้าบอก ก็แบบ ‘เอ่อเพื่อน คือมีอะไรจะบอกว่ะ’ อะไรทำนองนี้
เสิร์ช: อย่าง 'โบจจิ' ก็เป็นชื่อตัวละคร ถ้าเพลงไหนที่มีชื่อมาแล้ว อย่าง 'หน้าร้อน' ก็ใช้ชื่อนั้นไปเลย เพราะเราชอบชื่อนี้ ก็ใช้ไปเลย
เนื้อหา และการนำเสนอเพลงส่วนใหญ่เป็นแบบไหน
ภูมิ: จริงๆ ค่อนข้างหลากหลายพอสมควร การเข้าถึงเนื้อหาเพลง หลายๆ เพลง ส่วนใหญ่จะมาจากประสบการณ์ของตัวเองด้วย และมีของเพื่อนๆ นำมาตีความอีกที
เสิร์ช: รักสิ่งของ รักสัตว์เลี้ยง รักพ่อแม่ รักในศิลปิน
โฟน: บางเพลงอาจไม่พูดถึงความรักเลยก็มีครับ อย่างเพลงไวกว่านี้ ก็เล่าเรื่องการนัดกันแล้วไปสาย มันก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่เราต้องเจอกันอยู่แล้ว ผมรู้สึกเหมือนเปรียบเทียบ Cornboi เป็นคนๆ หนึ่งที่เจอทั้งเรื่องเศร้า เรื่องรัก หรือเรื่องอื่นๆ ทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันด้วยครับ
“บางอย่างก็ไม่ได้เล่าแค่เรื่องคู่รักของหนุ่มสาวอย่างเดียว เราพูดเป็นกลางๆ ทั้งเรื่องความรัก คนในครอบครัว สิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยง นำเสนอไปทางกลางๆ และให้คนฟังได้คิด” – เสือ
กว่าจะเป็นหนึ่งเพลงของ Cornboi ใช้เวลานานเท่าไร
โฟน: บางเพลง 2 อาทิตย์ อย่างเพลง 'Postcard' เร็วสุด บางเพลงก็ครึ่งปี ซึ่งผมว่ามันแล้วแต่เพลงมากๆ ว่าตอนนั้นมันมาเร็วมาช้า บางเพลงภูมิแต่งคืนเดียวเสร็จ หรือได้ 2 เพลงเลย บางเพลงก็แต่งข้ามปี
ภูมิ: ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับที่ผมแต่งเพราะว่า ถ้าเพลงไหนที่แต่งเสร็จเร็วก็จะเอามาทำต่อได้เลย บางเพลงก็แต่งมาแค่ท่อนเดียว ยังคิดไม่ออก แล้วไปทำอย่างอื่นก่อนนานๆ ค่อยกลับมาทำอีก
เพลงไหนของวงที่คิดว่ายากที่สุด
ภูมิ: มันยากคนละแบบในทุกๆ เพลงเลยครับ เพราะว่าเราก็ไม่ได้มีประสบการณ์เยอะขนาดนั้น เราก็เพิ่งทำมาไม่นานมาก ในแต่ละเพลงก็มี Mode มีดีเทลที่แตกต่างกันพอสมควร วิธีใช้วิธีเล่นต่างๆ ก็ต่างกัน มันก็เหมือนการทดลอง เลยไม่รู้ว่า มันต้องใช้อะไรบ้าง มันเลยยากทุกเพลง แต่เราทำเพลงช้าอาจไม่ถนัดมาก
เสิร์ช: อยู่ที่เพลง จังหวะ และช่วงเวลาในตอนนั้น ว่าเราจะจัดการตรงนั้นอย่างไร
https://www.youtube.com/watch?v=ilhRyRLShwk
การทำงานในเพลง ‘ก่อนที่’ (Moon) เป็นอย่างไรบ้าง
ภูมิ: เพลงนี้เกี่ยวกับการที่เราต้องจากใครสักคน อาจไม่ใช่คนรัก อาจเป็นสิ่งของที่เรารักมากๆ หรือสัตว์เลี้ยง พ่อแม่ เพื่อนๆ ก็ได้หมดเลย ในทุกๆ ความสัมพันธ์ เราอาจจะรู้อยู่แล้วว่า วันหนึ่งมันต้องจบลง ถึงรู้แบบนั้นแต่เราก็ไม่สามารถทำอะไรให้เปลี่ยนไปได้ อย่างไรมันก็ต้องจบลงอยู่ดีครับ อยากให้ยอมรับมันให้ได้ ประมาณนั้นครับ
