Daily Pickup

DIAGE Festival เทศกาลศิลปะไม่เหมือนใคร ที่ขอ ‘ฉีดอะไรใหม่ๆ’ ให้สังคม

ทันทีที่บันไดเลื่อนพาเราขึ้นมาถึงบริเวณชั้น 6 ของ SHOW DC ก็คล้ายกับว่าตัวเองหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งโดยสมบูรณ์ บรรยากาศที่อบอวลด้วย ‘ความแปลกใหม่’ ที่ตัวเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร กระทั่งได้ก้าวเท้าเข้าไปในงาน ‘DIAGE Festival’ จึงได้คำตอบว่านี่คือ ‘ความเจ๋ง’ ของเทศกาลดิจิทัลอาร์ตและดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ถึงแม้จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ก็ ‘ทำถึง’ จนต้องขอยกนิ้วให้

และนี่คือ 5 ความประทับใจจากงาน DIAGE Festival ที่เราอยากจะมาบอกเล่าให้ทุกคนได้ฟัง

จัดเต็มทั้งแสง สี เสียง

สิ่งแรกที่คนไปงานเฟสติวัลคาดหวัง คงไม่พ้นเรื่องของ ‘แสง สี เสียง’ ที่จะช่วยยกระดับความมันและเปิดประสบการณ์ความสนุกให้กับแต่ละโชว์ในงาน แล้วงานเฟสติวัลที่ว่าด้วยการผสมผสานศิลปะและดนตรีเข้ากับเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยอย่าง DIAGE Festival จะไม่จัดเต็มได้อย่างไร เพราะทีมผู้จัดยกโปรดักชั่นสุดยิ่งใหญ่ ‘มาตรฐานระดับสากล’ ทั้งในด้านแสงสีที่งดงามและจัดจ้าน จนละสายตาไม่ได้ ผสานรวมกับเสียงดนตรีที่ชัดแจ๋ว จัดเต็มทุกบีท ให้ทุกคนได้ขยับร่างกาย ส่ายสะโพก โยกหัวไปตามจังหวะ ที่บอกเลยว่ามันเลิศ! แบบที่เราเองก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นงานแบบนี้ในเมืองไทย ซึ่ง Harid Srivieng สมาชิกแห่ง XTC แก๊งดีเจสุดจัดจ้าน ก็บอกกับเราว่า

“สิ่งที่เราพยายามนำเสนอก็คือผู้คน เราเปรียบตัวเองเป็นเหมือนตัวแทนเชื่อมกันระหว่างดนตรีและศิลปะ ซึ่งสองอย่างนี้มันคือภาพและเสียง มันคือศิลปะที่เราสามารถจับต้องได้ และเอามานำเสนอได้ ดังนั้น XTC ก็คือภาพของทิศทางที่เราอยากนำเสนอให้คนเข้าใจ เป็นวัฒนธรรมที่เราพยายามนำเสนอ”

พื้นที่ศิลปะของศิลปิน

“ผมรู้สึกดีใจมากนะที่มีงานนี้ เพราะบ้านเรามีศิลปินดิจิทัลอาร์ตเยอะมาก แต่มันยังไม่ค่อยมีงานที่ให้พื้นที่คนมาโชว์งานจริงๆ พอมีงานแบบนี้ มันก็เลยยิ่งดีเข้าไปอีก เพราะว่าใน South East Asia ก็ยังไม่ค่อยมีงานแบบนี้ แล้วนอกจากมันจะกระตุ้นให้บ้านเราที่มีศิลปินแบบนี้เยอะมาก แต่หลบซ่อนตัวอยู่ในหลืบ ได้รู้สึกว่าเขามีพื้นที่ได้ส่งผลงานมาแสดง หรือได้มาศึกษางานของศิลปินคนอื่น” PANLERT ศิลปินไทยอีกคนหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของงานในครั้งนี้ เล่าให้เราฟัง

