‘อีสานเขียว’ ‘อีสานมิวสิกเฟสติวัล’ ‘ฮิปปี้ที่ราบสูง’ ‘อีสานเร้กเก้’ ทั้ง 4 ชื่อนี้ หมายรวมถึงงานแห่งเดียวกัน งานที่รวมเอาบุปผาชนชาวที่ราบสูงภาคอีสาน งานที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสุข สันติภาพ และความเป็นสหาย รวมเวลากว่า 1 ทศวรรษที่งานเทศกาลดนตรีนี้ถูกจัดขึ้น พูดคุยกับ ‘แอมมี่ – เศรษฐพัฒน์ สีดำ’ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง และสมาชิกกลุ่มอีสานเขียว ที่จะมาอธิบาย ทำความเข้าใจเส้นเรื่อง เส้นเวลา ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา พร้อมต้อนรับเข้าสู่ปีที่ 11 ในปีหน้า ที่รับรองว่างานจะต้องใหญ่ และไปไกลกว่าภาคอีสานอย่างแน่นอน
จากฮิปปี้ที่ราบสูง สู่ E San Music Festival ที่พวกเราคุ้นเคย
“ย้อนกลับไปเมื่อ 13 ปีที่แล้วครับ ผมเป็น front man ของทีมอีสานเขียว พวกเรา ‘กุ๊กไก่ – ปฤษฏี นะที่ราบสูง’ แล้วก็ ‘คัตเตอร์ – จิตรกร ศรีธนะกูล’ ได้ก่อตั้งกลุ่มอีสานเขียวขึ้นมา เป็นการรวมกลุ่มของเพื่อนๆ ความเป็นมาก็คือเขาไปเจอนิตยสารพวก Woodstock มาครับ ก็เลยอยากจะทำงานดนตรีพวกนี้ เพราะทุกคนชอบฟังเพลงกันอยู่แล้ว เริ่มแรกก็ชวนเพื่อนๆ น้องๆ ในอีสานที่สนิทกันมาลงขัน เพื่อที่จะทำงาน”
“ปีแรกเราอยู่กันที่บึงแก่นนคร ช่วงนั้นดนตรีเร็กเก้กำลังเฟื่องฟู เราก็เลยได้ชื่องานมาเป็น ‘อีสานเร้กเก้’ จัดมาได้สัก 3 ปี ก็ค่อยเปลี่ยนให้มันดูเป็นทางการมากยิ่งขึ้น กับ ‘E San Music Festival’ ในช่วงปี 3 ที่ผ่านมา งานมันใหญ่ขึ้น คนเข้ามาภายในงานถึงครึ่งหมื่นครับ หลายๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป จากงานเล็กๆ ที่ทำกับกลุ่มเพื่อน ก็เริ่มใหญ่มากขึ้น ด้วยองค์ประกอบของการแต่งตัวหรือแนวเพลง พวกพี่ๆ เขาก็เลยนิยามพวกเราเป็นฮิปปี้ แล้วเราก็อยู่อีสาน ที่ราบสูง มันเลยกลายมาเป็นนามสกุลต่อกัน แล้วก็ได้พี่ที่เคารพท่านหนึ่ง ‘เจริญ คงสวัสดิ์’ แกให้คำนิยามแล้วก็แต่งเพลงให้กับกลุ่มเราครับ”
ที่มาของชื่อ ‘อีสานเขียว’
“อีสานเขียวเป็นชื่อกลุ่มของพวกเรา ชื่องานแรกคือ ‘อีสานเร็กเก้’ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น ‘E San Music Festival’ ตามที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ ไม่รู้ทำไมคนถึงเรียกงานของเราว่าอีสานเขียวกันไปหมด แต่ก็ไปเปลี่ยนอะไรมันไม่ได้ เหมือนเป็นจุดขายไปแล้ว ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ชื่อมันคงเข้าปากมากกว่าด้วย (หัวเราะ)”
สิ่งที่ทำให้กลุ่มอีสานเขียวมารวมตัวกันนานถึง 13 ปี
“ดนตรีครับ เวลาที่เรามานั่งคุยและพักผ่อนด้วยกัน เราจะบอกกันเสมอว่า ดนตรีคือสิ่งที่ทำให้เราได้มาเจอกัน อย่างพี่กุ๊กไก่ พี่คัตเตอร์ หรือ พี่เดียร์ เขาไปพบไปเจอน้องๆ ก็เพราะเรื่องดนตรีทั้งนั้นเลย”
ความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาของแนวดนตรีภายในงาน
“มันไปตามอายุครับ จากที่ฟังเร็กเก้ ก็ขยับมา Rock ’n Roll หลังๆ มานี้เริ่มฟังเพื่อชีวิตกันบ้างแล้ว (หัวเราะ) มันเป็นไปตามวัยนะผมว่า จากวันที่ทุกคนเป็นวัยรุ่น พลังมันพลุ่งพล่าน จนตอนนี้หลายคนมีครอบครัว มีลูกกันไปแล้ว มันก็เหมือนกับงานที่พวกเราจัดขึ้นทุกปีนี่ล่ะครับ ชื่องานที่เปลี่ยนไป แนวดนตรีที่ปรับเปลี่ยนไปในทุกปี รวมไปถึงจำนวนคนที่เข้ามา จากหลักร้อย มาหลักพัน ไปถึงหลักหมื่น ในงานปีแรก เพื่อนๆ ศิลปินยังต้องช่วยพวกเราเก็บกระป๋องขาย เพื่อเอามาจ่ายค่าห้องพักกันอยู่เลยครับ ปีที่ 2-3 เราก็พอได้เงินมา แต่ยังติดลบกันอยู่ มันใช้เวลาในการที่จะเติบโต แต่คือการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา”
ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของ E San Music Festival
“ส่วนตัวผมคิดว่าปีที่ 5 ครับ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพราะเราเอาตรา PEACE ที่เป็นสัญลักษณ์สันติภาพมาตั้งไว้ภายในงาน คนก็จดจำและส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ‘น้าซัน’ (Sun) ที่เป็นสัญลักษณ์ของพวกเรา กลายเป็นว่าทุกคนก็จำน้าซันเป็นลักษณ์ของงานไปอีก แต่จริงๆ แล้วมันเป็นของกลุ่ม ก็ไม่เป็นไร เราใช้ด้วยกันได้ (หัวเราะ)
ส่วนคอนเซ็ปต์ในงาน ถ้ามองเผินๆ คนอาจจะคิดว่าเปลี่ยน แต่ธีมของเรายังไม่เคยเปลี่ยนไปเลยครับ เรามีเมืองพี่น้องที่ไม่เคยขาดกันมาตลอด 10 ปี เมืองโอฮาน่า ไบซันแลนด์ เมืองยิปซี อินเดียบูรพา เราทำกันมาตั้งแต่แรกเลย แม้ว่าแนวดนตรีจะมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่หลักใหญ่ใจความของเราก็ยังคงเหมือนเดิม อย่างพี่ๆ วง ‘Rindarast’ กับ ‘พี่ใหม่ สิบล้อ’ ก็มาช่วยน้องๆ ตั้งแต่ปีแรก จนถึงทุกวันนี้ นับเป็น 10 ปี ผมว่ายากนะ ที่ศิลปินคนหนึ่งจะยอมมางานเทศกาลดนตรีเป็นทศวรรษ”
“อีกหนึ่งอย่างที่เราไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือน้องๆ ศิลปินวงใหม่ เราให้โอกาสน้องทุกคนที่ส่งเดโม่เข้ามา หลายวงก็โด่งดังไป วงใหม่ๆ ก็เวียนกันเข้ามา มันคือความแปลกใหม่ที่เป็นเสน่ห์ของงานนี้ครับ แล้วเราก็ไม่ได้ใช้ชื่อเสียงของศิลปินมาเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดคน แต่ใช้ความสดใหม่ของวงทำให้คนอยากมาดูกัน”
ความเติบโตในแง่มุมของเศรษฐกิจ
“เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทางการของจังหวัดขอนแก่นเคยประเมินไว้คร่าวๆ น่าจะอยู่ที่ 300-400 ล้านบาท ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผมกับทีมคิดว่าเราจะทำได้เยอะกว่านั้น มันมีการใช้จ่ายมาตั้งแต่วันที่จะเดินทางกันแล้ว อย่างค่าซ่อมบำรุงรถ ระหว่างทางก็ใช้จ่าย แวะซื้อ แวะเที่ยว มันมีเบี้ยบ้ายรายทางกันอีก โดยรวมแล้ว เราน่าจะกระตุ้นได้เยอะพอสมควรครับ”