โฟน: ตอนแรกคุยกันว่าเพลงนี้ฟีลแบบอคูสติก แค่กีตาร์ ไม่ต้องมีกลอง มีเบส มันก็ถูก Develop มาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเวอร์ชั่นปัจจุบัน ซึ่งเราแก้ไปหลายดราฟต์มาก
เสิร์ช: Moon_new Moon_new new มู้นนน (หัวเราะ) กว่าจะได้เวอร์ชั่นนี้ก็นานพอสมควร แล้วก็มาขั้นตอนการอัด และถ่ายเอ็มวี
โฟน: ตอนแรกมีกีตาร์ไฟฟ้ามารู้สึกว่ามู้ดมันยังไปไม่ถึง ลองใส่กลอง ฟีลมันจะพุ่งพล่านไปหรือเปล่า ส่วนเอ็มวีเราแค่เล่าสตอรี่ให้ผู้กำกับฟังครับ
บอย: เราคิดกันบ่อยมาก
ช่วยเล่าโมเมนต์ที่ประทับใจในการทำวง Cornboi ของแต่ละคนให้เราฟังหน่อย
บอย: ผมว่าทุกโมเมนต์ครับ เอาจริงๆ มันก็มีทั้งดี และไม่ดีนะ สุดท้ายมีงานออกมามันก็ดีตลอด ได้ทัวร์กับเพื่อน เหมือนเราทำให้มันกลายเป็นงานอดิเรก นั่นแหละมันดี ได้อยู่กับเพื่อน ได้ทำเพลง นั่นมันก็ดี
เสือ: จริงๆ สิ่งที่ดีที่สุดคือ ‘คำตอบ’ คำตอบของเรื่องอะไร ผมคือคนเดียวในวงที่ต้องทำงานประจำ ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่สามารถเข้ามาอินไซด์กับวงได้ เรากินนอนกันไม่ได้เหมือนแต่ก่อนตอนเริ่มทำวงด้วยกัน ตอนที่เริ่มทำวงด้วยกันคือ การที่น้องๆ ทุกคนมาอยู่ห้องผม ณ ปัจจุบันนี้มันไม่มีแบบนั้นแล้ว ทุกคนก็แยกย้าย ตัวเองก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเองเหมือนกัน และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งมากที่สุดคือ ผมเคยตัดสินใจว่าจะออกจากวงดีกว่า ให้น้องๆ ไปกันต่อ ผมเลยตัดสินใจพูด ตอนที่คุยกันว่า พี่ออกดีกว่าไหม พวกนายจะได้ไปต่อ น่าจะภูมิ หรือโฟน ที่พูดออกมาว่า ไม่เป็นไรหรอกพี่ พี่ก็ไปทำงานของพี่ ไม่เห็นเป็นไร ผมก็ทำกันได้ ผมเองที่มองว่าเป็นเรื่องหนัก แต่น้องๆ บอกไม่เป็นไรก็ไปด้วยกันต่อได้ ผมประทับใจตรงนี้ครับ มันเหนียวแน่นกันตรงนี้แหละ
ภูมิ: ผมชอบการทำงานร่วมกันกับวงนี้ เพราะเวลาเราต้องการอะไร หรือชอบไม่ชอบอะไรตรงไหน เราพูดกันได้ตรงๆ เลย คุยกันด้วยเหตุผลจริงๆ รู้สึกว่าพอทำงานด้วยแล้วค่อนข้างจะสบายใจ
เสิร์ช: ผมประทับใจจากที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ตอนนี้เราเริ่มที่จะเป็น Someone ขึ้นมา มีคนติดตามเวลา Live มีคนดูเยอะ เวลาไปคอนเสิร์ตมีคนต่อคิวขอถ่ายรูป เป็นโมเมนต์ที่เราไม่คิดว่ามันจะมีแต่มันก็มีนะ การทำงานก็เหมือนเดิมชิลๆ กับเพื่อนอยู่แล้ว มันจะจริงจังขึ้นกว่าตอนที่ทำแรกๆ ตอนนั้นยังไม่มีค่ายยังอินดี้จะทำอะไรก็ได้ พอมีค่ายเราก็เริ่มจริงจัง และมีความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นอีกอย่างที่ชาเลนจ์ตัวเอง รู้สึกประทับใจทั้งเรื่องการทำงานตรงนี้กับเพื่อน และเรื่องภายนอกที่แฟนคลับได้รับ บางทีมีคนมานั่งปรับทุกข์กับพี่เสือ คือมันมีหลายอย่าง และรู้สึกว่ามันสนุก เราเป็น Someone ใน anyone who watching us แค่นี้แหละครับ