DIAGE Festival เปรียบเสมือนพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับศิลปินระดับโลกและโลคัลได้มา ‘ปล่อยของ’ กันอย่างเต็มที่ ซึ่งศิลปินแต่ละคนก็จัดเต็มด้วยคอนเซ็ปต์สุดโหดและบาดจิตบาดใจคนดูเสียเหลือเกิน เราคิดว่าการที่ดวงตาได้มองดูภาพวิชวลแบบล้ำๆ ขณะที่หูก็ฟังเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บีทหนักๆ มันทำให้เกิด Vibe แปลกใหม่ ที่เรามั่นใจว่าเราหาประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้ในเฟสติวัลไหนที่เคยจัดมาก่อนหน้านี้

3 เวทีสุดล้ำที่เสน่ห์แตกต่างกัน

สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คงจะเป็น 3 เวทีโชว์สุดล้ำที่ขนศิลปินมากกว่า 60 ชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาให้คอเพลงอิเล็กทรอนิกส์ได้สนุกกันแบบจัดเต็ม ซึ่งต้องขอชื่นชมการจัดเวทีของทางผู้จัดมากๆ เพราะเมื่อคุณก้าวเท้าเข้าไปในฮอลล์ คุณจะได้พบกับเวที Magma เวทีไลฟ์ของเหล่าดีเจมากหน้าหลายตาที่ชวนให้โยกย้ายออกสเต็ปกันตั้งแต่หน้าประตู บวกกับวิชวลล้ำๆ ที่รายล้อมฟลอร์เต้น ก็ทำให้คนที่เดินเข้าไปรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังไซไฟอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเราเดินเข้าไปในฮอลล์ด้านใน เราก็จะได้พบกับอีก 2 เวที คือ Obsidian Stage ซึ่งเป็นเวทีหลักที่ไลน์อัพศิลปินล้วนแล้วแต่เป็นตัวใหญ่ๆ ที่เราเชื่อว่าใครมาก็คงอยากมาสัมผัสประสบการณ์การฟังเพลงแบบนี้สักครั้ง โดยเวทีหลักจะหันหน้าเข้าหา Mycelium Stage ซึ่งจะเป็นเวทีที่เรารู้สึกว่ามีความ ‘ชิล’ กว่าเวทีตรงข้ามนิดหน่อย แต่ก็เป็นการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเลยนะ

“มันเป็นคำติดปากของคนไทยนะ ที่ว่าดนตรีพวกนี้มัน Deep ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แต่พื้นฐานของดนตรีพวกนี้ก็คือการนับจังหวะ เราจะได้ยินอะไรมากขึ้น ถ้าเราไม่ยึดติดว่าเราต้องร้องเพลงตามเสียงคนร้อง แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนเคยชิน ก็เลยบอกว่าไม่เข้าใจ แต่ดนตรีทั้งหมดมันอยู่บนพื้นฐานดนตรีทฤษฎีเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นวงใต้ดินหรือวงแบนด์” Krit Morton หนึ่งในผู้จัดงาน DIAGE Festival ให้สัมภาษณ์

“การแสดงบนเวทีมันไปได้มากกว่าที่เรารู้ ยิ่งไลน์อัพตัวเด่นๆ เขาก็จะล้ำไปเลย จนเป็นอะไรที่อาจจะเป็นแค่ครั้งนี้ที่มันเกิดขึ้นในประเทศไทยเลยก็ได้ มันเลยเหมือนการฉีดอะไรใหม่ๆ ให้กับสังคมนั่นแหละ” Krit เสริม

เวทีทอล์กที่เกิดขึ้นในงานเฟสติวัล

เราว่าอีกความน่าสนใจหนึ่งของ DIAGE Festival ครั้งนี้ คือการจัดเวทีสำหรับการพูดคุยและเวิร์กช็อปจากศิลปินสุดเก๋าระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Daito Manabe, Noemi Schipfer และ Takami Nakamoto แห่ง NONOTAK ที่เราเชื่อว่าคนรักงานศิลปะสายนี้คงจะปลื้มปริ่มหัวใจที่ได้มีโอกาสได้นั่งฟังคนเหล่านี้เล่าเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานของตัวเองให้ฟัง