เสน่ห์ของอีสานเขียวที่ทำให้คนยอมขับรถไกลๆ เพื่อมานอนเต็นท์
“ผมว่าเสน่ห์ของมันน่าจะเป็นบรรยากาศในงาน ไม่มีงานไหนที่เหมือนอย่างนี้อีกแล้ว เหมือนที่เขาพูดกัน เปรียบเปรยว่า “อีสานเขียวไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นผู้คน” ถ้าย้อนกลับไปในยุคของพ่อแม่ เราอาจจะเจอคนที่แต่งตัวสไตล์คาราบาว ในยุคนี้อาจจะกลายเป็นว่า คนนี้แต่งตัวสไตล์อีสานเขียว เหมือนดูทรงก็รู้แล้วว่าไปงานอีสานเขียว อย่างพวกผมนี่ถ้าเข้าไปในเมือง หมู่บ้าน หรือตลาดนัดสัก 2-3 คน คนก็ทักแล้วว่าใช่อีสานเขียวหรือเปล่า เขาดูออกครับ”
สิ่งที่หาดสวรรค์นี้ได้มอบคืนให้กับชุมชน
“ล่าสุด พวกเราทำห้องน้ำใหญ่ 12 ห้อง แยกชาย หญิง คนพิการ ไว้ให้กับหาดสวรรค์ เป็นสาธารณประโยชน์กับชุมชนนะครับ แล้วทุกปีก็จะมีการบริจาคให้บ้าน วัด โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ภาครัฐอยากให้ช่วยสนับสนุนตรงไหน พวกเราก็ยินดีครับ
ส่วนของชุมชน เราก็จ้างชายฉกรรจ์กับผู้ใหญ่ในตำบลมาทำงานแรงงานครับ ทำด้านโครงสร้าง มีรายได้ให้เขาครับ ถ้าเกิดถึงวันงานที่คนมาเยอะๆ เราก็ให้แต่ละหมู่บ้านทำเป็นโฮมสเตย์นะครับ ให้นักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดไปพักอาศัยได้ หรือว่าเปิดเป็นห้องน้ำให้เขาเข้าก็ได้ครับ”
หากเปรียบอีสานเขียว หรือ E San Music Festival เป็นเด็กคนหนึ่ง
“พูดถึงอีสานเขียวก่อนนะฮะ ผมว่ากำลังดื้อ ด้วยความที่อายุ 13 ปี แต่ว่าถ้าพูดถึงตัว E-San Music Festival คิดว่า 10 ปีที่ผ่านมา เด็กคนนี้ไปเล่นบ้านเพื่อนมาเยอะแล้วครับ ถึงเวลาที่อยากให้เพื่อนๆ มาเล่นบ้านเรา มาหาเราบ้าง แต่ตลอดระยะเวลา 10 ปี เพื่อนๆ ก็มาหานั่นแหละ เพียงแต่ว่าเพื่อนๆ เราเยอะขึ้นนะครับ ต่อไปเด็กคนนี้คงน่าจะเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมอีกครับ”
ก้าวถัดไปของอีสานเขียว
“ครั้งต่อไปนี้ สิ่งที่เรามองถึงก็น่าจะความเป็นสากลนั่นแหละครับ เราอยากโชว์ศักยภาพของทีมให้มากกว่าเดิม ทำอะไรที่มันใหญ่กว่าเดิม ในเมื่อภาครัฐ ผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาซัพพอร์ตเยอะ เราก็เต็มที่ จะออกไปในภาคส่วนของ AEC มากขึ้น เรายังมีเรื่องราวอีกมากมายให้คนได้เข้ามาชมกัน วัฒนธรรมอีสานยังมีอีกเยอะมาก ทั้งของกิน ของใช้ ศิลปะ เรายังเอาออกมาเล่น ออกมาโชว์ได้อีกเยอะครับ
ขอคำนิยามให้กับ 13 ปี อีสานเขียว และ 10 ปี E San Music Festival
‘จง ออก เดินทาง’
“ครับ เพราะคำนี้คือคำที่ผมกับเพื่อนได้มารวมตัวกัน และได้ออกเดินทางกันมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คราวนี้ถึงคิวของเพื่อนๆ บ้างแล้วครับ ที่จะต้องออกเดินทางกัน”
ติดตาม ‘E San Music Festival Thailand’ ได้ที่
Facebook: E San Music Festival Thailand
Instagram: esan_music_festival