โฟน: โมเมนต์ที่ผมชอบที่สุดกับไอพวกนี้เหรอครับ ชอบตอนไปทัวร์ครับ หมายถึง ตอนหลังจากเล่นเสร็จ มันสุดยอดมาก แต่เราจะไม่พูดดีเทลครับ มันคือ magical หลังจากเล่นเสร็จ (หัวเราะ) และอีกช็อตที่รู้สึกว่าเป็นโมเมนต์ที่สนุกทุกครั้งคือ ตอนอัดเพลงในสตูฯ มันรู้สึกเหมือนเราผ่านการ Brainstrom ใครมีไอเดียอะไรตรงนั้นก็ใส่ไปให้หมด ถ้าใส่ไปแล้วไม่เวิร์กก็ลบทิ้ง (หัวเราะ)
“เหมือนเราได้กลายเป็นบางคนสำหรับอีกคน เราไม่ใช่เป็นใครก็ไม่รู้ที่เดินสวนกัน กลายเป็นคนที่เขาตั้งใจมาหา เขารู้จักชื่อเรา เขารู้นิสัยเราพอสมควร รู้ว่าเราจะพูดยังไง ปรับทุกข์ได้” – ภูมิ
https://www.youtube.com/watch?v=lKH8euiegSo
ถ้าต้องเลือก 1 เพลง เพื่อบอกความเป็น Cornboi จะเลือกเพลงอะไร
เสือ: 'เอ่อคือเรามีไรจะบอก' ผมชอบเพลงนี้ ด้วยแนวดนตรี ผมชอบแบบนั้น ตอนนั้นรู้สึกว่าเลเยอร์ในโปรแกรมมันเยอะมาก ผมชอบมากๆ ที่เราได้ทำเพลงที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะมาใช้ ก็เลยชอบเพลงนี้เป็นการส่วนตัว และชอบมาตลอด
โฟน: ของผม 'ไวกว่านี้' ด้วยความที่ Cornboi มี Attitude ของวงเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีความสนุก ไม่ใช่เพลงที่เศร้าเกิน ด้วยดนตรีของมัน มีการเล่นเอฟเฟกต์โน่นนี่นั่น มันดูมั่วซั่วดี จังหวะดนตรีที่สนุก กับเนื้อเพลงที่ไม่ได้เล่าเรื่องความรัก หรือเรื่องอะไร เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน ผมว่าเพลงนั้นคือ Cornboi จริงๆ
บอย: ของผมก็เหมือนโฟนครับ ด้วย element ของ 'ไวกว่านี้' มีความเป็น Cornboi มากที่สุด ฟีลวิ่งเล่นสนุกๆ เรื่องซาวด์เราได้ทดลองตลอดสำหรับทุกๆ เพลง ในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
เสิร์ช: น่าจะ 'ไวกว่านี้' มันน่าจะเป็นอีกเพลงหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า ถ้าเป็นตัวผมเอง ก็คือผมไม่ได้คิดอะไรเยอะเลยกับเพลงนี้ เราต้องการแบบนี้ แล้วมันไปแบบนี้จริงๆ ซึ่งเพลงนี้ได้มาโดยบังเอิญ แบบอยู่ดีๆ นั่งแจมกัน ผมดีดคอร์ดหนึ่งแล้วมาเล่นๆ กัน เฮ้ย..ได้ว่ะ แล้วก็เก็บไปใช้ แล้วมาทำใหม่ก็ได้เป็นแบบนี้ เราก็เปลี่ยนโน่นนิดนี่หน่อย โอเค เข้าที่ เรารู้สึกว่านี่คือความปุปปับ และมั่วซั่วที่เป็น Cornboi มากกว่า
ภูมิ: ถ้าพูดในพาร์ทดนตรี หรือโดยรวม ผมรู้สึกว่าเป็นเพลง 'ไวกว่านี้' เหมือนกัน จริงๆ เมื่อก่อนจะรู้สึกว่าเป็นเพลง 'เอ่อคือเรามีไรจะบอก' แบบที่พี่เสือชอบ แต่พอผ่านกาลเวลามา เหมือนเราได้พัฒนาขึ้นจากอันนั้น และมันมีความเป็นตัวเราเข้าไปมากกว่าเดิม ผมเลยรู้สึกว่า อันนี้ใช่สุด ด้วยเลเยอร์ดนตรี วิธีการเล่นต่างๆ หรือความซนในการใช้เครื่องมือต่างๆ เอฟเฟกต์ต่างๆ และเนื้อเพลงด้วย แต่ถ้าพูดถึงในพาร์ทของเนื้อร้อง หรือความหมายของเพลง ผมรู้สึกว่าเลื