“เรามีพื้นที่พูดคุยซึ่งศิลปินจะได้ขึ้นมาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังก่อนที่เขาจะขึ้นทำการแสดง ว่ามันผ่านกระบวนการของการสร้างสรรค์มาอย่างไร หรือทำไมเขาอยากทำโชว์แบบนี้ ซึ่งปกติเราจะไม่ได้ฟังเรื่องราวพวกนี้เลย แต่ในงานนี้ เราได้โอกาสจากศิลปินหลายคนที่อยากขึ้นพูดหรือมาทำเวิร์กช็อป” พลอย ธันยพร แห่ง ZUBSCRIBE หนึ่งในพันธมิตรจัดงาน เคยให้สัมภาษณ์กับ EQ ก่อนหน้านี้

สถานที่จัดงานที่เหมาะสมและลงตัว

อย่างที่บอกไปแล้วว่างาน DIAGE Festival จัดขึ้นที่ SHOW DC ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ได้ชอบใจนัก เนื่องด้วยโลเคชั่นของห้างที่ค่อนข้างไกลจากรถไฟฟ้า ทำให้คนที่จะเดินทางมาที่นี่ได้ จำเป็นต้องขับรถมาเอง หรือพึ่งพารถแท็กซี่ แกร็บคาร์ อะไรก็ว่ากันไป แน่นอนว่าการมาให้ถึงสถานที่จัดงานอาจไม่สะดวกสบายเมื่อเทียบกับหลายๆ งานเฟสติวัลที่เคยจัดก่อนหน้านี้ แต่เราว่ามันให้อภัยได้ เมื่อได้เห็นบริเวณชั้น 6 ของ SHOW DC ที่ถูกทำให้กลายเป็นพื้นที่เฟสติวัลสุดแปลกใหม่ในครั้งนี้ได้อย่างเหมาะสม ยอดเยี่ยม และลงตัว

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พื้นที่จัดงานในครั้งนี้โอเคมากคือ ‘ห้องน้ำ’ เราเชื่อว่าหนึ่งปัญหาของคนไปเฟสติวัลคือเรื่องห้องน้ำ เพราะถ้ามันไม่สะอาด เราก็ไม่ค่อยอยากจะเข้า แต่ถ้าปวดแล้วไม่เข้า ก็ทำเอาไม่เอนจอยกับเพลง ดังนั้น เฟสติวัลที่ห้องน้ำดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง และ DIAGE Festival ก็ผ่าน 10 10 10 ด้วยประการทั้งปวง!

“ท้ายที่สุด เราจัดงานนี้ให้กับศิลปินโลคัลได้แสดงศักยภาพของพวกเขา การมองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องมาที่งานก็เลยเป็นปัจจัยนอกตัวเรานิดหนึ่ง แต่ผมอยากเห็นคนไทยมาเยอะๆ เพราะถ้าเราไม่สามารถเอาชนะใจคนโลคัลได้ เราก็จะไม่มีวันตึงชาวต่างชาติมาได้หรอก และการท่องเที่ยวในเชิงดนตรี มันไม่ใช่แค่ดนตรีที่ดี แต่มันคือบรรยากาศ ดังนั้น ถ้าคนโลคัลเติบโต และเข้าใจดนตรีแบบนี้มากขึ้น หลังจากนั้นเราค่อยมาว่ากัน ผมอยากเห็นคนไทยเต้นได้ เหมือนที่พี่ตูนอยากเห็นคนไทยบินได้นั่นแหละ” Krit กล่าวปิดท้าย

ซึ่งวันนี้ EQ ก็รวบรวมบรรยากาศความสนุกในงานมาฝากทุกคนด้วย ไปดูกันเลย